พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 59

บทที่ 59

บทที่ 59 กล้าได้กล้าเสีย

“อ้อ? งั้นเธออยากเดิมพันอะไร?”รพีพงษ์ถาม

“กล้าได้กล้าเสียสิ!” บุษบากรยิ้มอย่างมีเลศนัยราวกับ ว่าเธอกำลังจะกินรพีพงษ์

เธอไม่ได้กลัวว่ารพีพงษ์จะชนะ แต่ถ้าหากรพีพงษ์ชนะ เธอได้ เธอคิดว่ารพีพงษ์คงไม่ให้เธอทำอะไรแผลงๆ

ในสายตาเธอรพีพงษ์ก็เป็นแค่คนขี้ขลาด ไม่ว่าจะกล้า ได้กล้าเสียขนาดไหน เขาจะไม่กล้าใช้คำพูดโหดร้ายกับ เธออย่างแน่นอน

อีกทั้งอารียาก็อยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงไม่กลัวว่ารพีพงษ์จะใช้ โอกาสนี้มาแก้แค้นเธอ

แต่ถ้าเธอชนะ เธอก็จะใช้โอกาสนี้กำราบความหยิ่ง ผยองของรพีพงษ์ที่เขาชนะเกมติดกันหลายๆครั้ง

แน่นอนว่ารพีพงษ์ไม่รู้ว่าบุษบากรกำลังคิดจะทำอะไร แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้กังวลว่าบุษบากรจะใช้วิธี แบบไหนมาเล่นกับเขา เพราะเมื่อยู่ต่อหน้าเขา บุษบากร ไม่มีทางชนะ

“ได้ เริ่มเลย” รพีพงษ์พูด

บุษบากรรับถ้วยเขย่าลูกเต๋ามาแล้วยื่นให้รพีพงษ์ “นาย เริ่มก่อน”

ในขณะนั้นเธอสังเกตเห็นตอนที่รพีพงษ์และเจตนิพัทธ์ ดวลกัน ทุกครั้งล้วนแล้วแต่เป็น เจตนิพัทธ์เป็นคนเริ่มเล่น ก่อน และทุกครั้งรพีพงษ์ก็จะได้แต้มมากกว่าเขาหนึ่งแต้ม
เธอคิดว่ากุญแจสำคัญที่ทำให้รพีพงษ์ชนะคือจุดนี้ ดัง นั้นเธอจึงให้รพีพงษ์เขย่าก่อน

รพีพงษ์ยิ้มพลางส่ายหน้า เขาเขย่าถ้วยโดยไม่ได้ใส่ใจ แล้ววางลง หลังจากที่เขาวางลงแล้วเปิดถ้วย ทุกคนก็พบว่าลูกเต๋า

ทั้งสี่ลูกเป็นห้าแต้ม ทั้งหมดรวมเป็นยี่สิบแต้ม

ยี่สิบแต้มถือว่าเป็นคะแนนที่เยอะมากทีเดียว หากมอง ว่าเป็นเรื่องของโชคเพียงอย่างเดียว โอกาสที่จะได้ยี่สิบ แต้มมีน้อยมาก

รพีพงษ์ ไม่คิดว่าบุษบากรจะมีทักษะแบบเจตนิพัทธ์ แต่ ถ้าหากเธอเขย่าออกมาได้ยี่สิบแต้มขึ้นไป รพีพงษ์ก็ ยอมรับแต่โดยดี

หลังจากบุษบากรเห็นคะแนนที่รพีพงษ์เขย่าออกมา แล้วก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด จากนั้นเธอก็นำถ้วยลูกเต่า ไปแล้วแอบขยับมือและเท้า หลังจากที่แกล้งเขย่าถ้วย ลูกเต่าเสร็จก็เปิดถ้วยออก

“ฉันได้หกแต้มหนึ่งลูก อีกสามลูกได้ห้าแต้ม ฉันได้ มากกว่านาย ฉันชนะแล้ว” เมื่อกี้นี้เธอเพียงขยับลูกเต๋า ของรพีพงษ์เพียงหนึ่งลูกให้เป็นหกแต้ม ที่เหลือทิ้งไว้ไม่ ขยับ

รพีพงษ์มองบุษบากรโดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อกี้ที่เธอ ขยับก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเธอกำลังเห็นเขาเป็นคนโง่

