ซูหลีรู้ว่าเมื่อครู่เขาเจตนาช่วยนางแก้ไขสถานการณ์ นางแย้มยิ้มพร้อมกับยกถ้วยสุราขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยกสุราขึ้นจิบ เพื่อเป็นการขอบคุณ
เซียงซืออวี่มองนางยิ้มๆ สายตาดูเหม่อลอยไปชั่วขณะ เขาคว้าถ้วยสุรามาดื่มจนหมดรวดเดียว อาจเพราะดื่มเร็วไป ใบหน้าซีดขาวจึงเริ่มแดงเรื่อ
หลางฉ่างสังเกตเห็น พลันตระหนักได้ถึงบางอย่าง แต่กลับไม่พูดอะไรมาก
นั่งไปได้สักพัก ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ร่างกายค่อยๆ อ่อนเรี่ยวแรง จึงกำชับให้หลางฉ่างต้อนรับแขกอย่างดี ก่อนจะกลับตำหนักเพียงลำพัง ทุกคนรีบลุกขึ้นส่งเสด็จทันที
ซูหลีเพิ่งจะกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ก็เห็นหวั่นซินย้อนกลับมาอย่างเร่งรีบ สีหน้าดูร้อนใจหลายส่วน
ซูหลีรู้ดีว่าเกิดเรื่อง รีบสาวเท้าเดินไปนอกประตู “เกิดเรื่องใดขึ้น?”
สายตาของหวั่นซินแฝงแววหนักใจ นางกล่าวว่า “ฉินเหิงไปสืบข่าวกลับมา สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ฮ่องเต้แคว้นเฉิง…คล้ายจะจับตัวเซี่ยอวิ๋นเซวียนได้แล้วเจ้าค่ะ”
ซูหลีตกตะลึง พลันย้อนนึกไปถึงข้อความปากเปล่าที่ตงฟางเจ๋อกล่าวทิ้งไว้ต่อหน้าธารกำนัลในงานชุมนุมไป่จี๋เมื่อหลายวันก่อน เพื่อล่อให้เซี่ยอวิ๋นเซวียนไปหา
หวั่นซินเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
ซูหลีสังหรณ์ใจไม่ดี “ข้าต้องไปดูสักหน่อยแล้ว”
“ฉางเล่อ เกิดเรื่องใดขึ้น?” หลางฉ่างเองก็ลุกจากที่นั่งด้วย
ซูหลีรีบแย้มยิ้ม แล้วบอกว่า “ไม่มีอะไรเพคะ มีเรื่องนิดหน่อย ตอนนี้หม่อมฉันจำต้องไปจัดการสักหน่อย”
หลางฉ่างรีบกล่าว “เรื่องใด? ต้องการให้พี่ช่วยหรือไม่?”
“เรื่องเล็กน้อยเพคะ เสด็จพี่ไม่ต้องห่วง” ซูหลีมองเงาร่างสีฟ้าอมเทาที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยง ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “เสด็จพี่กลับเข้าไปในงานก่อนเถิดเพคะ อย่าได้ละเลยคุณชายเซียงเลย ฉางเล่อไปไม่นานก็กลับมา”
ในส่วนลึกของดวงตาอันอ่อนโยน แฝงแววเป็นห่วงอย่างชัดเจน หลางฉ่างทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “เอาเถิด…เจ้าระวังตัวด้วย!”
ซูหลีพยักหน้า จากนั้นก็ออกจากวังไปพร้อมกับหวั่นซินอย่างเร่งรีบ
หลางฉ่างจ้องมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของซูหลี สายตาครุ่นคิด ยามนี้เซียงซืออวี่ก็เดินออกมาจากศาลาอวิ๋นไหลด้วยเช่นกัน
หลางฉ่างกล่าวอย่างขอโทษขอโพย “จู่ๆ ก็มีเรื่องนิดหน่อย ไม่อาจอยู่พูดคุยกับสหายเซียงได้ ช่างเสียมารยาทจริงๆ สหายเซียงโปรดอภัยด้วย วันหลังหลางฉ่างจะต้องไถ่โทษ ร่วมดื่มกับสหายเซียงจนเมามายแน่นอน!”
เซียงซืออวี่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์รัชทายาททรงกล่าวหนักเกินไปแล้ว เรื่องสำคัญต้องมาก่อน กระหม่อมขอบังอาจถามสักคำ เกิดเรื่องใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ใบหน้าหลางฉ่างตึงเครียด ไม่ตอบคำถาม
เซียงซืออวี่รีบกล่าว “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ เป็นกระหม่อมที่เสียมารยาทเอง ที่กระหม่อมถามไม่ได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแค่อยากรู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่เท่านั้น”
หลางฉ่างกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้ำใจของสหายเซียง หลางฉ่างรับรู้ด้วยใจ เรื่องนี้…ยังไม่สะดวกเปิดเผย สหายเซียงโปรดอภัยด้วย!”
เซียงซืออวี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรมากความอีก เขาประสานมือกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ องค์รัชทายาทรีบเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่าเสียเวลาอีกเลย กระหม่อมทูลลา!”
รถม้าหยุดจอดหน้าประตูสวน ซูหลีรีบก้าวลงจากรถ โคมไฟสว่างไสวที่ห้อยระย้าเหนือศีรษะ ท่ามกลางความมืด ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ ส่องอักษรขนาดใหญ่สามตัว ‘สวนชิงหลี’ ที่สลักอยู่บนป้ายเหนือประตูสีแดงให้เห็นอย่างชัดเจน ลายมือบนป้ายแข็งแกร่งและทรงพลัง เห็นได้ชัดว่าเป็นลายมือของเขา
ซูหลีชะงักเล็กน้อย เขาเขียนป้ายนี้ขึ้นเมื่อใดกัน? ไม่กี่วันก่อนตอนที่นางมาเยือน เหนือประตูยังว่างเปล่าอยู่เลย
เซิ่งจินที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตกใจ รีบคุกเข่ากับพื้นหนึ่งข้าง กล่าวเสียงดังฟังชัด “ถวายบังคมองค์หญิงฉางเล่อพ่ะย่ะค่ะ! องค์หญิงโปรดเสด็จไปรอที่ห้องโถงด้านหน้าสักครู่ กระหม่อมจะรีบไปเรียนนายท่านเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่ต้อง” ซูหลีโบกมือเบาๆ แล้วออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด “ตงฟางเจ๋ออยู่ที่ใด พาข้าไปหาเขา!”
เซิ่งจินทำหน้าลำบากใจ กลับไม่ตอบคำ
ซูหลีเห็นเช่นนั้น ก็เดินผ่านเซิ่งจินไป แล้วเดินตรงเข้าไปในประตูใหญ่ พร้อมกับกล่าวอย่างไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ “หากเขาถาม เจ้าก็โยนความผิดมาให้ข้าได้เลย”
เซิ่งจินจนใจ รีบลุกขึ้นนำทาง ซูหลีสาวเท้าเร็วๆ เดินตามเขาไป ลัดเลาะสวนดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมหวน จนมาถึงสวนด้านหลัง ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไปในประตู ก็ได้ยินเสียงด่าทอด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธสุดแสน “ตงฟางเจ๋อ เจ้ามันฆาตกรเลือดเย็น! เป็นเจ้าที่สังหารคนนับร้อยชีวิตในสำนักกระบี่เหล็กของข้า!”
ซูหลีตกตะลึง อดชะงักเท้าโดยสัญชาตญาณไม่ได้ นางมองไปตามเสียง เห็นเพียงห้องที่อยู่ในสวนสว่างไปด้วยแสงไฟ ประตูเปิดทิ้งไว้เล็กน้อย ตงฟางเจ๋อนั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าบ้าน กำลังมองคนที่ยืนเชิดหน้าอยู่ด้านหน้าหน้าต่างด้วยสายตาเย็นชา
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าทำตามรับสั่ง ย่อมไม่อาจให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว สำนักกระบี่เหล็กแพร่งพรายความลับทรยศแว่นแคว้น เจตนาชั่วร้าย มีความผิดมหันต์ แม้นตายก็ยังไม่อาจชดใช้!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนดวงตาแดงก่ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ความแค้นที่เจ้าทำลายสำนักกระบี่เหล็ก ไม่ขออยู่ร่วมโลก ตราบใดที่ข้าเซี่ยอวิ๋นเซวียนยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีสักวัน ที่ข้าจะสังหารเจ้าเพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้า!”
ตงฟางเจ๋อยกถ้วยชาที่วางอยู่ข้างมือขึ้นจิบด้วยท่าทางผ่อนคลาย แล้วจึงค่อยๆ ช้อนตาขึ้นเล็กน้อย เอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างดูแคลน “คิดจะสังหารข้า? ได้สิ ตอนนี้ข้าก็อยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าลงมือได้เต็มที่!” เขาแสยะยิ้มมุมปาก สายตากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
เซี่ยอวิ๋นเซวียนสังเกตเห็นอย่างชัดเจน ก็อดตัวสั่นไปชั่วขณะไม่ได้ แต่ความแค้นและความเกลียดชังที่สะสมมานาน จุดประกายให้เลือดในกายเขาเดือดพล่านไปทั้งตัว! เขาถมึงตากว้าง แทบจะพ่นไฟออกจากดวงตา ร่างกายดิ้นรนเพื่อจะถลาเข้าไป แต่จนใจที่ถูกสกัดจุดลมปราณ ทำได้เพียงขยับตัวได้เล็กน้อยเท่านั้น
“ปล่อยเขา!” ตงฟางเจ๋อตวาดสั่งเสียงเย็นชา
เซิ่งฉินโฉบกายเข้าไป นิ้วมือเพิ่งจะสัมผัสกลางแผ่นหลังเซี่ยอวิ๋นเซวียน ก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างเคร่งเครียดดังมาจากลานด้านนอก “ช้าก่อน!”
ซูหลีสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้ามาในห้อง เซิ่งฉินชำเลืองมองตงฟางเจ๋อเล็กน้อย ก่อนจะถอยไปยืนด้านหนึ่งอย่างเงียบงัน
“ซูซู!” ใบหน้าตงฟางเจ๋อพลันสะดุด รีบลุกขึ้นต้อนรับ เดินไปกุมมือนางแน่น แล้วกล่าวอย่างขอโทษขอโพย “วันนี้ข้าไม่อาจไปร่วมงานเลี้ยงตรงเวลา ขอโทษด้วย ข้าผิดนัดเสียแล้ว!”
ซูหลีถามด้วยสายตาเป็นห่วง “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ จึงทำให้ท่านผิดนัดได้?”
ตงฟางเจ๋อจูงมือนางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “คนผู้นี้ ก็คือนักโทษเซี่ยอวิ๋นเซวียนที่กำลังหลบหนีในคดีสำนักกระบี่เหล็ก! วันนี้เขาลักลอบเข้ามาในสวนเพื่อจะขโมยกระบี่ แต่ถูกเซิ่งจินจับได้เสียก่อน”
ซูหลีพิจารณาคนที่ยืนอยู่กลางห้องโถงอย่างละเอียด คนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มที่อายุราวสิบแปดสิบเก้า เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา ยามนี้กลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง จ้องหน้าตงฟางเจ๋อด้วยดวงตาที่แดงก่ำดั่งหมาป่า
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเห็นดวงหน้าซูหลี ก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด “เป็นเจ้า?”
ซูหลีค่อยๆ เดินเข้ามา กระบี่ดุจสายน้ำตรงเอวสั่นไหวเบาๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววตกตะลึงของเซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันแปรเปลี่ยน เขาเงยหน้า แล้วกล่าวด้วยความตกใจ “เหตุใดกระบี่เล่มนี้จึงมาอยู่กับเจ้า? เจ้ากับเขา…” เขามองหน้าซูหลี แล้วหันไปมองตงฟางเจ๋อที่อยู่อีกด้าน แทบไม่อยากเชื่อสายตา ไม่อาจเรียบเรียงอารมณ์อันสับสนที่ประดังประเดเข้ามาในสมองได้ นาง เป็นใครกันแน่?
ซูหลียื่นนิ้วไปที่แผ่นหลังของเซี่ยอวิ๋นเซวียนแล้วกดเบาๆ สองสามครั้ง เซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันรู้สึกเบาตัว จุดลมปราณคลายออกแล้ว เขานวดคลึงแขนที่รู้สึกชาเล็กน้อย ยังคงตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่มองสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
ซูหลีกุมกระบี่ดุจสายน้ำที่อยู่ตรงเอว แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นซูหลีเห็นกระบี่ดุจสายน้ำในตลาดก็ถูกใจทันที จนใจที่คุณชายเซี่ยไม่ยอมตัดใจยกให้ ที่แท้ก็เพราะมีเรื่องราวเบื้องหลังอยู่จริงๆ”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนโกรธจนไม่อาจควบคุมอารมณ์ ตำหนิเสียงเกรี้ยว “กระบี่เล่มนี้เป็นของล้ำค่าประจำสำนักเรา หากมิใช่ปีศาจตนนี้ข่มแย่งคว้าชิงไป ข้ามีหรือจะต้องแอบแฝงตัวเข้ามาให้ถูกจับเช่นนี้! วันนั้นข้าเห็นว่าแม่นางก็เป็นคนที่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี คงไม่ใช่พวกเดียวกับปีศาจตนนี้กระมัง!”
“คุณชายกล่าวถูกต้อง ในเมื่อเป็นของล้ำค่าของคุณชาย ซูหลีจะแย่งชิงมาได้เช่นไร?” ซูหลีถอนหายใจเบาๆ ถอดกระบี่ดุจสายน้ำออก แล้วประคองไว้กลางฝ่ามือสองข้าง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็นเรื่องสมควรที่ต้องมอบคืนเจ้าของ!”
ทุกคนในห้องตะลึงงันไปทันที
…………………