บทที่202 ตลกสิ้นดี
จารุพิชญ์และจารุกิตติ์ทั้งสองไม่ได้มองมาที่นี่ พวกเขารู้สึกว่าในเขตเล็กๆแห่งนี้ไม่มีใครคู่ควรค่าแก่ ให้พวกเขาสนใจ ดังนั้นจึงมีความคิดที่ค่อนข้างดูดถูก
แต่เมื่อหลังจากที่ได้ยินเสียงของรพีพงษ์ ก็หัน หน้าไปมองทันที
จารุพิชญ์และจารุกิตต์ทั้งสองแสดงสีหน้าออกมา อย่าเหลือเชื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเจอรพีพงษ์ในสถานที่ แห่งนี้
“รพีพงษ์ นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”จารุพิชญ์กล่าว
“ก็มาช่วยเพื่อนดูก้อนหิน คราวนี้ดูเหมือนว่าคุณก็ กลายเป็นคู่ต่อแข่งของฉันอีกครั้งแล้ว ถ้าคุณพ่ายแพ้ ให้ฉันอีกครั้ง ไม่รู้ว่าชื่อเสียงท่านอาจารย์ของคุณยัง จะรักษาอยู่ได้อีกนานแค่ไหน “รพีพงษ์กล่าวด้วยรอย ยิ้ม
สีหน้าของจารุพิชญ์เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที ครั้งที่แล้วพ่ายแพ้ให้รพีพงษ์ที่ตระกูลกุลสวัสดิ์ เขาอยู่ ที่เมืองริเวอร์ส่งผลต่ออิทธิพลในแวดวงของวัตถุ โบราณก็ทำให้มีชื่อเสียงที่น้อยลงมาก ครั้งนี้ถ้าพ่าย แพ้ให้รพีพงษ์อีก ก็คงจะจริงที่ไม่สามารถรักษาชื่อ เสียงผู้เป็นท่านอาจารย์ได้อีกแล้ว
เขากัดฟันอยู่ในใจ เดิมที่คิดว่าทิวัตถ์อยากจะทำ ธุรกิจหินหยก ในเวลานี้เขามาช่วย เมื่อทิวัตถ์มีชื่อเสียง เขาก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน
แต่ตอนนี้ที่เห็นรพีพงษ์ก็อยู่ที่นี่ เขาก็รู้สึกจิตใจไม่ สงบขึ้นมาทันที
เมื่อทัตพงศ์เห็นรพีพงษ์พูดเช่นนี้ รีบพูดกับจารุ พิชญ์ทันทีว่า: “ท่านอาจารย์จารุพิชญ์ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ ค่อยรู้เรื่อง ถึงได้พูดจาเพ้อเจ้อ ท่านอย่าได้ถือสาเลย ครับ ระดับท่านแล้ว จะพ่ายแพ้ให้เขาเด็กอายุวัยยี่สิบ กว่าได้ยังไง”
เนื่องจากว่าทัตพงศ์มาพร้อมกับจิรายุศ ดังนั้น จากที่จารุพิชญ์ฟังดูแล้ว คำพูดของทัตพงศ์เหมือนกับ ไม่ได้ชมเขา แต่กลับเป็นการเยาะเย้ยเขา
ใบหน้าจารุกิตติ์เต็มไปด้วยความโกรธ จ้องมองไป ที่ทัตพงศ์ และพูดอย่างเย็นชา: “นายอย่ามาพูดจาตลก กำกวนที่นี่ ครั้งก่อนอาจารย์ของฉันก็แพ้ให้มัน แค่ ทำได้ไม่ดีแค่นั้นเอง ที่สำคัญพวกท่านอย่าลืม ครั้งนี้คือ พนันหิน ไม่ใช่วัตถุโบราณ ระหว่างทั้งสองอย่างก็มี ความแตกต่างอย่างมาก แกอย่าหวังจะสามารถ เอาชนะอาจารย์ฉันได้อีกรอบ ”
เมื่อทัตพงศ์ได้ยินคำพูดของจารุกิตติ์ ก็ตกตะลึง ทันที ฟังดูความหมายของเขา ดูเหมือนจารุพิชญ์เคย พ่ายแพ้ให้กับรพีพงษ์ไปแล้วครั้งหนึ่งจริงๆด้วย เขามองไปที่รพีพงษ์อย่างเหลือเชื่อ เขาคิดมาตลอดว่ารพีพษ์พูดจาโอ้อวด ตอนนี้ดูเหมือนว่า รพีพงษ์ ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาคิด
“พนันหินและวัตถุโบราณไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน ก็เป็นก็การแข่งทักษะขอสายตาเช่นกัน ครั้งที่แล้วฉัน ชนะคุณ ครั้งนี้ฉันก็ยังสามารถเอาชนะคุณได้ “รพีพงษ์ กล่าวขึ้นเบาๆ
จารุพิชญ์ส่งเสียงอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดดูเหมือน จะไม่พอใจมาก
“ท่านอาจารย์จารุพิชญ์ คนนี้เป็นใคร ทำไมเขาก็ กล้าพูดจาหยิ่งผยองต่อหน้าท่าน?”ทิวัตถ์ถามกล่าว
“ก็แค่เป็นเด็กที่มีความทะเยอทะยานเอง”จารุ พิชญ์ตะคอกอย่างเย็นชา
ทัตพงศ์ไปที่รพีพษ์ มองจากหัวจรดเท้า รู้สึก เหมือนว่าคุ้นๆ แล้วถาม: “นายมาจากเมืองริเวอร์? แต่ ทำไมฉันรู้สึกว่านายหน้าคุ้นๆ?”
“ฉันชื่อรพีพงษ์”รพีพงษ์กล่าว
ทิวัตถ์ก็นึกออกทันทีว่าตัวเองทำไมรู้สึกคุ้นๆกับรพี พงษ์ ตอนนั้นรพีพงษ์และอารียาแต่งงานกัน เขาก็ไป ร่วมแสดงความยินดีด้วย
“รพีพงษ์ แกคือไอ้เศษสวะที่รู้จักกันดีในเมืองริ เวอร์ไม่ใช่เหรอ แกก็กล้าพูดว่าตัวเองจะชนะท่าน อาจารย์จารุพิชญ์ได้ เป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี “ทิวัตถ์ กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
บทท.
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วพูด: “พวกเขาอาจารย์ลูกศิษย์ทั้ง สองคน ตอนนั้นก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”
จารุพิชญ์ของจารุกิตติ์สีหน้าดูเคร่งเครียด พวก เขาทั้งสองพ่ายแพ้ให้รพีพงษ์ ถ้าหากว่ารพีพงษ์คือเศษ สวะละก็ พวกเขาทั้งสองคนนั้นก็แย่ไปกว่าเศษสวะ แล้วละ
“เหอะ อย่ามาทำเป็นได้ใจตรงนี้หน่อยเลย วันนี้ ฉันชนะแกแน่!”จารุพิชญ์ตะคอกอย่าเย็นชา จากนั้นก็ หันไปและเดินเข้าไปในห้องนิทรรศการ
เมื่อจารุกิตตี้และทิวัตถ์ทั้งสองเห็น ก็รีบเดินตาม เข้าไป จิรายุศมองไปที่ทั้งสามคนแล้วเบะปาก แล้วพูด:
“อย่างพวกแกยังคิดอยากจะชนะพี่รพีพงษ์ของฉัน ช่างตลกสิ้นดี”
หลังจากนั้นรพีพงษ์พวกเขาทั้งสามคนก็เดิน เข้าไปที่ห้องนิทรรศการ
ห้องนิทรรศการมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งคือ พื้นที่สำรวจหินหยาบ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือพื้นที่ประมูล กระบวนการหลักคือการสำรวจหินหยาบคร่าวๆในพื้นที่ สำรวจหินหยาบ จากนั้นผู้คนในห้องนิทรรศการก็จะ ทำการประมูลตามลำดับ ราคายิ่งอยู่ยิ่งสูง
เนื่องจากจำนวนหินหยาบมีจำนวนค่อนข้างมาก พื้นที่สำรวจคร่าวๆจึงไม่สามารถวางได้ ดังนั้นจึงมีการวางจัดประมูลสองรอบ หินหยาบที่จัดวางอยู่ในพื้นที่ สำรวจคร่าวๆเป็นของที่ประมูลในรอบแรก
หลังจากที่รพีพงษ์พวกเขาทั้งสามคนเดินเข้ามาที่ ห้องนิทรรศการ ก็เดินไปที่พื้นที่สำรวจหินหยาบ เพื่อ สำรวจดูหินทีละก้อน
จารุพิชญ์กำลังเฝ้าสำรวจหินเหล่านี้อย่างคร่าวๆ ในบางครั้งก็มองไปที่รพีพงษ์ ในแววตามีความเกลียด ชังและกลัวเล็กน้อย
รพีพงษ์มองไปที่ก้อนหินแต่ละก้อนเพียงนาทีสอง นาที แต่ลักษณะท่าทางก็นิ่งสงบ ไม่ได้ลุกลี้ลุกลนแต่ อย่างใด
เมื่อจารุพิชญ์มองไปที่ความสงบของรพีพงษ์ ใน
ใจก็เกิดความวิตกกังวลขึ้นมาก แบบนี้อีกหน่อยเขาอยู่
ในแวดวงวัตถุโบราณและพนันหิน คงจะเป็นเรื่องยาก
หลังจากที่พยายามอยู่นาน ทั้งสองก็สบตาเข้าหา กัน และดวงตาของรพีพงษ์และจารุพิชญ์มองไปที่บน หินก้อนหินที่สีหมองคล้ำ
“พื้นผิวของหินนี้หมองคล้ำ มีที่ผิวหยาบและ ละเอียด แสงไฟส่องผ่านกระทบไปไม่มีแสง คิดว่า ก้อนนี้ต้องไม่มีอะไรดี “จารุพิชญ์พูด
เมื่อทิวัตถ์ได้ยินดังนั้น จึงรีบจดบันทึกลงไป หิน ก้อนนี้วันนี้ถือว่าขึ้นชื่อบัญชีดำสำหรับเขา
รพีพงษ์จ้องมองไปที่หินก้อนนั้นเช่นกัน ปฏิกิริยาแรกของเขาเหมือนกับจารุพิชญ์ รู้สึกว่าหินก้อนนี้ไม่มี อะไรตรงไหนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
แต่ในไม่ช้าเขาก็สังเกตเห็น หินก้อนนี้มีรอยพับ มี พื้นผิวลวดลายคล้ายกับสาหร่าย รอยแบบนี้ โดย ทั่วไปหาพบได้ยาก ผู้ที่ชำนาญมากมายในแวดวงพนัน หินก็ไม่รู้เลยว่าคือรอยอะไร
แต่รพีพงษ์เคยเห็นมีในหนังสือโบราณ บนก้อน หินจะมีรอยแบบนี้ก็ต่อเมื่อมีหยกที่บริสุทธิ์สมบูรณ์สูง อยู่ในหิน ถึงจะปรากฏขึ้น
เขาก็ยิ้มทันที แล้วพูดกับจิรายุศที่อยู่ข้างๆว่า: “หินก้อนน่าสนใจ ไม่แน่อาจเจอของดีขึ้นมา”
ทัตพงศที่อยู่อีกด้านเมื่อฟังคำพูดของรพีพงษ์ ก็ พูดขึ้นทันที:”หินก้อนนี้ดูแล้วผ่าออกมามีไม่ค่าอะไร คน ที่จัดการประมูลทุกปีจะมีการผสมหินเสียแบบนี้ไปด้วย หลายชิ้น เพื่อหลอกล่อคนที่ไม่เข้าใจวิธี แต่ถ้านาย เข้าใจวิธีพนันหิน น่าจะไม่ทำผิดพลาดเรื่องเล็กน้อย แบบนี้นะ”
จารุพิชญ์ก็แสยะยิ้มทันที แล้วพูดว่า: “รพีพงษ์ แม้ว่านายจะมีฝีมือด้านประเมินวัตถุโบราณ แต่น่า เสียดายการพนันหินและการประเมินคุณภาพของวัตถุ โบราณแตกต่างมาก นายไม่เข้าใจ ก็อย่ามาก่อความ วุ่นวายให้คนอื่น” LEGO
“ผมก็ว่าเขาจะไปเข้าใจอะไรเรื่องพนันหิน แม้แต่
ของที่เป็นพื้นฐานสุดยังมองไม่ออก ยังจะพูดว่าจะเอาชนะท่านอาจารย์ของผม ตลกสิ้นดี”จารุกิตติ์เยาะ เย้ย
“ก่อนที่ยังไม่ได้ผ่าออกมา ใครจะกล้าตัดสินว่าใน ที่นี้มีหรือไม่มีของดี นอกจากตาสามารถมองผ่านทะลุ ได้ อย่างนั้นพนันหินจะมีความหมายอะไรละ”รพีพงษ์ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่าหาคำแก้ตัวให้ตัวเอง ไม่เข้าใจก็คือไม่ใจเข้า พูดจาฟังดูดี แม้แต่ยังฉันก็รู้เลยว่า หินก้อนนี้ผ่าไม่ออก เนื้อน้ำดีแน่”จารุกิตติ์แสยะยิ้ม
รพีพงษ์ไม่ได้สนใจพวกเขา แต่กลับสำรวจก้อน หินต่อ
สีหน้าจารุพิชญ์ดูอย่างมีชัย ในที่สุดก็รู้สึกว่าตัว เองพลิกเกมกลับมาตรงหน้ารพีพงษ์
รพีพงษ์สำรวจก้อนหินที่เหลืออยู่ และกล่าวเตือนจิ รายศไปสองสามคำ จากนั้นผู้คนไม่กี่คนก็เดินไปที่ ด้านหน้าหินที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในวันนี้
ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาประมูลในวันนี้ ต่างจ้อง มองไปที่หินก้อนนั้น หินก้อนนี้สีเรียบมันวาว บนผิวมี แสงสีเขียวจางๆ หินแบบนี้ก็หาพบได้ยากเหมือนกัน ในการประมูล วันนี้หินก้อนนี้ทุกคนยกย่องว่าจะมี โอกาสผ่าออกมามีน้ำดีที่สุดในการประมูล
หินก้อนนี้คือหมายเลขหนึ่ง ดูท่าทางแล้วมีคนไม่ น้อยที่สนใจหินก้อนนี้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า เนื้อน้ำดีเช่นนี้ พวกเขาคงจะไม่สามารถประมูลมาได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หินก้อนนี้ก็คงถูกจิรายุศประมูลลง มาได้อย่าแน่นอน แต่วันนี้จิรายุศและทิวัตถ์เป็นคู่แข่ง กัน พวกเขาก็ยิ่งไม่มีความหวังอะไรไปอีกแน่นอน
รพีพษ์จ้องมองไปที่หิน หินก้อนนี้มองไปแวบแรก สวยงามมาก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็มีโอกาสที่จะ ออกมาเป็นเนื้อน้ำดี แต่ในไม่ช้า รพีพงษ์ก็สังเกตเห็น สีของหินนี้เป็นสี
เขียวและมีสีเหลืองติดมาเล็กน้อย หากไม่ได้สังเกตดู
ผู้ๆ
อย่างละเอียด ก็มองไม่เห็นความแตกต่างนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือลักษณะภายนอกของหินเรียบ เกิน ดีกว่าพื้นผิวของหยกธรรมดาเสียอีก ลักษณะแบบ นี้ก็พบได้น้อยเช่นกัน ตอนที่รพีพงษ์อยู่ที่เกียวโต เคย พบเจอลักษณะแบบนี้มาก่อน ในครั้งนั้นหินก้อนนั้นมี เพียงพื้นผิวบางๆที่เท่าชั้นหยก แต่ด้านใน กลับเป็น แค่ก้อนหินธรรมดา ที่มูลค่ากลับต่ำลง
ตอนนี้หินก้อนนี้ก็คล้ายกับหินก้อนนั้นที่รพีพงษ์
เคยเจอมาก ดังนั้นรพีพงษ์ก็มีความสงสัยเล็กน้อยว่า หินก้อนนี้แค่ผิวภายนอกดูดีเท่านั้น
“ภายนอกงดงามราวกับหยกแต่ภายในเหมือนฝ้าย ที่เน่าเปื่อย ไม่มีอะไรน่าดู”รพีพงษ์กล่าว
จารุพิชญ์ก็หัวเราะเยาะเย้ยทันที ละกล่าวว่า: “ถ้า ไม่รู้ก็คือไม่รู้ อย่ามารบกวนทุกคนที่กำลังตัดสิน นายนึกว่าเพียงคำพูดของนายคำนี้ ก้อนหินดีๆจะกลาย เป็นก้อนหินไม่ดีเหรอ?”
“เด็กน้อย ในแง่ของการพนันหิน นายก็อย่าคิด เพ้อเจ้อมาแข่งกับท่านอาจารย์จารุพิชญ์ ไม่ว่ายังไง ก็ตามวันนี้ฉัน ก็ต้องได้หินก้อนนี้มา” ทิวัตถ์กล่าว
จิรายุศก็จ้องมองไปที่เขาทันที แล้วพูด: “อย่าคิด ว่าตัวเองคิดได้ดี อย่าลืม อำเภอหยกเป็นถิ่นของฉัน”
ทิวัตถ์แสยะยิ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไร
ใช้เวลาไม่นาน ก็ถึงเวลาประมูล เจ้าหน้าที่เรียง ตามลำดับหินขึ้นไปประมูล หินก้อนแรก แน่นอนว่าเป็น หินอันดับหนึ่ง ที่วันนี้ทุกคนยอมรับว่าเป็นหินที่ดีที่สุด
เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่หินก้อนนี้ผ่าออกมา แล้วจะมีเนื้อน้ำหยกดีที่สูงที่สุด ดังนั้นเมื่อเริ่มแรก ทุก คนก็เพิ่มราคาของหินนี้ไปถึงหนึ่งร้อยล้าน
หากสามารถผ่าออกน้ำดีออกมาได้ ผลตอบแทน จากก้อนหินก้อนนี้ อาจมากกว่าสามร้อยล้าน
ทิวัตถ์คิดว่าน่าจะพอดีแล้ว ก็เริ่มเสนอราคา เริ่มที่ ร้อยห้าสิบล้าน ทุกคนก็เงียบลง
ในเวลานี้จิรายุศต้องจะเสนอราคา แต่ถูกรพีพงษ์ ห้ามไว้
“หินก้อนนี้ไม่มีอะไรให้แข่งขัน นายแค่ประมูลหิน เหล่านั้นที่ฉันบอกลงมาได้ก็พอ”รพีพงษ์กล่าว
“แต่ว่าพี่รพี หินก้อนนี้เห็นได้ชัด” จิรายุศกังวล เล็กน้อย
“นายให้ฉันมา อย่างนั้นนายก็ต้องฟังฉัน”รพีพงษ์
พูด
จิรายุศจึงจำต้องกัดฟัน แล้วพูด”ก็ได้ ถ้าพี่รพีพูด แบบนี้ อย่างงั้นผมจะฟังพี่”
เขาก็วางแผ่นป้ายประมูลของตัวเองลง
เดิมทีทิวัตถ์ว่าจะรอให้จิรายุศเสนอราคา แต่คิด ไม่ถึงเขากลับนิ่งไม่ขยับ
สิ่งนี้ทำให้เขาเย้ยหยัน
“จิรายุศฟังคำพูดของเด็กนั้นจริงๆ เขากลับไม่สู้ เพื่อหินก้อนนี้แล้ว นี่คือเขาโยนโอกาสดีๆมาที่มือของ ฉัน” ทิวัตถ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รพีพงษ์ไม่รู้เรื่องพนันหิน ถ้าเราได้หินก้อนนี้ ใน อนาคตเถ้าแก่ทิวัตถ์ก็จะมีพื้นที่อยู่ในอำเภอหยก” จารุ กิตติ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทิวัตถ์พยักหน้า จากนั้นไม่นาน ก็มีบุคคลหนึ่ง กัดฟันเสนอราคา ทิวัตถ์ก็กดทับเข้าไป
ในที่สุด หินก้อนนั้นก็ตกอยู่ในมือของทิวัตถ์ใน ราคาร้อยแปดสิบล้าน
หินที่อยู่ด้านหลังถูกประมูลไปที่ละก้อนทีละก้อน ส่วนจิรายุศก็ทำตามคำสั่งของรพีพงษ์ ประมูลไปไม่กี่ก้อน ในไม่กี่ก้อนนั้นจารุพิชญ์เองก็ให้ความสนใจด้วย ดังนั้นสุดท้ายแล้วราคาจึงค่อนข้างสูง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงหินหมายเลขที่สามสิบหก ซึ่งเป็นหินที่ไม่มีใครมอง
หินก้อนนี้ออกมา หลังจากที่รอมานาน ก็ไม่มีคน เสนอราคา พิธีกรคิดว่าหินก้อนนี้ก็คงต้องปล่อยมัน ผ่านไปแล้ว
แต่เมื่อเขากำลังทุบค้อน รพีพงษ์ก็ยกป้ายเสนอ
ราคาขึ้น แล้วพูดว่า: “หนึ่งล้าน”
ทุกคนหันไปมองที่รพีพงษ์ ด้วยแววตาที่เยาะเย้ย
“โห่ หินห่วยๆแบบนี้ก็มีคนเอาด้วย คนคนนี้สมอง น้ำเข้าหรือเปล่า?”
“เห็นได้ชัดว่าหินก้อนนี้เป็นแค่หินไร้ค่า แต่เขา
กลับออกตั้งหนึ่งล้าน เงินมากจริงๆเผาผลาญได้สะใจ” “ฮาฮ่า ขำจะตายแล้ว ในรอบหลายปีมานี้นี่เป็น ครั้งแรกที่ฉัน ได้เห็นการประมูลหินแบบนี้ ดูเหมือนว่า
จะเป็นคนนอกแวดวงนี้นะ”
จารุพิชญ์หัวเราะเยาะ แล้วพูด: “คิดไม่ถึงถึงจริงๆ รพีพงษ์ นายก็ยังเด็กไปนะ เดี๋ยวตอนที่ผ่าหิน นายก็ จะรู้ว่ามันน่าตลกแค่ไหน”