“ทรงคิดว่าพระองค์รักฝ่าบาทฮวางเซจา ได้เท่ากับพระชายาฮวางแทจา ไม่สิ ทรงรักฝ่าบาทฮวางเซจา ได้สักครึ่งหนึ่งของพระชายาฮวางแทจาหรือไม่เพคะ”
ความนิ่งเงียบดำเนินต่อไป แล้วยอมินก็พรวดพราดลุกจากที่นั่ง หน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง คำพูดของสนมซามีความดูถูกดูแคลน ยอมินจึงมองสนมซาด้วยสีหน้าที่โกรธเคือง
“หม่อมฉันคือพระชายาของฮวางเซจามาก่อนหลายปี มีแค่ยอมินเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้กอดฮวางเซจา และมีเพียยอมินคนเดียวเท่านั้นที่โอบกอดฮวางเซจาได้เพคะ”
“นั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้นเพคะ” สนมซาจับข้อมือของยอมิน “แม้หม่อมฉันจะไม่รู้ว่าพระชายา
ฮวางเซจาทรงรักฮวางเซจามากเพียงใด แต่มิบังอาจเทียบได้กับความรู้สึกของพระชายาฮวางแทจาได้อย่างแน่นอน แม้พระชายาฮวางแทจาจะทรงรู้ตัวว่าต้องได้รับโทษทัณฑ์จากสวรรค์ ทว่าพระชายาก็ทรงพยายามไขว่คว้าความสุขไว้ แต่ตอนนี้พระชายาฮวางเซจานั้น มิได้ทรงกำลังเดือดดาลเพราะรักษาฝ่าบาทฮวางเซจาไว้ไม่ได้ จึงอ้างถึงแต่ศีลธรรมอยู่หรือเพคะ”
ใบหน้าของยอมินแดงจัด เป็นความร้อนที่ผสมความโกรธและความอับอายเข้าด้วยกัน
“มิใช่ว่าหม่อมฉันไม่อาจรักษาไว้ได้ แต่เป็นเพราะพระชายาฮวางแทจาทรงแย่งชิงไปต่างหากเล่าเพคะ”
ตาขาวของยอมินเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง นางสูดหายใจลึกครั้งหนึ่งเพื่อให้ตนสงบ แล้วนั่งลง ส่วนสนมซายังคงจบข้อมือของยอมินไว้
“ฝ่าบาทฮวางเซจากับพระชายาฮวางเซจาทรงเป็นโชคชะตาที่ถูกฝืนให้ผูกกันไว้ พระชายาฮวางเซจาเพียงกล่าวถึงคำสั่งขององค์จักรพรรดิกับธรรมเนียมข้อบังคับเท่านั้น หม่อมฉันไม่อาจสัมผัสได้ถึงความรักที่พระองค์มีต่อฝ่าบาทฮวางเซจาได้ อย่างที่พระองค์ว่าเลยเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าพระชายาทรงทำตามหน้าที่ชายาของฝ่าบาทฮวางเซจาเพียงเท่านั้น ทรงไม่สงสารท่านทั้งสองหรือเพคะ”
“หม่อมฉันไม่อาจเข้าใจคำพูดของสนมซาได้เพคะ”
“ความจริงในพระราชวังแห่งนี้จะมีสักกี่คนที่จิตใจจะผูกพันกันได้อย่างแท้จริง ฝ่าบาทฮวางเซจาเองก็ทรงเป็นเช่นนั้นเพคะ ความรักที่เสกสรรปั้นแต่งแต่เพียงภายนอกมีแต่จะยิ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายทรมานด้วยความเหน็บหนาวนะเพคะ ตอนนี้ในที่สุดก็มีคู่รักที่จริงใจได้มาพบกันในพระราชวังแห่งนี้แล้ว ทั้งคู่ที่ได้มาพบกันและให้ความอบอุ่นแก่กันและกันอย่างจริงใจ จะต้องทำตามธรรมเนียมข้อบังคับ และคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ และยอมจำนนต่อโชคชะตาตนอย่างนั้นหรือเพคะ”
สำหรับมกกุก อาณาจักรที่ปกครองด้วยธรรมเนียมที่เข้มงวด หากบอกว่าธรรมเนียมเป็น ‘เพียงแค่’ ฑรรมเนียมแล้วล่ะก็ มีสิทธิ์ที่หัวจะขาดออกจากบ่าได้ในทันที เพราะฉะนั้นยอมินจึงมองสนมซาและตกใจเป็นอย่างมาก สนมซาที่รอยยิ้มเริ่มจางหายไป มองยอมินด้วยสีหน้าจริงจัง
“หากพระทัยของพระชายาฮวางเซจานั้นรักจริงเที่ยงแท้ คงจะมิมาที่พระราชวังตะวันออกนี้ดอกเพคะ แต่จะทรงตามหาฮวางเซจาเสียก่อน คงจะต้องตัวติดกับฮวางเซจาเป็นแน่ หม่อมฉันค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าที่ที่พระชายาฮวางเซจาทรงมุ่งมั่นจะไปนั้น ไม่ใช่ตำหนักนัมชอน แต่เป็นพระราชวังตะวันออก”
“หม่อมฉัน…”
ยอมินที่พยายามจะแก้ตัวไม่สามารถพูดจบได้เมื่อสนมซาลุกขึ้นยืน สนมซาที่เดินลงมาจากศาลาหันไปหายอมินแล้วก้มศีรษะทำความเคารพ แล้วจากไปด้วยคำพูดที่เฉียบขาด
“โปรดทรงลองพินิจพิจารณาดูว่าพระชายาฮวางเซจานั้นทรงรักใคร่ฮวางเซจาด้วยใจจริงแท้หรือไม่นะเพคะ ไม่ว่าจะคิดเยี่ยงไรแล้วก็ยังทรงคิดว่ามันเป็นความรักที่แท้จริง แล้วจะทรงทำอะไรต่อพระชายาฮวางแทจาหม่อมฉันก็ขอเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกเพคะ”
สนมซาสรุปเรียบร้อยแล้วว่าใจของยอมินนั้นไม่ได้มีความรักใด นางแสดงท่าทีว่าตนพูดทุกอย่างจบหมดแล้ว และไม่ต้องการที่จะฟังสิ่งใดอีก เพราะว่าได้ข้อคำสรุปเรียบร้อยแล้ว ยอมินนั่งมองสนมซาเดินห่างไกลออกไปอย่างเหม่อลอย นางมองเห็นหลังคาของตำหนักดงบีอยู่ไกลๆ เพียงแค่ลุกจากตรงนี้ไปก็สามารถที่จะพบกับกโยซึลได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใดที่ทำให้ลุกไม่ขึ้น ตอนที่ยอมินเห็นรูแฮครั้งแรก นางก็คิดไปแล้วว่าเขาต้องเป็นสามีของนาง
“ไม่ใช่คนรัก แต่เป็นสามี” นางตกใจและรีบปิดปากลงเพราะคำพูดที่เพิ่งพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
ยอมินคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนเองจะต้องถูกเลือกให้อภิเษกสมรสกับฮวางเซจา แล้วพอได้เห็นฮวางเซจาที่นั่น นางก็คิดอย่างแน่นอนว่าเขาต้องเป็นสามีของนาง นางไม่เคยคัดค้านคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้งานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่นั้นจะเกิดขึ้นจากคำสั่งขององค์จักรพรรดิ นางก็ไม่เคยมีความคิดอื่นใดเลย
มันคือสิ่งที่ข้าราชบริพารต้องปฏิบัติตามในเส้นทางแห่งนี้ ในหัวของนางวุ่นวายไปหมด บาดแผลที่หน้าอกเริ่มปวดแสบปวดร้อน ในตอนนั้นนางได้ยินเสียงบางอย่าง
“พระชายาฮวางเซจา”
นางนั่งมานานจนดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางท้องฟ้าเอียงไปทางภูเขาทิศตะวันตกแล้ว นางหันหลังให้กับดวงอาทิตย์แล้วก็มีเงาใหญ่เงาหนึ่งใกล้เข้ามา หัวใจของยอมินเริ่มเต้นสั่นรัว
“ได้ยินมาจากสนมซาว่า ชายาทรงอยู่ที่นี่”
“อย่าเข้ามา”
“ทรงมาทำอะไรที่พระราชวังตะวันออกหรือ หรือว่า…”
“อย่าเข้ามาใกล้”
“ทรงมาพบพระชายาฮวางแทจาอย่างนั้นหรือ”
เขายืนอยู่ตรงหน้ายอมินด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย และเขาก็คือรูแฮนั่นเอง รูแฮกำลังร้องไห้อยู่ รูแฮที่ไม่ได้พบเจอกันนานนั้น ตอนนี้ใบหน้าเศร้าโศกของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา
“เหตุใดจึงทรงพระกรรแสงหรือเพคะ”
“เรากังวลว่านางจะได้รับบาดเจ็บ”
แม้ไม่บอกว่านางคือใคร แต่ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ยอมินไม่อยากพบกับรูแฮในที่นี่ ตอนนี้ นางถูกห้อมล้อมไปด้วยความหวาดกลัวที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหากจิตใจของนางไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ใจของนางเต้นรัวแต่ไม่ถึงขึ้นกระเด็นหลุดออกมา และดวงตาของยอมินก็มีน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน
เมื่อยอมินร้องไห้รูแฮเลยถอยไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ ยอมินที่เดินลงมาจากศาลา เดินเข้าไปหารูแฮ นางยื่นมือที่สั่นเครือออกไปจับหน้ารูแฮแล้วเช็ดน้ำตาให้เขา รูแฮได้แต่งงงงวยกับการกระทำนี้ของนาง ยอมินที่เช็ดน้ำตาให้คนอื่นแต่ไม่ได้ใส่ใจกับน้ำตาของตนเองนั้นเก็บมือแล้วถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว
“ฝ่าพระบาทฮวางเซจาเพคะ ที่ผ่านมาทรงสบายดีหรือไม่เพคะ คืนเมื่อวานซืนมีเรื่องใดเกิดขึ้นที่ท้องพระโรงหรือไม่เพคะ”