พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 480 ต้องเป็นแค่ตระกูลลัดดาวัลย์

บทที่ 480 ต้องเป็นแค่ตระกูลลัดดาวัลย์

บทที่ 480 ต้องเป็นแค่ตระกูลลัดดาวัลย์

ทุกคนได้ยินคำพูดของประเวก จึงขึงตาโตอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าประเวกและนันทิตาทั้งสองกลับมีความสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโต ไม่น่าล่ะพวกเขาสองคนถึงไม่มองคนอื่นในสายตาขนาดนี้

การเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าของเกียวโต เรื่องและคนที่ดึงมาเกี่ยวข้อง ไม่มีคนไหนที่ง่ายเลย ต่อให้น้าชายของประเวกจะเป็นเพียงคนที่ทำงานให้กับคนใหม่คนโตในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็คงต้องไม่ใช่คนธรรมดาจะสามารถผิดใจด้วยได้

หลังจากที่รู้ฐานะของประเวก ทีแรกก็ยังรู้ตลกและเกลียดชังพวกเขาสองคน จึงรีบเปลี่ยนทีท่าทันที คนที่นั่งในขบวนรถไฟนี้ของพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเกียวโต และส่วนมากก็เป็นคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเกียวโต ถ้าสามารถคบหาเป็นเพื่อนกับประเวก ถึงเวลาคงได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยแน่นอน

ทั่วทุกสี่ทิศต่างก็ทำใบหน้าที่เคล้าด้วยความเป็นมิตรแล้วขยับเข้าไปใกล้ประเวก ใบหน้าเคล้าด้วยรอยยิ้ม เหมือนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“พ่อหนุ่ม คุณช่างเก่งกาจจริงๆ อายุยังหนุ่มก็สามารถเข้าร่วมงานใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดแน่นอน”

“ใช่ น้องชาย ก่อนหน้านี้ยังเยาะเย้ยคุณ คุณอย่าได้ใส่ใจเลยนะ บ้านของผมเปิดบริษัทในเกียวโต ไม่แน่อนาคตเราอาจจะได้ร่วมมือกัน งั้นเราคบหากันเป็นเพื่อนก่อนเถอะ”

“น้องชายเกิดมาหล่อขนาดนี้ แล้วยังมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุด แฟนสาวก็สวยขนาดนี้ นี่คุณถึงจะเป็นคนที่มีชีวิตที่ได้รับชัยชนะตัวจริง”

…….

ได้ยินคนรอบข้างต่างก็เริ่มประจบประแจง สีหน้าของประเวกก็เคล้าด้วยความน่าภาคภูมิใจทันที ความรู้สึกอึดอัดใจในก่อนหน้านี้ก็จางหายไป

นันทิตาที่อยู่ข้างๆ ก็ถอนหายใจ แล้วมองคนที่อยู่รอบๆ พวกนี้ จู่ๆ ก็ไม่กล้าหายใจเสียงดัง หัวเล็กๆ ของเธอก็แหงนขึ้นมาด้วยหยิ่งทะนงตัว

เธอเป็นแฟนของประเวก ประเวกยิ่งเก่ง งั้นเธอก็จะยิ่งมีหน้ามีตา

เธอหันไปเหลือบตามองรพีพงษ์เพียงพริบตาเดียว แล้วเห็นรพีพงษ์เหมือนจะไม่ได้สนใจในเรื่องที่พวกเขาพูดคุย แค่ทำสีหน้านิ่งเฉยพลางมองไปนอกหน้าต่าง

เธอเบะปากทันที ภายในใจกำลังคิดว่ารพีพงษ์ต้องแกล้งทำแน่นอน จริงๆ เขาตั้งใจฟังมาก อีกอย่างภายในใจต้องรู้สึกเสียใจมากที่ไปผิดใจกับประเวก แค่รักศักดิ์ศรีของตนเอง เขาจึงแกล้งทำท่าทางที่ไม่สนใจ

“ทว่าก็แค่คนที่มีรูปกำยำแต่ไร้สมองเท่านั้น คนแบบนี้จะเทียบกับประเวกได้ยังไง ช่างตลกจริงๆ ” นันทิตาพึมพำขึ้น

“น้องชาย ผมได้ยินคนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับโปคเจคการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า วันนี้กำลังตามหาผู้ร่วมงาน ว่ากันว่าบริษัทยักษ์ใหญ่แต่ละบริษัทและตระกูลใหญ่ในเกียวโตต่างก็อยากจะได้โอกาสนี้ วันนี้เกียวโตมีความเป็นไปได้สูงมากที่สุด น่าจะมีแค่ตระกูลลัดดาวัลย์และหอการค้าสมน.แล้วแหละ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยถามคำพูดนี้

ประเวกทำท่าทางที่รู้ทุกอย่างอย่างลุ่มลึก และพูดขึ้น “นี่พวกคุณต่างก็เดาผิดไปแล้ว วันนี้ในเกียวโต มีบริษัทใหม่บริษัทหนึ่ง ชื่อว่ากรุ๊ปKIN ความสามารถของบริษัทนี้แข็งแกร่งมาก อีกอย่างยังมุ่งเน้นตระกูลลัดดาวัลย์โดยเฉพาะ ตระกูลลัดดาวัลย์ที่เคยเป็นผู้กุมอำนาจสำคัญในเกียวโตยังรู้สึกจนปัญญากับพวกเขา ต่อให้เป็นหอการค้าสมน. ก็คงไม่สามารถต่อต้านพวกเขาได้ ฉันได้รับข่าวสารจากทางฝั่งน้าชาย ครั้งนี้ความหวังที่ใหญ่ที่สุด ก็คือกรุ๊ปKINนี้”

ทุกคนได้ยินต่างก็ขึงตาโต นึกไม่ถึงว่าประเวกกลับพูดถึงตระกูลลัดดาวัลย์ที่มีอำนาจน่าเกรงขามนี้ กลับถูกบริษัทใหม่เอาเรื่องจนจนปัญญา นี่มันค่อนข้างสวนทางกับความคิดของพวกเขาจริงๆ

“กรุ๊ปKINนี้ฉันก็เคยได้ยิน วันนี้เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกียวโตจริงๆ แค่สิ่งที่ทำให้ผมคาดคิดไม่ถึงคือ กรุ๊ปKINกลับเก่งกาจถึงขั้นนี้ แม้แต่ตระกูลลัดดาวัลย์จะไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดขึ้น

“ทว่านี่ก็แค่เป็นเรื่องที่คาดเดาเท่านั้น ตระกูลลัดดาวัลย์ยังไงก็มีอำนาจในเกียวโตมาหลายปี ไม่ใช่พูดว่าล่มสลายก็จะล่มสลาย ถ้าตระกูลลัดดาวัลย์ถูกเอาเรื่อง ผมกลับรู้สึกว่าหอการค้าสมน.กลับมีความเป็นไปได้มากกว่า” แล้วก็มีอีกคนๆ หนึ่งที่ได้แสดงถึงความคิดของตัวเอง

ทุกคนต่างก็เริ่มพูดสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์ออกมา คนที่นั่งอยู่บนรถไฟมากมายต่างก็ไปทำงานที่เกียวโต คนพวกนี้ก็ได้เข้าใจในสถานการณ์ของเกียวโตเป็นอย่างมาก ตามข่าวคราวที่ได้รับก็ไม่เหมือนกัน จึงมีมุมปากในเรื่องนี้ที่แตกต่างกันออกไป

ตอนที่ทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างดุเดือด นันทิตาก็หันเหลือบมองรพีพงษ์ที่อยู่ข้างๆ ตัวเอง แล้วเห็นเขาทำท่าทางที่ไม่อยากมีส่วนร่วม ภายในใจกำลังรู้สึกว่าคนๆ นี้ต้องเป็นผู้ชายที่ธรรมดาแน่ๆ เขาไม่เข้าใจในเรื่องใหญ่เหล่านี้ที่กำลังจะเกิดในเกียวโต เขาต้องฟังไม่รู้เรื่องว่าประเวกกำลังพูดอะไร ดังนั้นจึงแกล้งทำท่าทางที่ไม่สนใจอะไร

เธอกลอกลูกตามองไป แล้วก็พูดกับรพีพงษ์ “นี่ นายอย่ามองข้างนอกอีกเลย นายก็พูดถึงความคิดของนายหน่อยสิ นายรู้สึกว่าครั้งนี้ฝ่ายไหนจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้มีโอกาสร่วมงานกับการสร้างโครงการเปลี่ยนเขตเมืองเก่า? ”

ทุกคนต่างก็หยุดลง แล้วหันไปมองรพีพงษ์ เหมือนอยากรู้ว่ารพีพงษ์คิดยังไงกับเรื่องนี้

ประเวกแสยะยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ดูก็รู้ว่าเขาคือผู้ชายธรรมดา มีแรงมากขนาดนี้ ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่ทำไร่ทำนาทุกวี่ทุกวัน เรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาจะรู้ได้ยังไง หรือว่าเขาแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราพูดอะไรกันอยู่”

รพีพงษ์หันไปเหลือบมองประเวกและนันทิตาเพียงพริบตาเดียว แล้วพูดขึ้น “คนที่มีโอกาสได้ร่วมมือในครั้งนี้ มีแค่ตระกูลลัดดาวัลย์เท่านั้น”