“เมื่อกี้ฉันเห็นแล้วว่าเธอใช้มือขยับลูกเต่า” รพีพงษ์พูด

ที่อๆ

“ฉันใช้มืออะไรกัน นายแพ้แล้วก็ต้องยอมแพ้สิยังจะปฏิเสธทำไม คิดจะรังแกผู้หญิงหรือไง ยอมรับมาซะดีดี เถอะ” บุษบากรเริ่มมีสีหน้าขุ่นเคือง

เมื่อผู้ชายที่อยู่รอบๆได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็เริ่มเห็นอก เห็นใจ และกล่าวหารพีพงษ์

“นายเป็นผู้ชาย พูดกับผู้หญิงแบบนี้ได้อย่างไร ไม่ว่า

เธอจะชนะนายอย่างไร แต่นายทำแบบนี้ก็ไม่ถูก”

“ทำไมนายมันใจแคบแบบนี้ล่ะ มันเป็นแค่เกมไม่ใช่หรือ จะจริงจังไปทำไม”

“นายเล่นจริงจังกับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่รู้ว่านายกำลังคิด อะไรอยู่กันแน่ ถ้าเป็นฉันฉันจะแพ้ให้เธอ”

รพีพงษ์โดนกล่าวหาจนรู้สึกปวดหัว เห็นชัดๆว่าบุษบา กรโกง แต่ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนผิด

“รพีพงษ์ คุณก็อย่าเอาจริงเอาจังกับบุษนักเลย เธอก็ แค่ชอบทำตัวฉลาด”อารียาพูดอีกประโยค

รพีพงษ์สูดหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นถือว่าเธอชนะ แล้วกัน”

ทันใดนั้นสีหน้าของบุษบากรก็แสดงรอยยิ้มประสบ ความสำเร็จและพูดว่า “นายเป็นผู้ชาย แค่กล้ายอมรับก็ แค่นั้น ตอนนี้นายจะต้องเลื่อนโต๊ะหินอ่อนนี้ไปข้างหน้า ฉันทีละห้าเซนติเมตร ไม่อย่างงั้น…นายจะต้องยอมรับว่า นายเป็นไอ้เศษสวะต่อหน้าทุกคน”

ทุกคนมองไปที่โต๊ะหินอ่อนในห้องส่วนตัว โต๊ะตัวนี้มีน้ำ หนักอย่างน้อยร้อยถึงสองร้อยกิโล ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงรพีพงษ์หรอก คนทั้งห้องนี้ก็ยังยกโต๊ะตัวนี้ขึ้นไม่ได้

“บุษ ข้อเรียกร้องเธอมันดูจะเกินไปหน่อยนะ” อารียา

พูด

บุษบากรดูเฉยเมยและพูดว่า “เกินไปตรงไหน กล้าๆ หน่อยสิ ไม่เห็นยากขนาดนั้นเลยนี่ ถ้าไม่กล้าทำจริงๆ เขา ก็ต้องยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าเขาเป็นเศษสวะ ฉันไม่ได้ บังคับให้เขาทำเสียหน่อย”

อารียารู้สึกโมโแทนรพีพงษ์ โดยคิดว่าเพื่อนรักคนนี้ ของเธอทำให้เธอผิดหวังจริงๆ

รพีพงษ์เหลือบมองบุษบากร บุษบากรจ้องไปที่รพีพงษ์ ด้วยสายตาหยิ่งผยอง และมั่นใจว่ารพีพงษ์ไม่สามารถ ย้ายโต๊ะหนักๆตัวนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงมั่นใจว่าเขาจะต้อง ยอมรับว่าตัวเองเป็นเศษสวะต่อหน้าทุกคน

รพีพงษ์ยิ้มแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็พูดกับบุษบากรว่า “ขอ ทางหน่อย”

“นายจะทำอะไร? หรือว่านายจะยกโต๊ะตัวนี้จริงๆ?” บุษบากรเบิกตาโพล่ง

“รพีพงษ์คงไม่ได้บ้าไปหรอกมั้ง นี่คือโต๊ะหินอ่อนที่หนัก กว่าร้อยถึงสองร้อยกิโลเลยนะ

“เห็นแบบนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเขากำลังคิดว่าตัวเองจะ ย้ายโต๊ะที่หนักขนาดนี้ได้ ไม่กลัวเอวหักหรือไง” “ถ้าวันนี้เขาย้ายโต๊ะตัวนี้ได้ ฉันจะกินขี้ถ่ายทอดสดให้

ดูเลย!”
รพีพงษ์จ้องไปที่โต๊ะตัวนั้นสักพัก จากนั้นก็พบจุดที่ สะดวกในการออกแรง เขาวางมือทั้งสองข้าง ก้มลงและ ยกขึ้นมาด้วยแรงของเขา โต๊ะตัวนั้นก็ถูกเขายกขึ้นเล็ก น้อย

จากนั้นเขาก็รีบขยับไปด้านหน้าเล็กน้อยแล้ววางโต๊ะลง อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ทุกคนต่างดูฉากนี้อย่างตกตะลึง นี่คือโต๊ะที่มีน้ำหนัก มากกว่าร้อยถึงสอยร้อยกิโล รพีพงษ์สามารถยกมันขึ้น มาแล้วขยับมันถึงห้าเซนติเมตรได้จริงหรือ?

บุษบากรจ้องมองการเคลื่อนไหวของรพีพงษ์ราวกับว่า กำลังมองสัตว์ประหลาด

“เขา….เขามีแรงเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“นี่คงไม่ใช่เป็นผลมาจากการทำงานบ้านทั้งวันและ ออกกำลังกายใช่ไหม?”

“ให้ตายเถอะ ถ้าออกกำลังกายเยอะขนาดนี้จะเอาเวลา ไปทำอย่างอื่นได้อย่างไร”

“พวกนายไม่ลองคิดดูล่ะว่ารพีพงษ์ทำอะไรอยู่บ้าน เขา คงต้องทำงานที่หนักที่สุดแน่ๆ ถ้าฉันใช้ชีวิตอย่าง เหน็ดเหนื่อยแบบนี้ทุกวัน ฉันอาจจะมีพลังเยอะแบบเขา ก็ได้

“ที่พูดมาก็จริง ยิ่งมีแรงเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการพิสูจน์ ได้ว่าเขาทำงานที่บ้านเยอะขนาดไหน”

“ฉันทำได้แล้ว” รพีพงษ์หันไปจ้องบุษบากร จากนั้นก็กลับไปนั่งข้างๆอารียา

อารียาจ้องรพีพงษ์แล้วถามว่า “ทำไมคุณถึงแรงเยอะ ขนาดนี้?”

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แน่ว่า…อาจจะเป็นผลมาจาก การทำงานบ้านก็ได้นะ?”

อารียากลอกตามองเขา เธอสงสัยว่ารพีพงษ์กำลังบ่น อยู่หรือเปล่า?

งั้นวันหลังตัวเองทำงานบ้านกับเขาก็ได้

ทุกคนยังคงร้องรำทำเพลงกันต่อไป แต่แค่ว่าไม่มีใคร กล้ามาเขย่าลูกเต๋ำกับรพีพงษ์อีก

เจตนิพัทธ์ออกไปเข้าห้องน้ำแล้วยังไม่กลับมา รพีพงษ์ คิดว่าเขาคงหลับคาชักโครกเรียบร้อยแล้ว เมื่อห็นว่าคนอื่นกำลังครึกครื้น รพีพงษ์จึงเงยหน้ามอง

อารียาแล้วหยิบลูกเต๋าขึ้นมา เขาพูดกับเธอว่า “เรามาลอง

เล่นด้วยกันหน่อยไหม?”

“ไม่เอา คุณเก่งเกินไป” อารียาพูด

“คราวนี้ผมจะไม่ใช้ทักษะ แต่จะใช้ดวง” รพีพงษ์พูด

อย่างยิ้มๆ

อารียาคิดสักพักแล้วพยักหน้า

รพีพงษ์เขย่าลูกเต๋าทันที ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ทักษะใดๆ

สิบแต้ม

รพีพงษ์หัวเราะและส่ายหัว

อารียาหยิบถ้วยลูกเต่าแล้วใช้แรงเขย่า หลังจากที่เปิดออกมาก็เห็นว่ามีสองลูกที่ได้ห้าแต้ม ส่วนอีกลูกได้สี่แต้ม เธอจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ฉันได้สิบสี่แต้ม คุณแพ้แล้ว”

เมื่อรพีพงษ์เห็นท่าทางดีใจของอารียา ในใจของเขาก็ รู้สึกมีความสุข เขาแพ้ให้อารียาด้วยความเต็มใจ

“ใช่แล้ว ผมแพ้แล้ว ไหนบอกมาซิว่าคุณอยากให้ผมทำ

อะไร”

อารียาตั้งใจคิด เธอมองไปทางบุษบากรแล้วเหมือนคิด อะไรออก ดวงตาคู่นั้นมองหน้ารพีพงษ์แล้วพูดว่า

“คุณไปร้องเพลงสิ ฉันอยากฟังคุณร้องเพลง”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท