บทที่ 20 พื้นที่นายนอนแข็งไหม
เมื่อได้ยินหัวขโมยพูดความจริง พัชรพลก็หยุดทันที
ทุกคนต่างพากันตกใจกับคำพูดของพวกมัน ใครก็คงไม่ เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของธายุกร
ไม่มีแม้แต่ความสงสัย คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบ บนั้นจะพูดโกหกได้อย่างไร กลับกันถ้าเป็นพวกเขาคงจะพูด ความจริงตั้งแต่โดนหักนิ้วนิ้วแรกแล้วล่ะ
อีกทั้งหัวขโมยยังพูดชื่อของอินทัช อินทัชคือหนึ่งในสาม ของราชาใต้ดินแห่งเมืองริเวอร์ถ้ามันโกหก มันคงจะไม่กล้า พูดคำนั้นออกมา เพราะอินทัชไม่ใช่คนที่จะไปแหย่ด้วยได้
ไอ้หัวขโมยนั่นพูดชื่อของอินทัชออกมา เพราะต้องการให้ พัชรพลเบามือลง ไม่อย่างนั้นความน่ากลัวของพัชรพลคง จะหักนิ้วของพวกมันหมดทั้งสิบนิ้ว
“ความจริงเป็นแบบนี้นี่เอง ทุกคนคงได้ยินแล้ว ผมเป็น คนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา เรื่องลักขโมยผมไม่เคยคิดที่ จะทำมัน” รพีพงษ์พูดด้วยเสียงดัง
ทุกคนต่างพากันพยักหน้า แล้วหันไปมองธายุกร
ไม่เหลือที่ให้ธายุกรแก้ต่างอีกแล้ว ทุกคนล้วนคิดว่าสิ่งที่ หัวขโมยพูดเป็นเรื่องจริง
“พวกแกพูดอะไรมั่วๆ เรื่องที่พวกแกขโมยของมันไม่ เกี่ยวข้องกับฉัน คุณปู่พวกมันใส่ร้ายผม!” ธายุกรพูดอย่าง ลุกลี้ลุกลน
“พวกเราไม่ได้ใส่ร้ายใคร พวกนายไปถามอินทัชก็จะรู้เอง พวกเราเป็นคนที่โคตรโชคร้าย ที่มาทำเรื่องนี้แทนคนแบบ มัน” คนที่โดนหักนิ้วกลั้นความเจ็บปวดแล้วพูดออกมา
ธายุกรกลืนน้ำลายลงคอ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร
สีหน้าของนภทีป์ก็แสดงถึงความโกรธ เห็นได้อย่าง ชัดเจนว่าเขาเชื่อคำพูดของหัวขโมย
แต่ทว่าเขาเข้าข้างหลานชายคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถึง แม้ว่าหลานชายจะเป็นคนส่งพวกมันมาจริงๆ ก็อาจจะเป็น เพราะอยากจะไล่รพีพงษ์ออกไปจากตระกูล
“พอแล้ว เรื่องนี้ให้มันจบแค่นี้เถอะ ฉันรู้จักหลานชายฉันดี เขาไม่ทำเรื่องแบบนี้ ส่งพวกมันไปสถานีตำรวจเถอะ แล้วก็ ห้ามใครพูดถึงเรื่องนี้อีก” นภทีป้ออกปากสั่ง
มันเห็นได้ชัดว่านภทีปกำลังเข้าข้างธายุกร แต่คนที่อยู่ ตรงนั้นก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมา
อารียาเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมกับ รพีพงษ์ เมื่อกี้หัวขโมย
สองคนนั้นบอกว่าเขาส่งพวกมันมา คุณปู่จะไล่เขาออกจาก
ตระกูล
แต่พอหัวขโมยพูดความจริงออกมาว่าทั้งหมดเป็นฝีมือ ของธายุกร คุณปู่กลับสั่งห้ามไม่ให้ผู้คนพูดถึงเรื่องนี้อีก
นี่มันไม่ยุติธรรมกับรพีพงษ์เลย
แต่นภทีป์เป็นคนที่ไม่ฟังใคร ถ้าเธอเรียกร้องความ ยุติธรรมให้เขา ก็รั้นแต่จะทำให้คุณปู่ไม่พอใจ
“อารีจัดงานนิทรรศการครั้งนี้ได้ไม่เลวเลย ของสะสมของ ฉันไม่โดนขโมย เป็นความดีความชอบของเธอ ควรจะได้รับ การชื่นชม ฉันจะเพิ่มเงินเดือนในบริษัทให้สองเท่า เพื่อเห็น แก่หน้าของเธอฉันจะยอมให้รพีพงษ์อยู่ในตระกูลต่อไป และให้มันหาเรื่องให้ฉันน้อยๆ หน่อย”
นภทีรู้ว่าครั้งนี้หลานชายของตัวเองทำเกินไป เขาก็เลย เอาเรื่องนิทรรศการมาชดใช้ให้กับอารียา
“คุณปู่คะ นิทรรศการครั้งนี้.” อารียาอยากจะอธิบายว่า การที่ของในงานไม่โดนขโมย เป็นความดีความชอบของรพี พงษ์ทั้งหมด
“พอแล้ว งานก็จบลงแล้ว รีบเก็บของให้เรียบร้อย แล้ว ไปขอบคุณเจ้าของที่นี่แทนฉันด้วย ธายุสองสามวันนี้แกกลับ ไปอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ต้องไปบริษัท”
นภทีป์พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป
ธายุกรวางแผนจะขโมยวัตถุโบราณของเขา เขาทำได้เพียงให้หลานชายกลับไปคิดทบทวนตัวเองที่บ้านเท่านั้น
ธายุกรตอบรับคำสั่งของนภทีป์ หลังจากนั้นเขาก็หันไป แสยะยิ้มให้กับ รพีพงษ์และอารียา
“รู้ว่าฉันเป็นคนทำแล้วยังไงเหรอ ฉันเป็นหลานชายแท้ๆ
ของเขา เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก ยอมรับความจริงซะเถอะ
ฉันบอกแล้วว่าทำอะไรฉันไม่ได้”
อารียาโกรธเลือดขึ้นหน้า เธอกำลังจะต่อว่าธายุกร
แต่ทว่ารพีพงษ์ยืนมือมารั้งเธอเอาไว้ก่อน “อย่าไปโมโห
ใส่คนที่เอาแต่คิดว่าตัวเองถูกแบบนั้นเลย ไม่ช้าก็เร็วเขาจะ ต้องเสียใจเอง” อารียาพยักหน้า เธอคิดว่าที่เขาพูดมีเหตุผล เธอจึงเลือกที่
จะไม่สนใจธายุกร
บางครั้งการที่ไปใส่ใจกับคนโง่มากเกินไป สุดท้ายตัวเรา เองนี่แหละที่จะกลายเป็นคนโง่เสียเอง
คนที่อยู่ในสวนดอกไม้เห็นว่างานสิ้นสุดลงแล้ว จึงพากัน เดินออกจาก วิลล่าฟ้าอนงค์
ตั้งแต่เริ่มจนจบ พวกเขาก็ยังไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงของ เจ้าของที่นี่ และไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงต้อนรับ อารียา
ชรินทร์ทิพย์เดินผ่านหน้าของทั้งคู่ด้วยสีหน้ายโสโอหัง “เธอเหนื่อยแทบตาย ก็ได้แค่เพิ่มเงินเดือนในบริษัท ถ้าเทียบเจ้าของที่นี่กับว่าที่สามีของฉันในอนาคต เจ้าของที่นี่ยัง ห่างกับเขาเยอะ รอวันที่เขามาขอฉันแต่งงาน ตระกูลฉัตร มงคล ฉันก็ไม่สนแล้ว”
รพีพงษ์เบะปาก เขาคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้ฝันกลางวัน เกินไปแล้ว
เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงค่ำ ศศินัดดาสีหน้ามีความสุข ลูก สาวของเธอจัดนิทรรศการให้ตระกูลได้สำเร็จ แถมเงินเดือน ยังเพิ่มเป็นสองเท่า นี่มันเรื่องที่ดีชัดๆ ดังนั้นเธอจึงเตรียม อาหารดีๆ เอาไว้ให้ลูกสาว
“นี่ลูกสาว ครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จครั้งใหญ่เลยนะ แม่เชื่อว่าต่อจากนี้ปู่ต้องเห็นความสำคัญของลูกแน่นอน การที่เขาเพิ่มเงินเดือนให้ลูก ถือเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น” ศศินัดดายิ้มแล้วพูดออกมา
“ใช่ ลูกสาวของเรายิ่งโดดเด่นขึ้นทุกวัน” ศักดา ก็พูดขึ้น มาเช่นกัน
“พ่อ แม่ นิทรรศการครั้งนี้ก็เป็นความดีความชอบของรพี พงษ์ด้วย ถ้าไม่ใช่เขา ….อารียา เอ่ยขึ้น “ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนไร้ประโยชน์
อย่างนั้น เพราะความสามารถของลูกทั้งหมด รพีพงษ์ไป
ในงานก็ทำได้เพียงเพิ่มความวุ่นวายให้ลูก โดยเฉพาะเรื่อง
หัวขโมยในงาน ถ้าลูกไม่รอบคอบ ไม่แน่ความผิดนี้อาจจะมาตกอยู่กับครอบครัวของเรา”
เมื่อศศินัดดาได้ยินชื่อของรพีพงษ์ เธอก็หงุดหงิดขึ้นมาทัน
“แต่ว่าแม่ รปภ. พวกนั้น …
“พอเถอะลูก ไม่ต้องไปพูดแทนมันแล้ว ครั้งนี้มันไม่โดนไล่ ออกจากตระกูลก็ดีแค่ไหนแล้ว ถึงลูกจะพูดแทนมันแค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคนไร้ประโยชน์อย่างมันได้หรอก”
อารียามองรพีพงษ์อย่างเหนื่อยใจ รพีพงษ์ยิ้มให้เธอแล้ว พูดว่า “กินข้าวเถอะ ผมไม่ได้แคร์อะไร”
หลังจากทานข้าว รพีพงษ์ ก็ไปล้างจานและเก็บกวาดเรียบ ร้อย จากนั้นเขาจึงกลับไปในห้อง
เขากำลังปูที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นก็เห็นว่าอารียากำลัง
จ้องเขาอยู่
“มีอะไรเหรอ” รพีพงษ์ถามขึ้นมา
“เรื่องวันนี้ ฉันขอโทษจจริงๆ ฉันอยากจะอธิบายให้ ชัดเจน แต่พวกเขาไม่ฟังเลย” อารียาพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด รพีพงษ์ยิ้มออกมาอย่างไม่สนใจอะไร เขาพูดขึ้นมาว่า
“แค่แก้ปัญหาได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะคิดยัง
ไง อีกอย่างการที่พวกเขายอมรับคุณ มันคือเรื่องที่สำคัญ
ที่สุดสำหรับผม”
ที่
อารียารู้สึกประทับใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันทำให้เธอ มองเขาเปลี่ยนไปมาก
“ใช่สิ สร้อยคอวีตัส นายซื้อมันมาจริงๆ เหรอ” อารียา ถามขึ้น
รพีพงษ์พยักหน้า เขาไม่ได้ปิดบังอะไร
“นะ นายมีเงินเยอะขนาดนั้นได้ยังไง” สร้อยเส้นนั้นมัน ราคาสี่สิบห้าล้านเลยนะ เขาเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากไห นกัน ะ
“เอ่อ เงินส่วนตัวนะ” รพีพงษ์ตอบ
จู่อารียา ก็พูดอะไรไม่ออก นายมีเงินส่วนตัวเก็บไว้เยอะ ขนาดนั้นเลย
เธอไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ ตั้งแต่แต่งงานกันมา เธอกับ เขาแยกกันอย่างชัดเจน เธอไม่เคยถามถึงเรื่องของเขาเลย ไม่ว่าเขาจะมีเงินเยอะขนาดไหน ขอแค่เขาไม่ได้มันมาแบบ ผิดกฎหมาย เธอก็ไม่สามารถยุ่งอะไรได้
รพีพงษ์นอนลงบนพื้น อารียาจ้องเขา ไม่รู้อะไรดลใจ ทำให้เธอถามออกไปว่า “เอ่อ นะ นายนอนบนพื้นไม่แข็งเห รอ หรือว่านายจะ…”