ประเวกนิ่งงันไปทันที แล้วหัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็พูดด้วยการเย้ยหยัน “แกอย่าพูดเล่นสิ วันนี้ฝ่ายที่ไม่ได้รับโอกาสครั้งนี้มากที่สุด ก็คือตระกูลลัดดาวัลย์ แกกลับยังพูดได้เด็ดขาดขนาดนี้ แกนึกว่าแกคือใคร หรือว่าแกคิดว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแกที่เป็นคนตัดสินหรอ? ”

นันทิตาที่อยู่ข้างๆ จึงก่นด่าขึ้นทันที “ตลกจริงๆ นายไม่รู้ก็ไม่รู้สิ ทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นรู้ ครั้งนี้นายคงสร้างเรื่องตลกแล้วสิ น้าชายของประเวกเป็นตั้งคนที่ทำงานกับคนที่รับผิดชอบ ข่าวคราวที่ส่งมาจากเขา ยังไงก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะกำหนดมาแล้ว นายกลับบอกว่ามีแค่ตระกูลลัดดาวัลย์เท่านั้นที่ได้ ฉันว่าแกกำลังพูดจาไร้สาระอยู่มั้ง”

เธอถามรพีพงษ์แบบนี้ ก็เพื่อที่จะหาโอกาสหัวเราะเยาะเขา นึกไม่ถึงว่ารพีพงษ์กลับให้ความร่วมมือขนาดนี้ แล้วยังบอกออกมาอย่างไม่เชี่ยวชาญชัดเจนขนาดนี้ ช่างโง่เขลาจริงๆ

ทุกคนที่อยู่รอบๆ ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ก็อดหัวเราะไม่ได้ คนไม่น้อยที่เริ่มดูหมิ่นรพีพงษ์ นันทิตาพูดอาจจะไม่ผิด เขาคือชายหนุ่มที่มีกำลังอันอัศจรรย์ ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่ทำไร่ทำนา ดังนั้นเลยไม่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในเกียวโต

“ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ก็จบ ทำไมถึงต้องเสแสร้งและเดาไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้ นี่แค่จะทำให้คนลดความประทับใจที่มีต่อเขา”

“ดูๆ แล้ว คนๆ นี้ต้องเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มท่านนี้แน่นอน ถึงแม้เมื่อกี้พวกเขาจะทำไม่ค่อยถูก ทว่าคนอื่นมีตำแหน่งและฐานที่มีอยู่แล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้”

“ถ้าคุณผู้หญิงท่านนี้จะให้พวกหลีกที่นั่งให้ ฉันก็คงจะสนับสนุน ชายหนุ่มคนนี้ไม่เข้าใจแล้วแกล้งทำเป็นเข้าใจก็คงจะทำให้คนรู้สึกรังเกียจเกินไปแล้ว”

…….

รพีพงษ์เห็นการตอบสนองของทุกคน จึงเบะปาก จากนั้นก็หันไปตรงนอกหน้าต่างอีกครั้ง และไม่อยากจะเสียเวลากับพวกเขาอีก

นันทิตาเห็นรพีพงษ์เป็นแบบนี้ จึงรีบเอ่ยพูด “นี่ไม่ได้ถูกพูดจนรู้สึกผิดไปแล้วหรือไง ช่างไม่ละอายใจจริงๆ ถูกแฉความจริงแล้วยังทำท่าทางที่ไม่สนใจใครอีก นายนึกว่าตัวเองทำแบบนี้จะทำให้ดูสง่าและเย็นชาหรอ แค่จะทำให้คนรู้สึกตลก”

เธอไม่เคยคิดเลยจริงๆ เธอเองก็จะจี้ถามรพีพงษ์ให้ได้ ถ้าเธอไม่ถาม รพีพงษ์ต้องไม่สนใจเธอตั้งแต่แรกจนถึงตอนสุดท้าย

“พอเถอะของขวัญ อย่าสนใจเขาเลย คนแบบนี้ผมเจอมาเยอะ ชอบเก๊ก ยังไงพวกเราก็แค่ต้องทนนั่งรถไฟขบวนเดียวกับเขาอย่างเลือกไม่ได้เท่านั้น อย่าไปเสียอารมณ์กับเขาเลย” ประเวกพูดขึ้น

นันทิตาจึงพยักหน้าใส่ประเวก ทั้งสองหันหน้าไปทางอื่น และก็พูดคุยกับผู้คนอย่างดุเดือดต่อ

เมื่อกี้รพีพงษ์ก็ไม่ได้บอกนันทิตาไปโดยตรง ครั้งนี้แผนการที่เปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ความจริงแล้วเขาเป็นคนตัดสิน

คนที่รับผิดชอบคนนั้นเป็นคนกลางของกิสนา วันนี้ต้องบริการรพีพงษ์แน่นๆ แค่รพีพงษ์พูด การร่วมงานครั้งนี้อยากจะเป็นใครก็ได้หมด

