หัวใจของซูหลีกลับหนักอึ้ง ลางสังหรณ์บางอย่างค่อยๆ ปกคลุมในใจ หลางฉ่าง ตอนนี้อยู่ที่ใดกันแน่?
ล่วงเข้าเที่ยงคืน หยางเซียวฟุบหลับที่โต๊ะทำงาน เขาเหมือนหลับลึกมาก คิ้วขมวดเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
หัวใจของซูหลีเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ไม่กล้าปลุกเขา ทำได้เพียงหยิบผ้ามาคลุมให้เขา นึกไม่ถึงว่าแม้อยู่ในความฝันเขาก็ยังคงกุมมือนางไว้แน่น ซูหลีพยายามดึงออกอยู่ครู่หนึ่ง เขากลับขมวดคิ้ว ยิ่งกุมมือแน่นขึ้น ซูหลีจนใจ ทำได้เพียงนั่งลงข้างกายเขา และเผลอหลับไปด้วยเช่นกัน
ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มสาง นางลืมตาอย่างสะลึมสะลือ แต่กลับเห็นหยางเซียวจ้องนางตาไม่กะพริบ คิ้วและดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ครั้นเห็นนางตื่น ก็รีบยิ้มกว้าง ยิ่งทำให้สีแดงของริมฝีปากกับฟันขาวๆ ตัดกันอย่างชัดเจน
ซูหลีถูกเขาหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล จึงกล่าวอย่างไม่พอใจ “เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่? ยังไม่ไปท้องพระโรงอีกหรือ?”
หยางเซียวหัวเราะเสียงดัง แล้วกล่าวว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ? วันนี้เป็นวันแต่งงานของเรา อีกประเดี๋ยวก็ต้องไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพบุรุษแล้ว”
ซูหลีเบิกตากว้าง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าในห้องมีกลิ่นหอมจางๆ อยู่ ครั้นหันไปมอง ก็เห็นธูปสงบจิตก้านหนึ่งถูกจุดไว้ในกระถางธูปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางพลันตึงเครียด จังหวะที่ดีที่สุดที่จะไปจากแคว้นเปี้ยนตามแผนการเดิมได้ผ่านไปแล้ว! นางจ้องหน้าเขาอย่างตกใจระคนสงสัย
หยางเซียวเห็นสีหน้านางผิดปกติ ก็อดกล่าวอย่างประหลาดใจไม่ได้ “เป็นอะไรไป?”
“ธูปนี้ผู้ใดเป็นคนจุด?”
สายตาของหยางเซียวไหวระริกเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าเห็นเจ้าหลับไม่ค่อยสบายนัก จึงให้คนนำธูปสงบจิตเข้ามาจุด เป็นอย่างไรบ้าง หลับสบายหรือไม่?”
ซูหลีไม่พูดอะไร เพียงจ้องหน้าเขาเงียบๆ
หยางเซียวลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาโอบเอวนาง แล้วยิ้มร่า “วันนี้เป็นวันดีของเรา ข้าไม่อยากให้เจ้าสาวของข้าหมดแรงตั้งแต่ยังไม่เสร็จพิธี นี่ก็สายมากแล้ว เจ้ารีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด อีกเดี๋ยวข้าไปรับเจ้า” เอ่ยจบ เขาก็ตะโกนเรียก “เด็กๆ เข้ามาปรนนิบัติฮองเฮาสางผมแต่งตัว”
นางกำนัลสิบคนรับคำแล้วเดินเข้ามาในห้อง พวกนางคุกเข่าตรงหน้าซูหลีอย่างพร้อมเพรียง นางกำนัลที่เป็นหัวหน้าดูไม่ค่อยคุ้นตานัก ซูหลีไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ท่าทางนอบน้อม กิริยาสง่างาม เห็นได้ชัดว่าผ่านการอบรมมาอย่างเข้มงวด นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เชิญฮองเฮาเสด็จไปที่ตำหนักมู่ชิงเพคะ”
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามนางออกไป รอยยิ้มบางเบาพาดผ่านดวงตาหยางเซียว
การตกแต่งภายในตำหนักมู่ชิงค่อนข้างหรูหรากว่าตำหนักอื่นๆ ลวดลายชั้นเมฆที่ถูกสลักขึ้นโดยหยกขาวโอบล้อมเศียรมังกรที่อยู่รอบสระน้ำ น้ำอุ่นไหลออกจากปากมังกรลงไปในสระน้ำ ไอร้อนลอยคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ทำให้ห้องอาบน้ำแห่งนี้ดูเหมือนแดนสวรรค์ท่ามกลางหมู่เมฆ
ครั้นเข้าไปในห้อง ข้ารับใช้หญิงก็หมายจะเดินเข้ามาถอดเสื้อให้ซูหลี ซูหลีกลับขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าไม่คุ้นชินให้ผู้อื่นปรนนิบัติ ไปเรียกทูตนารีมา!”
ข้ารับใช้หญิงลังเลเล็กน้อย ทว่าครั้นเห็นนางมีท่าทางหนักแน่น จึงทำได้เพียงส่งคนไป ผ่านไปไม่นาน หวั่นซินก็มา ซูหลีกันเหล่านางกำนัลออกไป แต่ข้ารับใช้หญิงเหล่านั้นกลับไม่ออกไป เพียงยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง ซูหลีส่งสายตาให้หวั่นซิน ทั้งสองก้าวลงไปในสระน้ำพร้อมกัน ไอหมอกลอยคลุ้งรอบสระ คนและสิ่งของที่อยู่ในห้องล้วนดูเลือนรางไม่ชัดเจน
ซูหลีกับหวั่นซินเดินไปจนถึงกลางสระน้ำจึงหยุด หวั่นซินถอดหน้ากาก ใบหน้าตึงเครียด ซูหลีถามอย่างร้อนใจ “เหตุใดเจ้าก็หลับไปด้วยเล่า?”
หวั่นซินหันไปมองที่ประตูเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ไม่รู้เกิดอันใดขึ้น เมื่อคืนเกิดเหตุไฟไหม้ที่แท่นบูชาหลัก เส้นทางลับที่มุ่งหน้าสู่สำนักต่างๆ เกิดปัญหา กว่าจะแก้ปัญหาได้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้วเจ้าค่ะ!”
ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพสร้างอยู่บนทะเลสาบปี้หู อากาศเปียกชื้น จู่ๆ จะเกิดเหตุไฟไหม้ได้เช่นไร?
“ตรวจเจอสาเหตุไฟไหม้หรือไม่?” ซูหลีขมวดคิ้วถาม
หวั่นซินส่ายหน้าด้วยสีหน้าสับสน “ยังไม่พบเบาะแสใดเลยเจ้าค่ะ”
หัวใจของซูหลีพลันหนักอึ้ง นางได้ยินหวั่นซินถามเสียงแผ่วเบา “คุณหนูตั้งใจจะทำเช่นไรต่อเจ้าคะ? หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าจะไปจากที่นี่ไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ!”
ซูหลีไม่พูดอะไร นางก้มหน้าครุ่นคิด แล้วชะโงกหน้ากระซิบข้างหูหวั่นซิน ก่อนจะหยิบหน้ากากของนางมาสวม
หวั่นซินกล่าวเสียงขรึม “ทูตนารี ไปนำน้ำค้างไป่เจียวมาให้ข้าที”
ซูหลียิ้มเล็กน้อย ยามนี้หวั่นซินเลียนแบบเสียงของนางได้เหมือนถึงเก้าส่วนแล้ว นางลุกขึ้นเดินตรงไปที่ขอบสระ แล้วสวมใส่เสื้อผ้าของหวั่นซิน ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ออกจากห้องไป
ข้ารับใช้หญิงหน้าห้องจ้องนาง คล้ายสงสัยเล็กน้อย แต่รูปร่างและความสูงของซูหลีกับหวั่นซินใกล้เคียงกันมาก จึงยากจะแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร
ข้ารับใช้หญิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หมายจะเดินเข้าไปในสระ หวั่นซินกลับกล่าวเสียงขรึม “เจ้ารออยู่นอกห้อง ไม่จำเป็นต้องเข้ามาปรนนิบัติ”
ข้ารับใช้หญิงนางนั้นชะงัก ลังเลครู่หนึ่ง ก็ทำได้เพียงรับคำแล้วถอยออกไป
ตำหนักมู่ชิงอยู่ห่างจากตำหนักจิ้งซินซึ่งเป็นห้องหนังสือของฮ่องเต้ระยะหนึ่ง ตลอดทางที่เดินมา ซูหลีรู้สึกว่ารอบกายเงียบสงบผิดปกติ ครั้นเดินไปถึงหน้าประตูก็ล้วงป้ายห้อยเอวออกมา กล่าวกับองครักษ์หน้าประตูเสียงต่ำ “ท่านธิดาเทพให้ข้ามาเอาของบางอย่าง”
ป้ายห้อยเอวที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เป็นพิเศษ สามารถเข้าออกในวังได้อย่างไร้อุปสรรค เหล่าองครักษ์เมื่อเห็นป้าย ก็รีบหลีกทางให้อย่างนอบน้อม ซูหลีเข้าไปในตำหนักอย่างราบรื่น นางตรงเข้าไปในห้องนอนด้านในทันที
ฝั่งซ้ายของห้องมีโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ตั้งอยู่ตัวหนึ่ง นางล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วนำไปวางไว้ใต้จานฝนหมึก อดถอนหายใจไม่ได้ นี่เป็นจดหมายลาที่นางทิ้งไว้ให้หยางเซียว หวังว่ายามเขาเห็นจดหมาย จะใจเย็นลงแล้ว
เหลือเวลาไม่มากแล้ว ซูหลีไม่เสียเวลาอีก รีบเดินไปทางชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งขวา เส้นทางลับที่มุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาหลักลัทธิธิดาเทพอยู่ด้านหลังชั้นวางหนังสือตัวนี้ จำได้ว่าครั้งแรกที่นางตามหยางเซียวมา ถึงแม้กลไกที่เขาเปิดตลอดเส้นทางจะแตกต่างกัน แต่ก็คล้ายมีจุดที่เหมือนกันอยู่ด้วย ชั้นวางหนังสือตรงหน้าเป็นช่องขนาดใหญ่เก้าช่องครอบช่องขนาดเล็กเก้าช่องอีกที มีหนังสือหลากลายประเภทจัดวางไว้เต็มไปหมด บางเล่มก็เป็นหนังสือที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
นางพยายามจัดหนังสือให้เข้าประเภท และจำลำดับเอาไว้ จากนั้นก็เจอช่องลับที่ซ่อนอยู่ด้านในช่องขนาดเล็กเก้าช่อง นางเปิดกลไกตามลำดับ ได้ยินเสียง ‘ครืดคราด’ ดังขึ้น ชั้นวางหนังสือค่อยๆ เคลื่อนไปด้านข้าง
หัวใจของซูหลีเต้นรัว นางรอคอยให้ประตูลับปรากฏ แต่ทว่าเมื่อชั้นวางหนังสือตัวนั้นเคลื่อนออกไปจนสุด กำแพงหินชั้นหนึ่งได้ปิดเส้นทางลับเอาไว้อย่างมิดชิด!
ซูหลีตะลึงงัน นางไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง สมองขาวโพลนไปหมด
ด้านหลังคล้ายมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่นาง นางหันหลังอย่างระแวดระวัง กลับเป็นหยางเซียว!
เขาสวมชุดมงคลสีแดง รวบผมสูงครอบด้วยรัดเกล้าสีทอง นัยน์ตาดำดั่งหยก กลีบปากแดงเรื่อ ใบหน้าเย็นชากลับมีแววชั่วร้ายผสมอยู่ ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าประตูโดยไม่ส่งเสียงอยู่นานเท่าใดแล้ว หยางเซียวมองนาง กล่าวด้วยสายตาเรียบเฉย “ทูตนารีมิใช่ปรนนิบัติฮองเฮาอยู่ที่ห้องอาบน้ำหรอกหรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่ห้องหนังสือของข้า?”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ซูหลีไม่มีข้อแก้ต่าง นางรวบรวมความกล้า ถอดหน้ากากออก “ข้าเอง”
“อาหลี?” หยางเซียวเบิกตากว้าง คล้ายประหลาดใจมาก เขากลอกตาไปมา ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียวเอง อาหลีก็คิดถึงข้าถึงเพียงนี้แล้วหรือ? แต่เหมือนเจ้าจะเดินมาผิดทางแล้ว ที่นี่ห้องหนังสือ…ไม่ใช่ตำหนักบรรทม” เขาเดินเข้ามา มองนางด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม ราวกับในสายตาเขา นางมาที่นี่เพื่อมาหาเขาจริงๆ
สายตาซูหลีตึงเครียด นางถามอย่างตรงไปตรงมาทันที “เหตุใดต้องปิดเส้นทางลับนี้ด้วย?”
…………………..