วันที่สี่ของการเข้าป่าล่ามังกร ภูมิประเทศอันตรายขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ไม่สามารถขี่ม้าได้แล้ว ทำได้เพียงจูงม้าไปตามทางบนภูเขาที่คดเคี้ยว เส้นทางแถวนี้ถูกตัดขาดมานาน ต้องอาศัยหลินมู่อวี่และฉินเหลยฟันดาบถางพงเปิดทาง และวันนี้ก็เจอสัตว์วิญญาณอายุเกินสองพันปีมาสามตัวแล้ว พวกมันถูกจัดการเรียบ แต่ก็ยังไม่พบสัตว์วิญญาณที่หลินมู่อวี่มองหา ในเมื่อต้องการทะลวงขอบเขตนภา จึงจำเป็นต้องใช้สัตว์วิญญาณที่อายุมากมาเป็นเครื่องสังเวย
……
ต้นไม้รอบตัวเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ พริบตาเดียวป่าข้างหน้าก็โล่งเตียน กลิ่นอายความตายปกคลุมอยู่โดยรอบ ฉินเหลยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ดูเหมือนพวกเราจะเข้าเขตสุสานมังกรแล้ว กลิ่นอายความตายที่รุนแรงแบบนี้…คนธรรมดาไม่มีทางมีชีวิตรอดไปได้ ให้ตายสิ…”
“ช้าก่อน”
จู่ๆ หลินมู่อวี่ก็เรียกทุกคนไว้ จากนั้นหยิบขวดยาออกมาจากอกเสื้อแล้วพูด “ดื่มลงไปคนละขวด”
“นี่อะไรหรือ” ฉินเหลยรับยามาดูและถามอย่างสนใจ
“ผงเทพสังสรรค์น่ะ” หลินมู่อวี่ยิ้ม “พูดใช้ชัดเจนหน่อยก็คือผงเทพสังสรรค์เกรดหนึ่ง เป็นโอสถระดับหก สามารถทำให้จิตใจแจ่มชัด ร้อยพิษไม่ย่างกราย กลิ่นอายความตายในสุสานมังกรน่าจะซึมเข้าร่างพวกเราไม่ได้ ผงเทพสังสรรค์เป็นยาต้าน จึงต้องดื่มก่อนที่จะถูกพิษ มีประสิทธิภาพต่อเนื่องสามวัน จะดื่มหรือไม่ดื่มพวกท่านตัดสินใจเอาเอง”
พูดจบเขาก็เงยหน้ากระดกผงเทพสังสรรค์ลงไปหนึ่งขวด
ถังเสี่ยวซียิ้มน้อยๆ แล้วก็ดื่มลงไป ฉินอินดึงจุกขวดโอสถออก หลังจากดมได้กลิ่นสดชื่นสายหนึ่งแล้ว จึงดื่มลงไปจนหมด ฉินเหลยเป็นคนสุดท้ายที่ดื่มลงไป ในฐานะผู้บัญชาการองค์รักษ์อวี้หลิน เขาจึงจำเป็นต้องระวังตัวเสมอ ถึงแม้ว่าจะสนิทสนมกับหลินมู่อวี่ แต่อย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เห็นหลินมู่อวี่และคนอื่นไม่เป็นอะไรเขาจึงดื่มตามลงไป
ผงเทพสังสรรค์กลายเป็นกระแสความเย็นสดชื่นเย็นไหลไปทั่วร่างกาย ฉินอินอดแย้มพระโอษฐ์ด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “สมแล้วที่เป็นโอสถเกรดหนึ่ง ความรู้สึกแบบนี้ช่างต่างกันจริงๆ…”
ถังเสี่ยวซียิ้มน้อยๆ “ไปกันเถอะ”
“อืม!”
……
ฉินเหลยถือดาบอัสนีทลาย “อาอวี่ เจ้าอยู่ด้านหน้าคอยเปิดทาง ข้าจะระวังด้านหลัง ทุกคนระวังตัวด้วย พวกเรากำลังจะเข้าเขตสุสานมังกรกันแล้ว”
หลินมู่อวี่พยักหน้า เขาทราบว่าฉินเหลยยังไม่เชื่อใจตนเองอย่างเต็มที่ แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้
“ชิ้ง!”
กระบี่เหลียวหยวนหลุดออกมาจากฝัก พลังปราณไหลออกมา กระบี่เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที หลินมู่อวี่ค่อยๆ บังคับม้าให้เดินไปข้างหน้าตามทางในหุบเขาเข้าไปในเขตสุสานของมังกร พอเงยหน้าขึ้นดู เห็นแต่หน้าผาที่สูงชัน กลายเป็นเส้นขอบฟ้าอยู่เหนือศีรษะ ขนาดเสียงร้องของอีกาที่ดังมา ยังทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย
เห็นชิ้นส่วนกระดูกตามพื้น ไม่ใช่กระดูกมังกร แต่เป็นกระดูกมนุษย์ ที่นี่เคยมีคนเข้ามา และเสียชีวิต
ฉินอินจับกระบี่แน่น ทอดพระเนตรรอบตัวด้วยความระมัดระวัง พระเนตรคู่งามฉายความระแวดระวัง สายลมหนาวพัดชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มขอบทองที่ด้านหลังจนสะบัดพลิ้ว ถังเสี่ยวซีอยู่ใกล้ฉินอิน จิ้งจอกอัคคีนั่งอยู่บนไหล่ของนาง พร้อมโจมตีทุกเมื่อ ส่วนฉินเหลยที่อยู่ท้ายสุด รอบดาบอัสนีทลายปรากฏพลังงานสีทองโอบรัดอยู่หลายสาย โซ่เทวะพร้อมที่จะปรากฏออกมาทุกเมื่อ
……
ด้านหน้าเต็มไปด้วยหมอก ครู่เดียว ม้าก็ส่งเสียงร้องออกมาแล้วพากันหมดเรี่ยวแรง ถึงขั้นรับน้ำหนักคนไม่ไหว หลินมู่อวี่รีบลงจากม้า พลางกล่าว “ไม่ได้การ มวลอากาศพิษที่นี่รุนแรงมาก ม้าเข้าไปไม่ได้ ผูกมันไว้ที่นี่เถอะ พวกเราเข้าไปก็พอแล้ว”
ฉินอินและคนอื่นพยักหน้า ลงจากม้าทีละคนและเดินเท้าเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปจนสุดหุบเขา ด้านในนั้นกลับมีทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง ภายในสุสานมังกรกลับไม่มีกลิ่นอายความตาย แต่มีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ บุปผาเบ่งบาน ลำธารใสไหลมาจากหุบเขา เสียงคำรามของสัตว์ป่าดังมาจากที่ไกลๆ ขัดกับกลิ่นอายความตายด้านนอกอย่างชัดเจน แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่เปลื่ยน นั่นก็คือตลอดเส้นทางยังคงเห็นชิ้นส่วนกระดูกกองอยู่มากมาย
“คนพวกนี้ตายด้วยเงื้อมมือของอะไรกันแน่นะ” ถังเสี่ยวซีรู้สึกประหลาดใจ นางกางมือขวาออก ทันใดนั้น “เชือก” สีแดงเพลิงที่พันรอบข้อมือนางคลายตัวออก กลายเป็นแส้ยาวที่หุ้มด้วยเปลวเพลิง นี่คืออาวุธของถังเสี่ยวซี แส้เพลิงอัคคี เป็นของล้ำค่าที่ท่านปู่ชางหลันกงมอบให้
หลินมู่อวี่มองเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วชี้ไปที่หัวกะโหลกอันหนึ่ง “กะโหลกของเขาถูกแทงทะลุ แต่ดูแล้วไม่น่าจะใช่แผลจากกระบี่หรือหอก ปากแผลเล็กเกินไป เล็กกว่านิ้วมืออีก”
“งั้นจะเป็นอะไรล่ะ” ฉินเหลยพูดไม่ค่อยออก
“ไปต่อกันเถอะ ทุกคนระวังตัวด้วย”
……
“วิ้ง” หลินมู่อวี่เรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าออกมา ปล่อยพลังออกมาเงียบๆ สร้างกระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรสำเร็จ และถือกระบี่เหลียวหยวนเดินอยู่หน้าสุด
ทันใดนั้นเอง ที่พื้นก็มีเสียง “แซ่ก แซ่ก” เถาวัลย์สีดำเส้นหนึ่งแวบผ่านไป เหมือนกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
“นั่นอะไรน่ะ” หลินมู่อวี่รีบพุ่งเข้าไปอย่างเร็ว ใช้ทักษะควบคุมกระบี่ทันที “เปรี้ยง” กระบี่ระเบิดพื้นแตกออก ดินและหญ้ากระเด็นขึ้นมา แต่กลับไม่พบเถาวัลย์นั่น
“ด้านขวา ระวัง!” ฉินเหลยตะโกนบอก
เห็นเพียงเถาวัลย์เส้นหนึ่งพุ่งแทงเข้ามาราวกลับลูกธนู ตรงพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของฉินอิน มีบางอย่างอยู่จริงๆ แถมยังเป็นหมวดพืชอีกด้วย!
“เปรี้ยง!”
ฉินเหลยระเบิดพลัง ดาบอัสนีทลายฟันลงมาอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า ตัดเถาวัลย์เส้นนี้ขาดกระจุย ชี้ไปทางทิศใต้แล้วกล่าว “ร่างหลักของสัตว์วิญญาณตัวนี้อยู่ตรงนั้น อาอวี่ ไปเร็วเข้า!”
หลินมู่อวี่ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่น ศัตรูอยู่ที่ลับตนเองอยู่ที่แจ้ง นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ถังเสี่ยวซีนั้นฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ต้องให้ผู้อื่นบอก นางก็ปล่อยทักษะการโจมตีของจิ้งจอกอัคคี “ฟู่ววว” เปลวเพลิงพุ่งออกไป เผาพุ่มไม้ด้านหน้าทั้งหมดเป็นจุณ หลินมู่อวี่รีบพุ่งเข้าไปอย่างเร็ว ยกนิ้วมือขึ้น ควบคุมกระบี่ให้กวาดไปที่พื้น ปราณกระบี่พุ่งออกไปจัดการพุ่มไม้ที่เหลืออยู่ให้กลายเป็นผุยผง
ในที่สุดก็เห็นร่างหลักของผู้ลอบโจมตีที่หลังพุ่มไม้ มันเป็นต้นไม้ใหญ่สีดำ อีกทั้งลำต้นและกิ่งไม้ของมันกำลังขยับเคลื่อนไหว ทุกกิ่งก้านของมันเหมือนแขน ยามที่มันขยับเคลื่อนไหวมองแล้วรู้สึกขนลุก ฉินอินอดที่จะหรี่ดวงพระเนตรคู่งามไม่ได้ “นี่มันปีศาจบ้าอะไร”
ฉินเหลยมีประสบการณ์มาก เขาใจหายวาบ “มันคือต้นจิ้นหมู่! แถมยังเป็นต้นจิ้นหมู่อายุเจ็ดพันปีด้วย ทุกคนระวังตัวให้ดี แขนของต้นจิ้นหมู่ยืดหดได้ มีพลังโจมตีที่น่าตกตะลึง ต้นจิ้นหมู่จะปรากฏขึ้นในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีมนุษย์เท่านั้น ชื่อของมันมาจากตำนาน ‘จิ้นหมู่’ ที่มีแขนจำนวนนับไม่ถ้วน น่ากลัวเป็นอย่างมาก ทุกคนระวังตัวให้ดี อาอวี่ พวกเราบุก!”
หลินมู่อวี่พุ่งเข้าโจมตี กำแพงน้ำเต้ากลายเป็นโล่ป้องกันที่สมบูรณ์แบบเขา แขนนับร้อยของต้นจิ้นหมู่เปลื่ยนเป็นเถาวัลย์แทงเข้าใส่กระดองเต่าทมิฬ กระดองเต่าทมิฬแตกเป็นเสี่ยงๆ จึงทำให้เลือดลมของเขาแปรปรวน เกือบจะได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พุ่งออกไปโจมตีมือทั้งสองของเขาก็กางออก เปลวเพลิงไหลวนอยู่รอบแขนทั้งสอง ใช้ทักษะอัคคีควบคุมกระบี่เหลียวหยวนให้กลายเป็นปราณกระบี่หลายสายเข้าฟันรอบๆ ต้นจิ้นหมู่
“ฉัวะ…ฉัวะ…”
แขนของต้นจิ้นหมู่โดนตัดขาดไปทีละเส้น ของเหลวสีเขียวสาดกระเซ็นออกมา
ฉินเหลยก็เริ่มเปิดฉากโจมตี ดาบอัสนีทลายกลายเป็นสายฟ้าหลายสายเข้าทำลายล้างรอบๆ ต้นจิ้นหมู่ ขณะที่ตัดเถาวัลย์ของมัน โซ่เทวะก็ลอยคุ้มกันอยู่รอบตัว ทำให้เถาวัลย์ของต้นจิ้นหมู่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ฉินอินขบกรามแน่น เปล่งพระสุรเสียงออกมาพร้อมโจมตี โซ่เทวะแทงขึ้นมาจากพื้นดิน กลายเป็นโซ่สีทองโจมตีเข้าใส่ลำต้นของต้นจิ้นหมู่ แต่ใครจะไปคิดว่าต้นจิ้นหมู่สามารถเคลื่อนที่ได้ รากของมันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในใต้ดิน หลบการโจมตีวิญญาณยุทธ์ของฉินอินได้อย่างสวยงาม ถังเสี่ยวซีเรียกจิ้งจอกอัคคีออกมา ตะโกนเสียงดัง “ใช้เปลวเพลิงโจมตี!”
หลินมู่อวี่ฟันแขนต้นจิ้นหมู่ทิ้งติดต่อกันอย่างน้อยเป็นพันเส้นแล้ว แต่กลับพบว่ามันยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ รอบตัวถูกเถาวัลย์ของต้นจิ้นหมู่ล้อมรอบไว้อย่างรวดเร็ว อดร้องตะโกนออกมาไม่ได้ “อะไรกันเนี่ย ทำไมยิ่งตัดยิ่งเยอะ?!”
“อาอวี่ระวังด้วย เถาวัลย์ของต้นจิ้นหมู่งอกใหม่ได้!”
“หา?!”
ยามนี้เขาถึงได้เห็นว่า กิ่งของต้นจิ้นหมู่ที่ถูกตัดไปนั้นพ่นของเหลวสีเขียวออกมา จากนั้นก็งอกใหม่ออกมาอย่างรวดเร็ว มิน่าเล่าถึงฟันไม่หมดเสียที!
“ฉัวะ!”
เถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนตีวงล้อมเข้ามาอย่างเร็วทำให้หลินมู่อวี่ถูกล้อมอยู่กลางวง เขาต่อสู้ดิ้นรนยังไงก็ไม่หลุด ส่วนการโจมตีด้วยเพลิงของถังเสี่ยวซีนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่เกิดผลอะไรมากนัก
“กี้ กี้…”
ต้นจิ้นหมู่ส่งเสียงร้องดังออกมาเหมือนกำลังหัวเราะเยาะเขา เถาวัลย์นับไม่ถ้วนพุ่งแทงไปทางอาอวี่
“อาอวี่!”
ฉินเหลยระเบิดเสียงคำรามออกมา รีบยกดาบอัสนีทลายพุ่งเข้าไป สายฟ้านับไม่ถ้วนโจมตีเข้าที่ลำต้นของต้นจิ้นหมู่!
“เปรี้ยง!”
ของเหลวสีเขียวสาดกระเซ็น ต้นจิ้นหมู่ยังคงงอกขึ้นมาใหม่ พลังชีวิตของเจ้านี่แข็งแกร่งไม่ธรรมดา
……
หลินมู่อวี่ถูกเถาวัลย์หลายพันเส้นล้อมไว้ ไม่สามารถทะลวงออกไปได้ ทำได้เพียงปล่อยหมัดโจมตีใส่เถาวัลย์ที่จะจู่โจมใส่ตนเอง กำแพงน้ำเต้านั้นต้านทานไม่อยู่แล้ว กระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรก็แตกสลายไปตามๆ กัน!
“เปรี้ยง”
แสงสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้น กระบี่ของฉินอินที่มีพลังของโซ่เทวะระเบิดเข้าใส่ลำต้นของมัน จนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่ ปรากฏก้อนสีแดงคล้ายหัวใจกำลังขยับอยู่ นางตะลึงตกใจ “นั่นอะไรน่ะ”
ฉินเหลยตะโกนตอบ “เป็นวิญญาณต้นไม้ กำจัดมันซะก็จะสามารถกำจัดต้นจิ้นหมู่ได้!”
ฉินอินกำลังคิดจะฟันกระบี่เข้าโจมตีอีกครั้ง จู่ๆ เถาวัลย์เส้นหนึ่งเข้าโจมตีมาจากทางขวา กระแทกจนนางกระเด็นออกไป
ฉินเหลยจะรีบเข้าไปช่วย แต่กลับถูกเถาวัลย์แทงใส่ขากะทันหัน เลือดพุ่งทะลัก ไม่สามารถสู้ได้อีก ส่วนถังเสี่ยวซีก็ถูกเถาวัลย์หลายร้อยเส้นรุม ทำได้เพียงปกป้องตนเองเท่านั้น
……
หลินมู่อวี่ที่อยู่ในกรงขังมองเห็นทุกอย่าง จึงกางฝ่ามือออกปล่อยแก่นเพลิงมังกรออกมาควบคุมกระบี่ กระบี่เหลียวหยวนพลันหมุนเป็นเกลียวด้วยความเร็วสูง เกลียวเพลิงมังกรคลั่ง!
“ปัง!”
การโจมตีด้วยการหมุนเกลียวจากด้านนอกเข้าด้านในฉีกเถาวัลย์กระจาย เขากระโดดขึ้นไปคว้ากระบี่ คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “พลังเจ็ดประทีป ออกมาเดี๋ยวนี้!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกพลังเจ็ดประทีปด้วยตนเอง ทันใดนั้นในทะเลจิตก็ปรากฏกระแสพลังยิ่งใหญ่สายหนึ่งขึ้น แต่คล้ายกับมีพลังอีกชนิดหนึ่งคอยยับยั้งพลังเจ็ดประทีปเอาไว้ ไม่ให้เขาฝืนเรียกได้ แต่นั่นไม่อาจหยุดยั้งเขา หลินมู่อวี่รีบเรียกติ่งหลอมอาวุธออกมา ใช้ไฟปฐพีแผดเผาพลังที่คิดต่อต้านเขาในร่างกาย คำรามเสียงต่ำ “เจ้ายังจะดิ้นรนอีกรึ ไอ้สารเลว!”
เมื่อพลังสายหนึ่งลดลง พลังอีกสายก็เพิ่มขึ้น แรงที่ต่อต้านอ่อนแรงลง และพลังเจ็ดประทีปชั้นที่หนึ่งก็ทะลักเข้าไปในแขนของเขาและไหลเข้าสู่กระบี่อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นการโจมตีที่ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีก็ตกใส่วิญญาณต้นไม้ทันที พริบตาเดียวเปลวเพลิงก็กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง
หนึ่งประทีปพิฆาตชีวันบวกแก่นเพลิงมังกร!