ตระกูลลัดดาวัลย์ถูกกรุ๊ปKINจ้องจะเอาเรื่อง รพีพงษ์ต้องคิดหาวิธีเพื่อที่จะช่วยตระกูลลัดดาวัลย์ให้มีทางรอดแน่นอน การร่วมงานครั้งนี้ นอกจากตระกูลลัดดาวัลย์แล้ว ก็ไม่มีทางให้คนอื่นอีก

และเขาก็ไม่ได้ให้คนรับผิดชอบคนนั้นแสดงเป้าหมายออกมาอย่างชัดเจนเกินไป สำหรับภายนอก ความหวังที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นกรุ๊ปKIN น้าชายของประเวกก็แค่เป็นคนข้างๆ คนที่รับผิดชอบคนนั้นเท่านั้น และเป็นบุคคลทีไม่สำคัญอะไร แล้วยังรู้ได้ยังไงว่าผู้ที่จะมาร่วมงานในโปรเจคการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าได้ตัดสินอย่างมั่นใจไปแล้ว

และรพีพงษ์ทำแบบนี้ ก็เพื่อให้ความหวังจิรเวชและโยษิตา แน่นอนว่าพวกเขาต้องมั่นใจว่าโอกาสครั้งนี้ต้องตกอยู่ในมือของพวกเขา ตอนที่พวกเขาคิดไปเองว่าสามารถพึ่งพาเรื่องโปรเจคการเปลี่ยนแปลกเขตเมืองเก่านี้มาจู่โจมตระกูลลัดดาวัลย์ รพีพงษ์ก็จะทำให้พวกเขาเข้าใจทันที ทุกอย่างได้ถูกวางไว้ตั้งนานแล้ว และพวกเขาไม่มีทางเป็นคู่แข่งของรพีพงษ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ถึงเวลาเชื่อว่าสีหน้าของพวกเขาต้องดูน่าสนใจมากแน่นอน

พอรถไฟความเร็วสูงถึงสถานี ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นมาเอาสัมภาระของตนเอง จากเดินออกจากรถไฟ ตอนที่ประเวกและนันทิตาลุกขึ้นก็เหลือบตามองรพีพงษ์ด้วยความโหดเหี้ยมหนึ่งแวบตาเดียว จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก

รพีพงษ์ยืนขึ้น แล้วบิดขี้เกียจ หลังจากที่ลงจากรถไฟ ก็มองท้องฟ้าที่อยู่ไกล ครั้งนี้ เขาต้องให้บทเรียนที่โยษิตาสมควรจะได้รับ ไหนๆ ครั้งที่แล้วเธอก็ฟื้นคืนชีพ งั้นครั้งนี้รพีพงษ์ต้องเห็นเธอตายต่อหน้าต่อตาตัวเอง ทำให้เธอไม่มีทางรอดชีวิตไปได้อีกครั้ง!

ข้างนอกสถานีรถไฟ ประเวกและนันทิตาทั้งสองก็เดินออกไป ไม่นานก็เห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูที่จอดอยู่ข้างถนน ข้างรถมีผู้ชายที่ใส่เสื้อสูทคนหนึ่งยืนอยู่

ประเวกจึงรีบจูงนันทิตาเดินไป หลังจากที่ไปถึงข้างๆ คนๆ นั้น ก็รีบตะโกนด้วยรอยยิ้ม “น้าชาย นี่เป็นแฟนของผม ของขวัญครับ”

น้าชายของประเวกส่งยิ้มให้พวกเขาสองคน แล้วพูดขึ้น “รีบขึ้นรถเถอะ น้าจะพาพวกเธอสองคนไปห้องอีวานโฟนนิก วันนี้ลูกพี่ของพวกน้าไปต้อนรับแขกคนสำคัญมาก น้าจะรีบไปตกแต่งก่อน พวกเธอสองคนเดี๋ยวถ้าไปแล้วต้องฉลาดมีไหวพริบหน่อย อย่าสร้างปัญหาให้น้า”

ประเวกและนันทิตาทั้งสองก็ได้ยินว่าจะไปเจอกับคนใหญ่คนโต ใบหน้าก็เคล้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ แล้วรีบพยักหน้าให้กับน้าชาย จากนั้นก็ขึ้นรถ

แขกคนสำคัญที่สามารถทำให้ผู้รับผิดชอบท่านนั้นต้อนรับ ต้องไม่ใช่คนธรรมดา และไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหน ภายในใจของนันทิตาค่อนข้างรู้สึกรอคอย

รถบีเอ็มคันนั้นจากไปได้ไม่นาน รพีพงษ์ก็เดินถึงข้างถนน จากนั้นก็เรียกรถแท็กซี่ แล้วนั่งขึ้นไป

“ลุงครับ ไปห้องอีวานโฟนนิก”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท