พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 37

บทที่ 37

บทที่ 37 ขายทีวีทิ้งไปแล้ว

“มีความเป็นไปได้อยู่ ในเมื่อซื้อเครื่องสำอางราคาแพง ขนาดนี้ได้ คงมีไม่กี่คนหรอก” อารียาพยักหน้าขึ้นลงอย่างใช้ ความคิด

รพิพงษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆตอนนี้ ก็ยิ้มขึ้นมา พอดีกับจังหวะที่ บุษบากรหันมาเห็น

เธอจ้องรพีพงษ์ตาเขม็ง พลางพูด “นายหัวเราะอะไรมิทราบ ยังไง คนที่ซื้อเครื่องสำอางให้พวกเรา ก็ไม่ใช่นายแน่นอน”

“แคลร์ ฉันว่าเธอเองก็อย่าหวังอะไรให้มันมากกับพวกคนไร้ น้ำยาเลย คนแบบเขาเนี่ย ทั้งชาตินี้เกรงว่ายังไงก็คงจะซื้อ เครื่องสำอางแพงขนาดนี้ให้เธอไม่ไหวหรอก”

อารียาหันไปมองรพีพงษ์แวบหนึ่งเธอยังแอบคิดว่า เครื่อง สำอางพวกนี้ รพีพงษ์เป็นคนซื้อให้

แต่คิดๆดูอีกที รพีพงษ์เองก็อยู่กับพวกเธอตลอด ดังนั้นก็ เลยคิดว่าเครื่องสำอางพวกนี้ คงจะเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของ บุษบากร ซื้อให้มากกว่า

แต่ยังไง เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เธอคิดว่ารพิพงษ์จะซื้อเครื่อง สำอางแพงขนาดนี้ให้เธอไม่ไหว ในเมื่อใจก็ให้มาแล้ว นับ ประสาอะไรกับเครื่องสำอางชุดเดียว

ผู้จัดการร้านช่วยบุษบากรกับอารียาหยิบเครื่องสำอางใส่ถุง รพีพงษ์มีหน้าที่ถือ หลังจากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกจากร้าน แชนแนลไป

เห็นทั้งสามคนเดินออกไปแล้ว ผู้จัดการร้านก็อดไม่ได้ที่จะ ถอนหายใจออกมา “เห้อ ของพวกนี้แค่ดูก็รู้ว่าคุณผู้ชายคนนั้น เป็นคนซื้อ ผู้หญิงคนนั้นกลับดูถูกเขาแบบนั้น ไม่รู้จริงๆว่า คนรวยสมัยนี้เขาคิดอะไรกันอยู่”
ทั้งสามคนเดินเล่นต่อในห่างสักพัก สิ่งที่ท่าให้ผู้หญิงทั้งสอง

คนไม่คาดคิดคาดฝันก็คือ ร้านค้าชั้นนำทุกร้านในห้างเหมือน

กับถูกเดี้ยมเอาไว้ พอเห็นพวกเขาสามคนเดินมา ก็รีบเข้ามา ต้อนรับอย่างดิบดี หลังจากนั้น ผู้จัดการของแต่ละร้านก็จะเดินออกมาคุยด้วย ตัวเอง ตามมาด้วยการส่งมอบของที่แพงที่สุดในร้านให้ผู้หญิง

ทั้งสองคน

บุษบากรกับอารียาสองคน งงไปหมด พวกเธอทั้งคู่เพิ่งเคย เดินห้างที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเดินในบ้านตัวเองเป็นครั้ง 4 แรก ไม่ว่าจะเป็นของอะไร ก็มีคนพร้อมที่จะประเคนให้ฟรีๆ

บุษบากรถามร้านค้าเหล่านั้นด้วยความสงสัยอย่างเปี่ยมล้น ใครกันแน่ที่เป็นคนซื้อของพวกนี้ให้พวกเธอ

ร้านค้าพวกนั้นก็ทำได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไรสักค่า บางส่วนมีแต่ จะแอบมองรพีพงษ์แวบหนึ่ง แต่คำตอบที่ให้ ก็คือไม่สามารถ เปิดเผยได้เหมือนๆกันหมด

ตัวตนของบุคคลลึกลับคนนี้ทำให้บุษบากรสงสัยแล้วสงสัย อีก แต่เธอก็เชื่อว่า คนที่ซื้อของให้พวกเธอ จะต้องเป็นนาย ดวงใจตะวันอย่างแน่นอน

วันนี้นายดวงใจตะวันเอง ก็ส่งของขวัญให้เธอ แล้วก็หายไป ไม่พูดอะไรสักครึ่งคำ เทียบกับผู้ชายที่ซื้อของขวัญให้พวก เธอแล้ว ล้วนลึกลับพอๆกัน

อารียาเองก็คิดว่าคนที่ซื้อของให้พวกเธอ ต้องเป็นนาย ดวงใจตะวันอะไรนั่นแน่ๆ ในเมื่อพวกเธอเองก็คิดไม่ออกแล้ว ว่าเป็นใคร

แต่มีเพียงแค่รพีพงษ์เท่านั้นที่รู้ ของพวกนี้ คือของที่ตาสี ทองซื้อเพื่อเจรจาต่อรองกับเขา

และก็เป็นเพราะมีนายดวงใจตะวันโผล่ขึ้นมาเปรียบเทียบทำให้ตอนนี้บุษบากรยิ่งดูถูกดรพีพงษ์ไปกันใหญ่ ตอนนี้คงจะ เปรียบเทียบเขาเป็นซะยิ่งกว่าเศษขยะ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอรู้ดีถึงการประพฤติตัวของรพีพงษ์ ใน ช่วงนี้ ก็คงจะไขว้เขวตามคำพูดดูถูกดูแคลนนับครั้งไม่ถ้วน ของบุษบากรไปแล้ว

หลังจากเดินเสร็จ ในมือของรพีพงษ์ล้วนมีถุงเล็กถุงน้อย พะรุงพะรังเต็มมือไปหมด ล้วนเป็นของจากร้านชั้นนำทั้งนั้น ถ้าคำนวณรวมกันเกรงว่าจะปาเข้าไปเป็นแสนๆ หยวน

ตาสีทองเพื่อที่จะต่อรองกับรพีพงษ์ ถึงจะเป็นจำนวนนับไม่ ถ้วน แต่แน่นอนว่า เงินจำนวนแค่นี้ สำหรับตระกูลลัดดาวัลย์ แล้ว ก็แค่เศษขนหน้าแข้งเท่านั้นแหละ

น่าเสียดายที่ตอนนี้รพีพงษ์ไม่ใช่เด็กหนุ่มสำมะเลเทเมาอีก ต่อไปแล้ว ตระกูลลัดดาวัลย์ไม่สนใจเงินเพียงน้อยนิดพวกนี้ รพีพงษ์เองก็ไม่สนใจเหมือนกัน

“นายเดินระวังๆไว้เลยนะ ของพวกนี้น่ะมาจากเจ้าชายขี่ม้า ขาวของฉัน ถ้าเสียหายขึ้นมาล่ะก็ นายรับผิดชอบไม่ไหวแน่ๆ” บุษบากรมองรพีพงษ์อย่างไม่พอใจ

ในใจของเธอ เอารพีพงษ์ไปเปรียบกับเจ้าชายขี่ม้าขาวของ เธอแล้ว ยังไงก็เปรียบไม่ขึ้น

ทั้งสามคนเดินออกมาจากห้างอย่างคืนกำไรเต็มๆ บุษบากร อารมณ์ดีไม่น้อย หยิบของส่วนของเธอไป ก่อนจะบอกลาอารี ยา เพื่อเดินออกไปเรียกรถ

“แคลร์ อย่าลืมมางานเลี้ยงรุ่นอาทิตย์หน้านะ ถ้าเธอไม่ไป ล่ะก็ หัวหน้าสาขาของเราคงจะอกหักดังเปราะ” บุษบากรพูด ประโยคหนึ่งก่อนที่จะไป

รพีพงษ์ถือของกลับบ้านกับอารียา ตอนที่ถึงทางเข้า เขาก็ ค้นพบว่าพี่ชายที่ขายเครปไม่มาอีกแล้ว
ไม่ได้คิดอะไรมาก รพีพงษ์กับอารียาก็กลับเข้าบ้าน เอาของ วางไว้บนโต๊ะ

ศศินัดดาเดินออกมาจากห้อง เห็นพวกเขาซื้อของกลับมา เยอะขนาดนี้ ก็อดที่จะกวาดตามองไม่ได้

“แคลร์ แม่ได้ยินมาว่าของพวกนี้ราคาแพงมาก ครั้งที่แล้วที่ ลูกไปจัดแสดง ได้เงินมาเท่าไหร่กัน ถึงได้ซื้อของมาเยอะ ขนาดนี้” ศศินัดดาพูดด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“นี่เป็นของที่หวานใจของบุษให้น่ะ หนูไม่ได้ใช้เงินตัวเอง เลยด้วยซ้ำ” อารียาอธิบาย

ศศินัดดาแค่ได้ยินดังนั้น ก็เบิกตาโต รีบถามออกไป “หวาน ใจของเธอ รวยขนาดนี้เลยหรอ”

“น่าจะอย่างนั้น”

ศศินัดดารีบมองไปทางรพีพงษ์ ความเกลียดชังในตาเพิ่ม ขึ้นไม่น้อย “แกดูเขาสิ แล้วลองดูตัวเองบ้าง วันๆเอาแต่กิน ไม่ ทำการทำงานอะไร ของพวกนี้ยังจะต้องให้คนอื่นซื้อให้ ลูกสาวฉันแทนอีก ทำไมบ้านเรามันถึงมีคนที่ไร้ประโยชน์ อย่างแกได้กัน”

“ของพวกนี้ ผมก็ซื้อให้อารียาได้เหมือนกัน” รพีพงษ์เอ่ย ปากพูด

“แกจะเอาอะไรไปซื้อ ทุกวี่ทุกวันแกก็กินข้าวบ้านเรา ดื่มน้ำ บ้านเรา หรือว่ายังอยากจะมาเกาะเงินลูกสาวฉันกินอีก ถ้าแก คิดแบบนี้ล่ะก็ รีบไสหัวไปให้พ้นจากบ้านฉันเลยนะ!” ศศิ นัดดาพูดอย่างเจ้ากี้เจ้าการ

อารียาเห็นศศินัดดาเริ่มหาเรื่อง ก็พูดออกไปอย่างหมด ความอดทน “แม่ ถ้าแม่พูดอย่างนี้อีก หนูจะโกรธจริงๆแล้วนะ”

ศศินัดดาเบ้ปาก หยุดด่ารพีพงษ์ ขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
ไม่ได้คิดอะไรมาก รพีพงษ์กับอารียาก็กลับเข้าบ้าน เอาของ วางไว้บนโต๊ะ

ศศินัดดาเดินออกมาจากห้อง เห็นพวกเขาซื้อของกลับมา เยอะขนาดนี้ ก็อดที่จะกวาดตามองไม่ได้

“แคลร์ แม่ได้ยินมาว่าของพวกนี้ราคาแพงมาก ครั้งที่แล้วที่ ลูกไปจัดแสดง ได้เงินมาเท่าไหร่กัน ถึงได้ซื้อของมาเยอะ ขนาดนี้” ศศินัดดาพูดด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“นี่เป็นของที่หวานใจของบุษให้น่ะ หนูไม่ได้ใช้เงินตัวเอง เลยด้วยซ้ำ” อารียาอธิบาย

ศศินัดดาแค่ได้ยินดังนั้น ก็เบิกตาโต รีบถามออกไป “หวาน ใจของเธอ รวยขนาดนี้เลยหรอ”

“น่าจะอย่างนั้น”

ศศินัดดารีบมองไปทางรพีพงษ์ ความเกลียดชังในตาเพิ่ม ขึ้นไม่น้อย “แกดูเขาสิ แล้วลองดูตัวเองบ้าง วันๆเอาแต่กิน ไม่ ทำการทำงานอะไร ของพวกนี้ยังจะต้องให้คนอื่นซื้อให้ ลูกสาวฉันแทนอีก ทำไมบ้านเรามันถึงมีคนที่ไร้ประโยชน์ อย่างแกได้กัน”

“ของพวกนี้ ผมก็ซื้อให้อารียาได้เหมือนกัน” รพีพงษ์เอ่ย ปากพูด

“แกจะเอาอะไรไปซื้อ ทุกวี่ทุกวันแกก็กินข้าวบ้านเรา ดื่มน้ำ บ้านเรา หรือว่ายังอยากจะมาเกาะเงินลูกสาวฉันกินอีก ถ้าแก คิดแบบนี้ล่ะก็ รีบไสหัวไปให้พ้นจากบ้านฉันเลยนะ!” ศศิ นัดดาพูดอย่างเจ้ากี้เจ้าการ

อารียาเห็นศศินัดดาเริ่มหาเรื่อง ก็พูดออกไปอย่างหมด ความอดทน “แม่ ถ้าแม่พูดอย่างนี้อีก หนูจะโกรธจริงๆแล้วนะ”

ศศินัดดาเบ้ปาก หยุดด่ารพีพงษ์ ขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วก็ยังไม่คืนเลย พ่อทำทุกวิถีทาง ยังได้คืนมาก็แค่เจ็ดส่วน อาวี เป็นคนไว้ใจไม่ได้ ทำไมแม่ถึงเอาทีวีให้เขาไป ดีไม่ดีก็ไม่ ปรึกษาหนูสักคำอีก” อารียาโกรธจนกัดฟันแน่

“หืม ลูกแม่ ลูกพูดขึ้นมา แม่ก็เพิ่งนึกได้ว่าเขายืมเงินเราไป ทีวีเขาก็เอาไปแล้ว แล้วเราจะทำยังไงล่ะทีนี้” ศศินัดดาทั้งที่ ทำผิดแต่ก็ยังทำเป็นไม่รู้อิโหน่อิเหน่

อารียาโกรธจนไม่อยากพูดกับเธออีก ทำได้เพียงแต่ส่ง สายตาขอโทษไปทางรพีพงษ์

รพีพงษ์ยิ้มอ่อนๆให้อารียา พลางพูด “ไม่เป็นไรนะ”

หลังจากเข้าห้องตอนดึก อารียามองไปทางรพีพงษ์ด้วย ความรู้สึกผิดอย่างมาก พร้อมพูด “ฉันขอโทษจริงๆนะ แม่ฉัน ก็เป็นคนแบบนี้ ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเธอ เรื่องเงินค่าทีวี ฉันจะหาทางเอามาคืนนายเอง”

“อย่าพูดห่างเกินกับฉันแบบนี้จะได้ไหม จริงๆแล้วทีวีเครื่อง นั้นฉันก็ซื้อให้พ่อแม่เธอนั่นแหละ จะจัดการยังไง ก็แล้วแต่ พวกเรา ฉันไม่ว่าอะไรหรอก” รพีพงษ์เอ่ยปาก

“แต่ว่า อาวี นั่นไว้ใจไม่ได้ เขาเอาทีวีไปแล้ว ก็เหมือนกับให้ ฟรี เงินก็เอาคืนมาไม่ได้แล้วด้วย แม่ฉันนี่ถูกต้มซะเปื่อย ทำไม ถึงโง่ขนาดไปเชื่อคำพูดอาวี ได้” อารียาพูดไปพลางถอน หายใจเฮือกใหญ่

“อาวี หรอ คนที่เคยมาบ้านเราครั้งหนึ่งน่ะหรอ” รพีพงษ์ถาม

อารียาพยักหน้า

รพีพงษ์พอจะจำอาวี อะไรนั่นได้อยู่คลับคล้ายคลับคลา ผู้ชายคนนั้นยังไงก็ไว้ใจไม่ได้ แถมถ้าบังคับเขาให้คืนเงินล่ะก็ เขาก็จะแกล้งทำแก้วตกแตก หาว่าเราทำให้โรคหัวใจเขา กำเริบอีก

ร้ายกาจขนาดที่ว่า สามารถรวมหัวกับศศินัดดาได้
“เรื่องนี้เธอไม่ต้องคิดมากแล้วล่ะ เงินยังไงฉันก็จะถวงคืนมา ให้ได้” รพีพงษ์เอ่ยปาก

อารียาตกใจไม่น้อย แต่คิดดูแล้ว ช่วงนี้รพีพงษ์เองก็ทำเรื่อง ให้เธอประหลาดใจตั้งมากมาย ในใจก็เลยเชื่อรพีพงษ์อย่าง ไม่มีข้อกังขา

เธอไม่ได้คิดมากเรื่องนี้อีก เดินช้อปปิ้งมาทั้งวัน เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัวไปหมด

เธอแทบอยากที่จะใช้มือตัวเองนวดให้ตัวเอง แต่อยู่ๆใน สมองก็นึกถึงความรู้สึกเมื่อวานตอนกลางคืน ตอนที่รพีพงษ์ นวดให้เธอ

เธอหันหน้าไปมองรพีพงษ์ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆขึ้นมา “คือ ว่า….นายช่วยนวดให้ฉันอีกสักครั้งจะได้ไหม เมื่อวานมัน สบายมากเลย”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท