เรือสินค้าระเบิด เขาปกป้องนางโดยไม่ห่วงชีวิตตนเอง
บนเกาะฉางหลี เขาก้มเก็บกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยอย่างระมัดระวัง
ในงานเลี้ยงอภิเษกสมรส เขาลดตัวเช็ดรองเท้าให้นาง…
แล้วยังมีชื่อที่เขาหลุดปากเรียกออกมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อครู่อีก! หากนางฟังไม่ผิด เช่นนั้นทุกคำถามที่นางครุ่นคิดอย่างไรก็ไร้คำตอบ พลันกระจ่างแล้วในยามนี้
ซูหลีสงบสติอารมณ์ สาวเท้าเดินกลับไปที่ตำหนักฉางเซิงอย่างรวดเร็ว นางเรียกตัวเจียงหยวนเข้าวังอย่างเร่งด่วน รีบส่งคนไปที่เกาะตงหมิง สืบทุกอย่างเกี่ยวกับเซียงซืออวี่มาให้หมด
เจียงหยวนถามด้วยความสงสัย เหตุใดเจ้าสำนักจึงต้องสืบเรื่องคนผู้นี้?
ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ข้าสงสัย…ว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่นายน้อยแห่งเกาะตงหมิง!
นับจากนั้น เซียงซืออวี่ก็ไม่เคยเสียกิริยาเช่นคืนนั้นอีกเลย เขายังคงอ่อนโยนและใส่ใจเช่นเดิม ราวกับการตอแยในตอนนั้น เป็นเพียงภาพลวงตาหลังจากที่เขาดื่มจนเมามายเท่านั้น ซูหลียังคงวางตัวเช่นเดิม ปฏิบัติตนกับเขาไม่เปลี่ยนแปลง กระทั่งหนึ่งเดือนกว่าต่อมา เจียงหยวนสืบข่าวกลับมา ซูหลีพลิกกระดาษในมือ บนนั้นบันทึกเรื่องราวทั้งหมดของเซียงซืออวี่ ตั้งแต่ที่เขาเกิดจนกระทั่งไปจากเกาะตงหมิง อ่านแวบแรกก็คล้ายจะไม่มีอะไรผิดปกติ
ซูหลีอ่านซ้ำอีกครั้ง หัวใจพลันสั่นสะท้าน อักษรบรรทัดหนึ่งดึงดูดความสนใจของนาง ‘ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก นอนติดเตียงตลอดปี คลุกคลีอยู่กับหยูกยา ความรู้ตื้นเขิน…’
ซูหลีจำได้อย่างแม่นยำ ตอนที่เซียงซืออวี่มาร่วมงานเลี้ยงในวังครั้งแรก เขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการวาดภาพกับเสด็จพ่อมากมาย เขาเจรจาปราศรัยอย่างฉะฉาน มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่เหมือนคนไม่รู้วิชาแม้แต่น้อย ความสงสัยพลันบังเกิด ดูท่า หากต้องการยืนยันตัวตนของเซียงซืออวี่ นางคงต้องไปเยือนจวนของเขาสักครั้งแล้ว
ซูหลีสืบที่อยู่ของเซียงซืออวี่ พบว่าเขาอยู่ที่สวนเซียง ซึ่งตั้งอยู่บนถนนซีเจียในย่านการค้าทางทิศใต้ของเมือง
ตลอดเส้นทาง สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย คึกคักเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมเทียนหลงมีแขกแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ได้รับผลกระทบจากการตายของสองพี่น้องสกุลฟู่เลยแม้แต่น้อย ซูหลียังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ นางเดินต่อไปจนถึงครึ่งถนน จากนั้นก็เดินข้ามสะพานโค้งแห่งหนึ่ง ก้อนอิฐบนสะพานสะอาดเรียบร้อย สุดสายสะพานกระเบื้องเขียวกำแพงขาวถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางต้นไผ่สีเขียว คำว่า ‘สวนเซียง’ โดดเด่นสะดุดตาอยู่เหนือบานประตู
โม่เซียงเดินเข้าไปเคาะประตู ผู้ที่มาเปิดประตูเป็นบ่าวรับใช้ชายอายุน้อยคนหนึ่ง เขาไม่รู้จักซูหลีกับโม่เซียง จึงถามด้วยความสงสัย พวกท่านมาหาใคร?
โม่เซียงเชิดหน้ากล่าวเสียงแหลม คุณชายเซียงอยู่บ้านหรือไม่? องค์หญิงฉางเล่อต้องการพบเขา
ครั้นได้ยินคำว่าองค์หญิงฉางเล่อ เด็กรับใช้ชายสะดุ้ง องค์…องค์หญิง? นายน้อยบ้านข้าออกไปทำธุระข้างนอก ยังไม่กลับมา… เขาพูดค่อนข้างช้า เหมือนเป็นคนจากเกาะตงหมิง ที่ยังไม่เคยชินกับภาษาของที่นี่
ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ ไม่เป็นไร ข้ามีเรื่องจะหารือกับคุณชายเซียง มิสู้เข้าไปรอเขาข้างในเป็นอย่างไร?
เด็กรับใช้ชายรีบค้อมกายอย่างนอบน้อม เช่นนั้น ก็เชิญองค์หญิงเข้าไปนั่งรอข้างในสักครู่ ข้าน้อยจะไปนำชามาถวาย เอ่ยจบก็เดินนำซูหลีเข้าไปข้างใน
สวนเซียงมีทางเข้าทั้งหมดสองทาง มีบ่าวรับใช้ไม่มาก แต่กลับสะอาดสะอ้าน และเป็นระเบียบเรียบร้อย ครั้นเดินลึกเข้าไปข้างใน เรือนไม้หลังเล็กตั้งโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าไม่มีต้นไม้หรือดอกไม้ปลูกไว้ ลานกว้างดูเงียบเหงาและร้างไร้กลิ่นอายความมีชีวิตชีวา
เด็กรับใช้ชายเดินนำทางซูหลีมาถึงห้องรับแขก แล้วนำชาหอมๆ มาถวาย ซูหลีจิบเล็กน้อย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม คุณชายเซียงจะกลับจวนยามใด?
เด็กรับใช้ชายตอบ นายน้อยไม่ได้บอกไว้ว่าจะกลับยามใดพ่ะย่ะค่ะ
ซูหลีพยักหน้า วางถ้วยชาลง ข้าเข้าใจแล้ว…พวกเจ้าไปทำงานเถิด ข้าจะเดินชมรอบๆ สักหน่อย
เด็กรับใช้ชายถอยออกไปด้วยท่าทางนอบน้อม ซูหลีลุกขึ้นมองพิจารณาโดยรอบ ข้างห้องรับแขก เป็นห้องน้ำชา สองฝั่งของห้องน้ำชาเปิดโล่ง แม้มีห้องกั้นกลาง ก็ยังสามารถมองเห็นตัวเรือนที่อยู่ตรงข้ามแม่น้ำได้ ซูหลีจึงเพิ่งค้นพบว่า ที่แท้ด้านหลังของสวนเซียงก็อยู่ติดกับเส้นทางน้ำทางทิศใต้ของเมืองนี่เอง เรือนขนาดเล็กถูกสร้างริมแม่น้ำ ด้านนอกมีท่าเรือที่ทำจากไม้ ทอดยาวเข้าไปในแม่น้ำ หากนั่งเรือออกจากที่นี่สามารถมุ่งหน้าออกไปนอกคูเมืองได้โดยตรง ถือว่าเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย
ซูหลีสำรวจห้องอื่นๆ อีก ค้นพบว่าประตูของที่นี่ล้วนเป็นแบบเลื่อนออกหรือดึงเข้าจากสองฝั่ง การตกแต่งภายในก็ดูมีกลิ่นอายของคนที่อาศัยบนเกาะมากเช่นกัน ของทุกอย่างล้วนมาจากเกาะตงหมิง พิจารณาอย่างละเอียด ก็ยังไม่พบความผิดปกติใด
หรือนางคิดผิด? เซียงซืออวี่เป็นนายน้อยจากเกาะตงหมิงจริงๆ งั้นหรือ?
ซูหลีฉงนฉงาย นางเดินผ่านประตูไม้บานหนึ่ง ชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจ ทว่ากลับสังเกตเห็นลายดอกหลีที่ถูกสลักไว้บนขอบประตู นางชะงักฝีเท้า เอื้อมมือไปสัมผัส พบว่าประตูกลับไม่ได้ลงกลอนไว้ นางจึงผลักออกเบาๆ เป็นห้องนอนห้องหนึ่ง ในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่าของทุกชิ้นล้วนประณีตกว่าของที่อยู่ด้านนอกมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องนอนของเซียงซืออวี่ ผู้เป็นเจ้าบ้านของสวนเซียงนั่นเอง
กลิ่นหอมจางๆ อันคุ้ยเคยลอยเข้ามาจากทางหน้าต่าง ซูหลีเดินเข้าไปเปิดหน้าต่างไม้ ต้นดอกหลีสีขาวสะอาดตาพลันปรากฏในครรลองสายตา มันผลิดอกสีขาวบริสุทธิ์อยู่ริมแม่น้ำ นางตะลึงงันเล็กน้อย เหตุใดสองฝั่งแม่น้ำสายนี้จึงมีดอกหลีด้วยเล่า?
นางก้มหน้าด้วยความสงสัย เห็นเพียงด้านนอกหน้าต่างมีพื้นที่ว่างเล็กๆ ก่อนถึงแม่น้ำ ต้นดอกหลีถูกปลูกไว้บนพื้นที่ว่างนั้น ดินใหม่ยังไม่ทันแห้ง เหมือนเพิ่งถูกขนย้ายมาไม่นาน สายลมโชยเข้ามาจากผิวแม่น้ำ ดอกหลีโปรยปรายเป็นสาย กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์ร่วงลงบนผิวน้ำสีเขียวมรกต จากนั้นก็ลอยไปตามสายลม เงาร่างของเซียงซืออวี่ยามคุกเข่าก้มเก็บดอกหลีผุดขึ้นมาในสมองซูหลี นายน้อยแห่งเกาะตงหมิง เหตุใดจึงให้ความสนใจกับดอกหลีถึงเพียงนี้ ไม่เพียงเก็บกลีบดอกไม้ใส่ถุงผ้าต่วน ยังทุ่มเทย้ายต้นดอกหลีมาปลูกไว้ข้างหน้าต่างห้องนอนเช่นนี้อีกด้วย…เขาเป็นใครกันแน่?!
ซูหลีล้วงผลึกอำพันที่เซียงซืออวี่มอบให้นางออกจากอกเสื้อ หวนนึกถึงคำพูดที่เขาเคยกล่าว ซูหลีก็ยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม นางรู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ปมปริศนานั้นคล้ายอยู่แค่ตรงหน้า แต่กลับเหมือนบุปผาในคันฉ่อง ที่จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ผลึกอำพันในมือเย็นดุจสายน้ำ ซูหลีหมุนกายเดินสำรวจห้องนอนแห่งนี้ พลันนั้น นางเห็นใต้หมอนที่อยู่บนเตียง มีกล่องไม้จันทน์ขนาดเล็กโผล่ออกมา นางเดินเข้าไปหยิบโดยสัญชาตญาณ รู้สึกว่ากล่องใบนี้ดูคุ้นตาเล็กน้อย คิ้วงามขมวดมุ่นอย่างไม่รู้ตัว นางค่อยๆ เปิดฝากล่องออก
ซูหลีเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ นางแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น
ในกล่องมีกำไลข้อมือหยกสีเขียวมรกตเส้นหนึ่งวางอยู่ ไข่มุกหยกสีเขียวใส เงางามวาบวับทุกเม็ด ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา
มืออันสั่นเทาหยิบไข่มุกหยกเส้นนั้นขึ้นมา พลันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต ตงฟางจั๋วเคยสวมกำไลหยกเขียวให้นาง แล้วยิ้มอย่างย่ามใจ พลางกล่าวว่า ‘ไข่มุกฝูอวิ๋นเดิมเป็นของบรรณาการจากแคว้นติ้ง ผ่านการปลุกเสกของพระอาจารย์ฮุ่ยกวงแห่งอารามฝอกวงมาถึงสี่สิบเก้าวัน ศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์ขลังยิ่งนัก เสด็จพ่อมอบมันให้ข้า วันนี้ข้ามอบมันให้เจ้า เห็นไข่มุกนี้ เท่ากับเห็นข้า เจ้า ต้องรักษามันไว้ให้ดี…’
กลางสวนดอกหลี ยามที่เขาอับจนหนทาง เขาสวมกำไลเส้นนี้ให้นางอีกครั้ง นางปฏิเสธเขาอย่างหนักแน่น ตัดสินใจตัดขาดสัมพันธ์กับเขาอย่างไร้เยื่อใย ทำให้เขาเสียหลักล้มนั่งลงบนบันไดหินอันเย็นชืด วินาทีนั้น สายตาอันสิ้นหวังของเขา ยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น กำไลไข่มุกฝูอวิ๋นที่ควรจะมอดไหม้ไปพร้อมกับเขาในสวนดอกหลีเส้นนี้…เหตุใดจึงมาอยู่ใต้หมอนของเซียงซืออวี่ได้เล่า?!
ที่แท้…คืนนั้นที่หอเฉี่ยนเยวี่ย นางไม่ได้ฟังผิด! ชื่อที่เขาหลุดปากเรียกออกมายามเมามายจนลืมตัวไปชั่วขณะ คือชื่อของหลีซูจริงๆ!!!
————————-