พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 57

บทที่ 57

บทที่ 57 มื้อละหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน

เดิมทีเจตนิพัทธ์ยังหัวเราะเยาะเพราะคิดว่ารพีพงษ์คง ไม่กล้าสั่งอาหารที่มีราคาแพงแน่ๆ แต่หลังจากได้เห็นวิธี การสั่งเกินจริงของรพีพงษ์แล้ว เขาก็ตกตะลึงทันที

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน อาหารที่รพีพงษ์เป็น คนสั่งราคาก็เกือบหลายหมื่นหยวนแล้ว

ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึงกับวิธีการสั่งอาหาร ของรพีพงษ์ แต่เนื่องจากมื้อนี้พวกเขาไม่ได้เป็นคนจ่าย จึงไม่มีใครออกปากห้ามรพีพงษ์

คนอื่นๆไม่ได้สนใจว่ารพีพงษ์จะสั่งอาหารมาเยอะขนาด ไหน แต่เจตนิพัทธ์กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะอาหารมื้อนี้ เขาจะต้องออกเงินจ่ายครึ่งหนึ่ง อาหารพวกนี้ที่รพีพงษ์สั่ง มามันเกินงบที่เขาต้องออก

เขาตบโต๊ะและตะคอกใส่รพีพงษ์ “นายบ้าไปแล้วหรือ ไง? สั่งมาเยอะขนาดนี้ นายกินหมดหรือ?”

รพีพงษ์เงยหน้ามองเจตนิพัทธ์แล้วพูดว่า “พวกเรามีกัน ตั้งสิบกว่าคน ถ้าอยากจะแก้รายการอาหารที่สั่งก็ง่ายนิด เดียวนี่?”

“งั้น…งั้นนายก็…”เดิมทีเจตนิพัทธ์ต้องการจะบอกว่างั้น นายก็ไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารแพงๆมาเยอะขนาดนี้ก็ได้ แต่พอคิดว่าตอนนี้ทุกคนกำลังจับจ้องมาที่เขา ถ้าหากเขา พูดออกไปแบบนี้ ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนใจแคบยิ่ง กว่ารพีพงษ์

สุดท้ายจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดลงท้อง
“ทำไมล่ะ? นายคิดว่าฉันสั่งอาหารแพงเกินไปหรือ?”รพี พงษ์พูด

ในขณะนั้นใบหน้าของเจตนิพัทธ์ก็เต็มไปด้วยความ อับอาย เขาพูดแก้ตัวว่า “สั่งอาหารแค่นี้ ฉันจะคิดว่ามัน แพงได้อย่างไร ฉันก็แค่รู้สึกว่านายสั่งแต่อาหารจานเดียว ตั้งสิบกว่าชุด กลัวว่าทุกคนจะกินแล้วเลี่ยนเอาได้”

ในขณะนี้ทุกคนต่างคิดว่าเจตนิพัทธ์ช่างเป็นคนเอาใจ ใส่ และเริ่มชื่นชมในตัวเขา

“หัวหน้าห้องเป็นคนดีจริงๆเลย ยังกลัวว่าพวกเราจะ เลี่ยนเอาได้ถึงไม่สั่งของแบบนั้นทีละเยอะๆ”

“ใช่ แม้ว่าอาหารพวกนี้จะมีราคาแพง แต่สำหรับหัวหน้า ห้องแล้วก็คงไม่เป็นไร เขาคงไม่เสียดายเงินพวกนี้หรอก”

“ฉันคิดว่ารพีพงษ์จะเสียดายเองน่ะสิ แล้วยังมีหน้ามาบ อกว่าหัวหน้าห้องกลัวแพง เขาก็ไม่ดูตัวเองเลย คิดจะ เทียบชั้นกับหัวหน้าห้อง ยังห่างกันอีกเยอะ”

แม้ว่าคนเหล่านี้จะเข้าข้างเจตนิพัทธ์ แต่เขากลับดูไม่ ดีใจเลยสักนิด ตอนนี้ทำได้เพียงไหลไปตามน้ำ

เมื่อรพีพงษ์ได้ยินเจตนิพัทธ์พูด เขาจึงร้อง อ๋อ และหัน หน้าไปทางบริกร “เอาตามรายการอาหารหน้านี้หนึ่งชุด ยังมีหน้านี้ แล้วก็หน้านี้อีก”

เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์ใช้วิธีการสั่งอาหารแบบครั้งที่แล้วที่ อยู่ในภัตตาคารสปริงแยงซี อยู่ๆเจตนิพัทธ์ก็เริ่มรู้สึก เสียใจ หลังจากที่พูดออกไปแบบนั้น

วิธีการสั่งอาหารที่ละหน้า ทีละหน้าจะมีใครรับไหว
ตอนนี้มันสายเกินไปเสียแล้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจกับ คำพูดที่พูดออกมาเมื่อกี้นี้ก็ตาม

“อะแฮ่ม.. รพีพงษ์ นายอย่าสั่งจนหมดสติ ยังมีพวก

เครื่องดื่มอีกนะ” ในใจเจตนิพัทธ์อยากสั่งเครื่องดื่มทั่วไป เพราะลำพังแค่ค่าอาหารก็เกือบไม่พอจ่ายอยู่แล้ว และรพี พงษ์เองก็ควรหยุดสั่งทีละหน้าได้แล้ว

รพีพงษ์พยักหน้าและพลิกไปยังหน้าเครื่องดื่ม เขาดูสัก พักแล้วพูดว่า “เอาเหล้าที่แพงที่สุดมาสิบขวด แล้วเครื่อง ดื่มดีดีมาด้วย”

เมื่อเจตนิพัทธ์ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ เขาก็แทบจะ กระอักเลือด

เหล้าที่แพงที่สุดในโรงแรมบลูสกายอินเตอร์เนชั่นเนล ขวดหนึ่งก็ปาไปแล้ว 8888 หยวน ซึ่งรพีพงษ์สั่งไปสิบ ขวด ราคาก็เหยียบเก้าหมื่นหยวนแล้ว

ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้วหรือไง?

เจตนิพัทธ์รู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่า จะจ่ายไปสักหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นหยวน แต่ถ้าคำนวณ ตามรายการอาหารที่รพีพงษ์สั่งไป หลังจากแชร์กันแล้ว เกรงว่าจะกลายเป็นเจ็ดหรือแปดหมื่นหยวนหรืออาจจะ มากกว่านั้น

“ไอ้หน้าโง่ ไม่เคยเจอของดีหรือไงถึงได้สั่งเอาเป็น เอาตายขนาดนั้น นี่มันซวยอะไรเนี่ย อีกอย่างฉันก็ต้อง แชร์กับนาย พอถึงตอนนั้นฉันก็ออกได้แค่ครึ่งหนึ่ง ยัง เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ฉันไม่จ่ายด้วยหรอก”

“บ้าเอ๊ย เศษสวะอย่างนายไม่กลัว ฉันจะกลัวทำไมอย่างมากก็แค่เอาเงินฝากมาใช้ก่อน แต่นายน่ะสิ ถ้าพอ ถึงตอนนั้นแล้วไม่ยอมจ่าย ฉันจะให้คนที่โรงแรมจัดการ ซะให้เข็ด!”

เจตนิพัทธ์รู้สึกดีขึ้นเมื่อคิดแบบนี้

หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จ รพีพงษ์ก็ปิดเมนูอาหารและ ส่งคืนให้บริกร

“เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวไม่พอค่อยสั่งอีก” รพีพงษ์พูด

บริกรรีบพยักหน้า ชาตินี้เธอยังไม่เคยเห็นใครสั่งอา หารแพงๆได้สบายอกสบายใจแบบนี้ ในใจคิดว่าคนคนนี้ จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีท่าที แบบนี้

หลังจากที่จดเมนูอาหารเสร็จ บริกรก็รีบออกไปให้ หลังครัวเตรียมทำอาหาร

บุษบากรมองรพีพงษ์อย่างสงสัย จากนั้นก็ถามอารียา ว่า “แคลร์ เธอมาคราวนี้ได้ให้เงินเขาหรือเปล่า เพื่อที่ว่า จะให้เขาได้โอ้อวดต่อหน้าทุกคน?”

อารียาส่ายหน้า “ไม่หรอก รพีพงษ์ใช้เงินตัวเองมาสัก พักหนึ่งแล้ว นาฬิกาข้อมือเรือนนี้เขาก็เป็นคนซื้อด้วยตัว เอง เงินเดือนฉันออกจะน้อยขนาดนั้นจะเอาไปซื้อนาฬิกา แพงๆได้อย่างไร”

“งั้นเธอคิดว่าเขาเอาเงินมาจากไหน?” บุษบากรถามไป

ตรงๆ

อารียาคิดสักพักแล้วพูดว่า “เขาน่าจะหามาเองน่ะ

แหละ”
บุษบากรมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ในความรู้สึกของเธอที่ มีต่อรพีพงษ์ เขาก็เป็นแค่เศษสวะไร้ความสามารถคน หนึ่งมาโดยตลอด จะมีปัญญาหาเงินได้อย่างไร

หรือว่า…รพีพงษ์จะแกล้งทำ?

พอคิดถึงตรงนี้ บุษบากรก็นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่อารี ยาบอกว่าเสียงเจ้าชายขี่ม้าขาวของเธอคล้ายกับเสียง ของรพีพงษ์ และตอนนั้นเองเธอก็เป็นคนส่งข้อความให้ เจ้าชายขี่ม้าขาว แต่โทรศัพท์ของรพีพงษ์กลับดังขึ้น

เรื่องพวกนี้จึงทำให้เธอสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่าง รพีพงษ์ และไอดีดวงใจตะวัน

เป็นไปไม่ได้ ใจของบุษบากรไม่อยากจะเชื่อว่ารพีพงษ์ ก็คือไอดีดวงใจตะวัน เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้ว ส่งข้อความให้ไอดีดวงใจตะวัน

จากนั้นเธอก็หันไปทางรพีพงษ์ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ บุษบากรถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าตัว เองจะคิดมากเกินไป

“คนหน้าโง่คนนี้จะกลายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวได้ อย่างไร ฉันนี่ก็งี่เง่าจริงๆยังจะสงสัยอะไรแบบนี้ได้ ถ้าเขา เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของฉันล่ะก็ คงไม่ซื้อนาฬิกาเรือนละ ไม่กี่แสนหรอก คงซื้อเรือนละล้านเท่านั้นแหละ” บุษบากร พึมพำ

เธอไม่รู้ว่ารพีพงษ์ได้ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะ เข้ามาในห้องอาหาร ดังนั้นจึงไม่มีสัญญาณเสียงดังขึ้น

หลังจากที่บุษบากรมองรพีพงษ์ด้วยความหยิ่งยโส เธอ ก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไป เธอไม่สนใจว่ารพีพงษ์จะได้เงินมาอย่างไร เพราะอย่างไรก็ตามเธอไม่จำเป็นต้องจ่าย ค่าอาหารมื้อนี้

เวลาผ่านไปไม่นานบริกรก็เข้ามาเสิร์ฟอาหาร ทุกคน ต่างจดจ้องอาหารที่สวยงามวางละลานตา

“หัวหน้าห้อง พวกเราต้องขอบคุณจริงๆที่ทำให้พวกเรา

ได้กินอาหารดีๆแบบนี้”

“จริงด้วย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้กินอาหารราคา แพงแบบนี้ วันนี้จะต้องดื่มให้คุณสักหน่อยแล้ว”

“มาๆ ทุกคนยกแก้ว ดื่มให้หัวหน้าห้อง ไม่อย่างงั้นเราคง

ไม่ได้กินเหล้าขวดละ 8888 หยวนนี่หรอก”

ทุกคนเริ่มหยิบยกแก้วขึ้นมาและดื่มให้เจตนิพัทธ์ C

แม้ว่าใบหน้าของเจตนิพัทธ์จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ หัวใจของเขาก็เลือดไหลซิบ สิ่งที่พวกเขากำลังดื่มอยู่นั้น มันใช่เหล้าเสียที่ไหน มันคือเงินที่เขาหามาด้วยหยาด เหงื่อต่างหากล่ะ

เขาสังเกตเห็นสีหน้าของรพีพงษ์ยังคงสงบเสงี่ยม ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินค่าอาหารเลยแม้แต่น้อย เขา อดไม่ได้ที่จะแอบกร่นด่าอยู่ในใจ

ทุกคนต่างก็ดื่มด้วยกันอย่างสนุกสนาน และยังคอยริน เหล้าให้เจตนิพัทธ์ตลอด บางคนก็พูดยกย่องชื่นชมเจตนิ พัทธ์ เขาจึงได้แต่ยิ้มรับ

เจตนิพัทธ์ดื่มเหล้าเสร็จก็ได้ยินคำชื่นชมจากเพื่อนทุก คน เขาถึงกับตัวลอยไปชั่วขณะ และยังบอกทุกคนว่าเงินจำนวนนี้ก็เป็นแค่เส้นขนเท่านั้น ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ

ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่าอาหารมื้อนี้รพีพงษ์และเจตนิ พัทธ์จ่ายกันคนละครึ่ง แต่กลับไม่มีใครสนใจรพีพงษ์

รพีพงษ์ก็ขี้เกียจจะคุยเรื่องพวกนี้แล้ว ในทางกลับกัน เขาก็ทานอาหารกับอารียาอย่างมีความสุข

เกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ทุกคนทานอาหารดื่มเหล้ากัน อย่างอิ่มหนำสำราญเสร็จแล้ว ใบหน้าของแต่ละคนเต็ม ไปด้วยความพึงพอใจ

“หัวหน้าห้อง พวกเราทานต่อไม่ไหวแล้ว คิดเงินเถอะ” ผู้ชายคนหนึ่งพูด

“ได้ ในเมื่อทุกคนทานกันต่อไม่ไหวแล้ว งั้นฉันจะจ่าย เงินแล้วนะ หลังจากที่จ่ายเงินแล้วพวกเราไปร้องเพลง กัน!” เจตนิพัทธ์ก็ดื่มไปไม่น้อยจึงพูดเสียงดัง

ทุกคนส่งเสียงเชียร์ทันที

“พวกนายอย่าลืมสิ คราวนี้หัวหน้าห้องกับรพีพงษ์เป็น คนจ่ายนะ ตอนนี้เจ้านั่นเงียบไปแล้วคงคิดจะโกงล่ะสิ” เจตนิพัทธ์ ยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วมองไปทางรพีพงษ์

ด้วยสายตาเย้ยหยัน โดยคิดว่าที่เขานั่งเงียบในเวลานี้

เพราะต้องการเบี้ยวเงินจ่าย แต่โชคดีที่มีคนเอ่ยขึ้นมา

“บริกร จ่ายเงิน!”

บริกรรีบนำใบเสร็จชำระเงินมาให้เจตนิพัทธ์

“มื้อนี้ฉันกับคนคนนั้นจ่ายกันคนละครึ่ง ฉันออกแค่ครึ่ง เดียว ที่เหลือเขาเป็นคนจ่าย เข้าใจไหม?” เจตนิพัทธ์พูด

บริกรพยักหน้า “ค่าอาหารทั้งหมดเป็นเงิน 186,300หยวนครับคุณผู้ชาย หากคุณชำระเงินครึ่งหนึ่งก็จะเป็น เงิน 93,150 หยวน”

ปรากฏว่าใบหน้าของเจตนิพัทธ์ยังคงเอ้อระเหย ลอยชายเนื่องจากอาการมึนเมา อีกนิดเดียวก็จะล้มลง จากเก้าอี้แล้ว

“เท่าไหร่นะ?” เจตนิพัทธ์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “93,150 หยวนครับ” บริกรพูดทวนซ้ำอีกครั้ง

เจตนิพัทธ์กระอักกระอ่วน เงินสดที่กำลังไหลออกจาก ระเป๋าเป็นเงินกว่าเก้าหมื่นหยวน อาหารมื้อนี้จะทำให้อดีต ที่น่ารังเกียจของเขาถูกล้วงออกมา

“อะแฮ่ม คุณไปเก็บเงินกับคนนั้นก่อนเถอะ รอสักครู่ผม จะโอนเงินเข้าบัญชีให้”เจตนิพัทธ์อยากจะดูว่ารพีพงษ์จะ จ่ายเงินมากขนาดนั้นได้อย่างไร และจะใช้อะไรเป็นข้อ อ้าง

บริกรจึงเดินไปทางรพีพงษ์

“คุณผู้ชาย ค่าอาหารของคุณเป็นเงิน…

ทุกคนจ้องไปทางรพีพงษ์ด้วยความเย่อหยิ่ง และคิดอยู่ ตลอดว่าเขาคงไม่มีปัญญาจ่ายอย่างแน่นอน

“ตอนนั้นทำอวดเก่งดีนัก เขาจะมีเงินมากขนาดนี้ได้ยัง ไง ไม่แน่ว่าเดี๋ยวคงแก้ตัวน้ำขุ่นๆ”

“อาหารมื้อนี้จ่ายไปกว่าหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน แม้ว่า จะจ่ายแค่ครึ่งเดียวก็ทำคนขวัญกระเจิงเอาได้ ถึง อย่างไรรพีพงษ์ก็ไม่มีปัญญาจ่าย”

“ตามความคิดของฉัน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้อารียาเป็นคนจ่ายให้”

รพีพงษ์ไม่ได้ทำตัวเหมือนเจตนิพัทธ์ แต่หยิบบัตร ธนาคารของตัวเองยื่นให้บริกรแล้วพูดว่า “รูดบัตร” บริกรรีบรับบัตรนั้นมาแล้วรูด จากนั้นก็ให้รพีพงษ์ใส่

รหัสผ่าน

ทุกคนต่างคิดว่าบัตรของรพีพงษ์ ใบนั้นไม่สามารถจ่าย เงินเยอะถึงขนาดนี้ได้เด็ดขาด

แต่เวลาต่อมาบริกรก็ยิ้มและคืนบัตรใบนั้นให้รพีพงษ์ “ชำระเงินเรียบร้อยแล้วครับคุณผู้ชาย ขอบคุณที่ใช้ บริการกับทางโรงแรมของเรานะครับ!” เรง

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท