บทที่ 59 กล้าได้กล้าเสีย
“อ้อ? งั้นเธออยากเดิมพันอะไร?”รพีพงษ์ถาม
“กล้าได้กล้าเสียสิ!” บุษบากรยิ้มอย่างมีเลศนัยราวกับ ว่าเธอกำลังจะกินรพีพงษ์
เธอไม่ได้กลัวว่ารพีพงษ์จะชนะ แต่ถ้าหากรพีพงษ์ชนะ เธอได้ เธอคิดว่ารพีพงษ์คงไม่ให้เธอทำอะไรแผลงๆ
ในสายตาเธอรพีพงษ์ก็เป็นแค่คนขี้ขลาด ไม่ว่าจะกล้า ได้กล้าเสียขนาดไหน เขาจะไม่กล้าใช้คำพูดโหดร้ายกับ เธออย่างแน่นอน
อีกทั้งอารียาก็อยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงไม่กลัวว่ารพีพงษ์จะใช้ โอกาสนี้มาแก้แค้นเธอ
แต่ถ้าเธอชนะ เธอก็จะใช้โอกาสนี้กำราบความหยิ่ง ผยองของรพีพงษ์ที่เขาชนะเกมติดกันหลายๆครั้ง
แน่นอนว่ารพีพงษ์ไม่รู้ว่าบุษบากรกำลังคิดจะทำอะไร แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้กังวลว่าบุษบากรจะใช้วิธี แบบไหนมาเล่นกับเขา เพราะเมื่อยู่ต่อหน้าเขา บุษบากร ไม่มีทางชนะ
“ได้ เริ่มเลย” รพีพงษ์พูด
บุษบากรรับถ้วยเขย่าลูกเต๋ามาแล้วยื่นให้รพีพงษ์ “นาย เริ่มก่อน”
ในขณะนั้นเธอสังเกตเห็นตอนที่รพีพงษ์และเจตนิพัทธ์ ดวลกัน ทุกครั้งล้วนแล้วแต่เป็น เจตนิพัทธ์เป็นคนเริ่มเล่น ก่อน และทุกครั้งรพีพงษ์ก็จะได้แต้มมากกว่าเขาหนึ่งแต้ม
เธอคิดว่ากุญแจสำคัญที่ทำให้รพีพงษ์ชนะคือจุดนี้ ดัง นั้นเธอจึงให้รพีพงษ์เขย่าก่อน
รพีพงษ์ยิ้มพลางส่ายหน้า เขาเขย่าถ้วยโดยไม่ได้ใส่ใจ แล้ววางลง หลังจากที่เขาวางลงแล้วเปิดถ้วย ทุกคนก็พบว่าลูกเต๋า
ทั้งสี่ลูกเป็นห้าแต้ม ทั้งหมดรวมเป็นยี่สิบแต้ม
ยี่สิบแต้มถือว่าเป็นคะแนนที่เยอะมากทีเดียว หากมอง ว่าเป็นเรื่องของโชคเพียงอย่างเดียว โอกาสที่จะได้ยี่สิบ แต้มมีน้อยมาก
รพีพงษ์ ไม่คิดว่าบุษบากรจะมีทักษะแบบเจตนิพัทธ์ แต่ ถ้าหากเธอเขย่าออกมาได้ยี่สิบแต้มขึ้นไป รพีพงษ์ก็ ยอมรับแต่โดยดี
หลังจากบุษบากรเห็นคะแนนที่รพีพงษ์เขย่าออกมา แล้วก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด จากนั้นเธอก็นำถ้วยลูกเต่า ไปแล้วแอบขยับมือและเท้า หลังจากที่แกล้งเขย่าถ้วย ลูกเต่าเสร็จก็เปิดถ้วยออก
“ฉันได้หกแต้มหนึ่งลูก อีกสามลูกได้ห้าแต้ม ฉันได้ มากกว่านาย ฉันชนะแล้ว” เมื่อกี้นี้เธอเพียงขยับลูกเต๋า ของรพีพงษ์เพียงหนึ่งลูกให้เป็นหกแต้ม ที่เหลือทิ้งไว้ไม่ ขยับ
รพีพงษ์มองบุษบากรโดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อกี้ที่เธอ ขยับก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเธอกำลังเห็นเขาเป็นคนโง่
“เมื่อกี้ฉันเห็นแล้วว่าเธอใช้มือขยับลูกเต่า” รพีพงษ์พูด
ที่อๆ
“ฉันใช้มืออะไรกัน นายแพ้แล้วก็ต้องยอมแพ้สิยังจะปฏิเสธทำไม คิดจะรังแกผู้หญิงหรือไง ยอมรับมาซะดีดี เถอะ” บุษบากรเริ่มมีสีหน้าขุ่นเคือง
เมื่อผู้ชายที่อยู่รอบๆได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็เริ่มเห็นอก เห็นใจ และกล่าวหารพีพงษ์
“นายเป็นผู้ชาย พูดกับผู้หญิงแบบนี้ได้อย่างไร ไม่ว่า
เธอจะชนะนายอย่างไร แต่นายทำแบบนี้ก็ไม่ถูก”
“ทำไมนายมันใจแคบแบบนี้ล่ะ มันเป็นแค่เกมไม่ใช่หรือ จะจริงจังไปทำไม”
“นายเล่นจริงจังกับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่รู้ว่านายกำลังคิด อะไรอยู่กันแน่ ถ้าเป็นฉันฉันจะแพ้ให้เธอ”
รพีพงษ์โดนกล่าวหาจนรู้สึกปวดหัว เห็นชัดๆว่าบุษบา กรโกง แต่ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนผิด
“รพีพงษ์ คุณก็อย่าเอาจริงเอาจังกับบุษนักเลย เธอก็ แค่ชอบทำตัวฉลาด”อารียาพูดอีกประโยค
รพีพงษ์สูดหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นถือว่าเธอชนะ แล้วกัน”
ทันใดนั้นสีหน้าของบุษบากรก็แสดงรอยยิ้มประสบ ความสำเร็จและพูดว่า “นายเป็นผู้ชาย แค่กล้ายอมรับก็ แค่นั้น ตอนนี้นายจะต้องเลื่อนโต๊ะหินอ่อนนี้ไปข้างหน้า ฉันทีละห้าเซนติเมตร ไม่อย่างงั้น…นายจะต้องยอมรับว่า นายเป็นไอ้เศษสวะต่อหน้าทุกคน”
ทุกคนมองไปที่โต๊ะหินอ่อนในห้องส่วนตัว โต๊ะตัวนี้มีน้ำ หนักอย่างน้อยร้อยถึงสองร้อยกิโล ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงรพีพงษ์หรอก คนทั้งห้องนี้ก็ยังยกโต๊ะตัวนี้ขึ้นไม่ได้
“บุษ ข้อเรียกร้องเธอมันดูจะเกินไปหน่อยนะ” อารียา
พูด
บุษบากรดูเฉยเมยและพูดว่า “เกินไปตรงไหน กล้าๆ หน่อยสิ ไม่เห็นยากขนาดนั้นเลยนี่ ถ้าไม่กล้าทำจริงๆ เขา ก็ต้องยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าเขาเป็นเศษสวะ ฉันไม่ได้ บังคับให้เขาทำเสียหน่อย”
อารียารู้สึกโมโแทนรพีพงษ์ โดยคิดว่าเพื่อนรักคนนี้ ของเธอทำให้เธอผิดหวังจริงๆ
รพีพงษ์เหลือบมองบุษบากร บุษบากรจ้องไปที่รพีพงษ์ ด้วยสายตาหยิ่งผยอง และมั่นใจว่ารพีพงษ์ไม่สามารถ ย้ายโต๊ะหนักๆตัวนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงมั่นใจว่าเขาจะต้อง ยอมรับว่าตัวเองเป็นเศษสวะต่อหน้าทุกคน
รพีพงษ์ยิ้มแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็พูดกับบุษบากรว่า “ขอ ทางหน่อย”
“นายจะทำอะไร? หรือว่านายจะยกโต๊ะตัวนี้จริงๆ?” บุษบากรเบิกตาโพล่ง
“รพีพงษ์คงไม่ได้บ้าไปหรอกมั้ง นี่คือโต๊ะหินอ่อนที่หนัก กว่าร้อยถึงสองร้อยกิโลเลยนะ
“เห็นแบบนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเขากำลังคิดว่าตัวเองจะ ย้ายโต๊ะที่หนักขนาดนี้ได้ ไม่กลัวเอวหักหรือไง” “ถ้าวันนี้เขาย้ายโต๊ะตัวนี้ได้ ฉันจะกินขี้ถ่ายทอดสดให้
ดูเลย!”
รพีพงษ์จ้องไปที่โต๊ะตัวนั้นสักพัก จากนั้นก็พบจุดที่ สะดวกในการออกแรง เขาวางมือทั้งสองข้าง ก้มลงและ ยกขึ้นมาด้วยแรงของเขา โต๊ะตัวนั้นก็ถูกเขายกขึ้นเล็ก น้อย
จากนั้นเขาก็รีบขยับไปด้านหน้าเล็กน้อยแล้ววางโต๊ะลง อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างดูฉากนี้อย่างตกตะลึง นี่คือโต๊ะที่มีน้ำหนัก มากกว่าร้อยถึงสอยร้อยกิโล รพีพงษ์สามารถยกมันขึ้น มาแล้วขยับมันถึงห้าเซนติเมตรได้จริงหรือ?
บุษบากรจ้องมองการเคลื่อนไหวของรพีพงษ์ราวกับว่า กำลังมองสัตว์ประหลาด
“เขา….เขามีแรงเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“นี่คงไม่ใช่เป็นผลมาจากการทำงานบ้านทั้งวันและ ออกกำลังกายใช่ไหม?”
“ให้ตายเถอะ ถ้าออกกำลังกายเยอะขนาดนี้จะเอาเวลา ไปทำอย่างอื่นได้อย่างไร”
“พวกนายไม่ลองคิดดูล่ะว่ารพีพงษ์ทำอะไรอยู่บ้าน เขา คงต้องทำงานที่หนักที่สุดแน่ๆ ถ้าฉันใช้ชีวิตอย่าง เหน็ดเหนื่อยแบบนี้ทุกวัน ฉันอาจจะมีพลังเยอะแบบเขา ก็ได้
“ที่พูดมาก็จริง ยิ่งมีแรงเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการพิสูจน์ ได้ว่าเขาทำงานที่บ้านเยอะขนาดไหน”
“ฉันทำได้แล้ว” รพีพงษ์หันไปจ้องบุษบากร จากนั้นก็กลับไปนั่งข้างๆอารียา
อารียาจ้องรพีพงษ์แล้วถามว่า “ทำไมคุณถึงแรงเยอะ ขนาดนี้?”
รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แน่ว่า…อาจจะเป็นผลมาจาก การทำงานบ้านก็ได้นะ?”
อารียากลอกตามองเขา เธอสงสัยว่ารพีพงษ์กำลังบ่น อยู่หรือเปล่า?
งั้นวันหลังตัวเองทำงานบ้านกับเขาก็ได้
ทุกคนยังคงร้องรำทำเพลงกันต่อไป แต่แค่ว่าไม่มีใคร กล้ามาเขย่าลูกเต๋ำกับรพีพงษ์อีก
เจตนิพัทธ์ออกไปเข้าห้องน้ำแล้วยังไม่กลับมา รพีพงษ์ คิดว่าเขาคงหลับคาชักโครกเรียบร้อยแล้ว เมื่อห็นว่าคนอื่นกำลังครึกครื้น รพีพงษ์จึงเงยหน้ามอง
อารียาแล้วหยิบลูกเต๋าขึ้นมา เขาพูดกับเธอว่า “เรามาลอง
เล่นด้วยกันหน่อยไหม?”
“ไม่เอา คุณเก่งเกินไป” อารียาพูด
“คราวนี้ผมจะไม่ใช้ทักษะ แต่จะใช้ดวง” รพีพงษ์พูด
อย่างยิ้มๆ
อารียาคิดสักพักแล้วพยักหน้า
รพีพงษ์เขย่าลูกเต๋าทันที ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ทักษะใดๆ
สิบแต้ม
รพีพงษ์หัวเราะและส่ายหัว
อารียาหยิบถ้วยลูกเต่าแล้วใช้แรงเขย่า หลังจากที่เปิดออกมาก็เห็นว่ามีสองลูกที่ได้ห้าแต้ม ส่วนอีกลูกได้สี่แต้ม เธอจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ฉันได้สิบสี่แต้ม คุณแพ้แล้ว”
เมื่อรพีพงษ์เห็นท่าทางดีใจของอารียา ในใจของเขาก็ รู้สึกมีความสุข เขาแพ้ให้อารียาด้วยความเต็มใจ
“ใช่แล้ว ผมแพ้แล้ว ไหนบอกมาซิว่าคุณอยากให้ผมทำ
อะไร”
อารียาตั้งใจคิด เธอมองไปทางบุษบากรแล้วเหมือนคิด อะไรออก ดวงตาคู่นั้นมองหน้ารพีพงษ์แล้วพูดว่า
“คุณไปร้องเพลงสิ ฉันอยากฟังคุณร้องเพลง”