พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 476 สามท่า

บทที่ 476 สามท่า

บทที่ 476 สามท่า

ลูกน้องคนหนึ่งของธรรมนาถวิ่งไปทางฝั่งนฤชิตทันที จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไปทางฝั่งรพีพงศ์ พร้อมกับตะโกนขึ้น “เขานี่แหละ ที่เป็นยัยหมอนั่นที่ตีลูกพี่ของพวกเราจนตาย! ”

นฤชิตมองไปตามทิศทางที่คนๆ นั้นชี้ไป แล้วสายตาจึงกระทบบนเรือนร่างด้านหลังของรพีพงษ์ พร้อมกับตะโกนด้วยเสียงโมโห จากนั้นก็สาวเท้าเร็วเหมือนดาวตก

ทุกคนต่างก็รีบหลีกทาง เสน่ห์ที่แผ่ซ่านออกมาจากเรือนร่างของนฤชิตทำให้เขารู้สึกหวาดผวา เหมือนตอนห่างจากนฤชิตในระยะใกล้ พวกเขาก็ล้มลงโดยที่ไม่สมัครใจ

“ไอ้บ้าระห่ำ! แกตีลูกศิษย์ฉันตาย วันนี้ฉันจะให้แกตายไปพร้อมกับเขา! ”

“ครั้งนี้ไอ้หมอนี่ซวยแล้ว ดูจากท่าทางของนฤชิต เกรงว่าถ้าไม่ฉีกเนื้อเขาจนเลอะ ก็คงไม่สามารถระบายความขุ่นเคืองใจนี่ได้” มีคนไม่น้อยหันไปจับจ้องนฤชิตและรพีพงษ์ แม้กระทั่งบางคนยังใช้สายตาที่เห็นอกเห็นใจมองรพีพงษ์

ชัยภัทรมองนฤชิตเดินมา ขาทั้งสองข้างจึงอดสั่นเทาไม่ได้ และในตอนที่นฤชิตใกล้จะเดินไปถึงตรงหน้าพวกเขา ชัยภัทรก็กัดฟัน จากนั้นยืนออกไป แล้วขวางอยู่ตรงหน้านฤชิต

นฤชิตได้ยินคำพูดของชัยภัทร จึงขึงตาโตมองเขาทันที จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเลือดเย็น “แกมันตัวอะไรกัน ก็ยังกล้ายุ่งเรื่องของฉัน รีบถอยไป ไม่งั้นฉันจะจัดการแกด้วย! ”

ชัยภัทรกัดฟันพูด “ปรมาจารย์นฤชิต ฉันพูดเรื่องจริงทั้งหมด คนทั้งหมดต่างก็เป็นพยานได้ ไม่เชื่อคุณก็สามารถถามคนอื่น ลูกศิษย์ของคุณก็คือหนึ่งในผู้ดูแลของสนามมวยนี้ ต่อให้เป็นเขา ก็ควรปฏิบัติตามกฎของสนามมวย พอลงจากเวทีประลอง ต่อให้มีความแค้นส่วนตัว ก็อย่าได้แก้แค้นในสนามมวย ไม่งั้นก็ขึ้นเวทีประลอง”

นฤชิตที่เป็นปรมาจารย์ฝ่ามือรวมศูนย์เบอร์หนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีความเย่อหยิ่งบ้างอยู่แล้ว สำหรับชื่อเสียงของตนเองก็ต้องให้ความสำคัญ เมื่อกี้เพราะว่าเห็นลูกศิษย์ของตนเองตาย ก็เลยใจร้อนเกินไป ดังนั้นจึงคิดจะลงไม้ลงมือกับรพีพงษ์ ตอนนี้ได้ยินชัยภัทรพูดแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง

เขาหยุดลง แล้วสายตาจับจ้องไปยังเรือนร่างของรพีพงษ์ พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “ไอ้หนุ่มน้อย แกใครขึ้นเวทีประลองกับฉันไหมล่ะ! ”

ชัยภัทรรีบหันไป แล้วส่งสายตาให้กับรพีพงษ์ ภายในใจกำลังคิดว่าเขาสามารถคว้าโอกาสที่ใหญ่ที่สุดในแล้ว แค่รพีพงษ์ปฏิเสธไป ตามตำแหน่งของนฤชิต ต้องไม่ให้เขาลงไม้ลงมือกับรพีพงษ์กลางสนามมวยแน่นอน แบบนี้อย่างน้อยรพีพงษ์ก็ยังมีโอกาสที่จะหนีได้

ภายในใจของเขารู้สึกว่ารพีพงษ์ควรเข้าใจในความหมายที่เขาทำแบบนี้ ถ้ารพีพงษ์ไม่สามารถเข้าใจได้ งั้นเขาก็ไม่มีวิธีอะไรได้

“ฉันรออยู่ที่นี่ ก็เพื่อรอขึ้นเวทีประลองกับแก” รพีพงษ์พูดขึ้น

ชัยภัทรทำสีหน้าที่เปลี่ยนไป แล้วมองรพีพงษ์อย่างไม่น่าเชื่อ เขาทำให้ตนเองสิ้นสุดทางตันแบบนี้ ตอนนี้ต่อให้ชัยภัทรสามารถพูดอะไรได้อีก ก็ไม่มีวิธีที่จะช่วยรพีพงษ์

“พูดจาโอ้อวดเหลือเกินนะ หรือว่าแกอยากจะตีลูกศิษย์ของฉันให้ตายแล้วยังจะตีฉันให้ตายอีก? จะบอกแกไว้นะ แกนี่มันเป็นคนโง่ที่เอาแต่เพ้อฝัน! ไหนๆ แกก็ยอมขึ้นเวทีประลองแล้ว งั้นก็อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย แบบนี้จะได้ไม่ต้องให้คนอื่นมาตำหนิว่าฉันไม่ทำตามกฎนระเบียบ บนเวทีประลอง แกถูกตีตาย งั้นก็คงจะโทษฉันไม่ได้นะ! ”

พูดจบ นฤชิตก็รีบวิ่งพุ่งไปทางฝั่งเวทีประลองอย่างรวดเร็ว

รพีพงษ์ก็ไม่ได้ลังเลอะไร จากนั้นก็ตามไปด้วย

“พี่ธฤต หรือว่าพี่ไม่กังวลสักนิดเลยหรอ ความสามารถของนฤชิต ห้ามดูถูกเด็ดขาด” ชัยภัทรพูดด้วยสีหน้าที่กังวลใจ

ธฤตญาณมองชัยภัทรเพียงพริบตาด้วยรอยยิ้มที่สงบสุข จากนั้นก็เอ่ยพูด “รพีพงษ์ก็ยังไม่กลัว แกจะกลัวอะไร ดูดีๆ ถ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ รพีพงษ์ก็ไม่มีทางขึ้นเวทีประลองหรอก”

จู่ๆ ชัยภัทรก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ไม่ตื่นเต้น แต่ทว่าขันทีกลับตื่นเต้น ธฤตญาณพูดถูก ยังไงก็ไม่ใช่ตนเองที่เป็นคนขึ้นไปเวทีประลองสักหน่อย ไหนๆ เรื่องนี้ก็ไม่มีวิธีการเปลี่ยนแปลงแล้ว งั้นก็ลองดูดีๆ

ทุกคนต่างก็มองไปยังรพีพงษ์และนฤชิตที่ขึ้นเวทีประลอง และก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แล้วรีบมองไปตรงทั่วทุกสี่ทิศของเวทีประลอง

“ไอ้หมอนี่ไม่กลัวตายจริงๆ กลับกล้าขึ้นเวทีประลองกับนฤชิต ไม่รู้ว่าควรบอกว่าเขาเก่งจริงหรือแกล้งทำเป็นเก่งจริงๆ ” คนบางกลุ่มพูดเองเออเอง ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เชียร์รพีพงษ์เลย

นฤชิตและรพีพงษ์ยืนหันหน้าเข้าหากัน นฤชิตมองรพีพงษ์ แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “ไอ้หนุ่มน้อย ธรรมนาทเป็นลูกศิษย์ที่ฉันชอบที่สุด ไหนๆ แกก็ตีเขาจนตายแล้ว งั้นก็อย่าหาว่าฉันโหดเหี้ยมอำมหิตแล้วกัน! ”

“แค่กลัวว่าแกจะตายตามลูกศิษย์ของแกน่ะสิ” รพีพงษ์พูดด้วยเสียงเรียบ

” พูดอวดไม่ละอายใจ! อย่างแกนะ ไม่ต้องยี่สิบท่า ฉันก็สามารถทำให้แกคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้ตลอดกาล! ” นฤชิตพูดด้วยเสียงเย็นชาในลำคอ

“ยี่สิบท่ามากเกินไป แค่สามท่า ตามที่แกพูด ทำให้แกคุกเข่าจนไม่สามารถลุกขึ้นได้ตลอดกาล” รพีพงษ์ยื่นมือออกไป แล้วทำท่าสามท่า

นฤชิตรีบหัวเราะอย่างบ้าบิ่น แล้วพูดต่อหน้าทุกคน “พวกคุณได้ยินกันหรือยัง เขาบอกว่าสามท่าก็สามารถทำให้ฉันคุกเข่าจนลุกไม่ขึ้นตลอดไป นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดที่เคยได้ยินของพวกคุณหรือเปล่า? ”

คนที่อยู่ข้างล่างต่างก็หัวเราะกันขึ้นมา ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสำหรับพวกเขาแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องตลกจริงๆ

“เห็นหรือยัง ในสายตาพวกเขา แกก็คือตัวตลกเท่านั้น สามารถใช้สามท่าในการจู่โจมฉันนฤชิตให้พ่ายแพ้ บนโลกใบหน้ามีอยู่จริง แต่ต้องไม่ใช่แก! ” นฤชิตมองไปยังรพีพงษ์

“สามารถเอาชนะได้หรือไม่ก็จะรู้เอง อย่าพูดมาก” รพีพงษ์พูดขึ้น

นฤชิตทำเสียงเย็นชาในลำคอ แล้วไม่ได้พูดมากอีก จากนั้นก็พุ่งไปทางฝั่งรพีพงษ์ ทั้งเวทีประลองก็เพราะว่าฝีเท้าของเขาเลยทำให้สั่นสะเทือนขึ้นมา

รพีพงษ์ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน สองตาจับจ้องนฤชิตไว้ แล้วสังเกตมองท่าไม้ตายที่เขาแสดงออกมา

ชัยภัทรกลับไมค่อยอยากจะเห็นสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในลำดับต่อไป ตอนที่นฤชิตพุ่งไปยังรพีพงษ์ เขาจึงยอมหมุนตัวโดยตรง แล้วหันหลังให้กับเวทีประลอง

และในตอนที่นฤชิตและรพีพงษ์พุ่งไปด้านหน้า มือของรพีพงศ์จู่ๆ ก็ยกขึ้น และพุ่งเข้าไปกระชากคอของนฤชิตอย่างรวดเร็ว

ม่านตาของนฤชิตหดเล็กลงทันที จากนั้น ภายใต้ดวงใจก็รู้หวาดกลัวโดยยากที่จะมีมาก่อน

เขาสังเกตเห็นว่าตนเองแค่สามารถปล่อยให้รพีพงษ์กระชากคอของตนเองโดยที่ทำอะไรไม่ได้ และร่างกายของตนเองกลับตอบสนองโดยเร็ว ทว่าก็ไม่สามารถตามความเร็วของรพีพงษ์ทัน

หลังจากรพีพงษ์กระชากคอของนฤชิต แล้วออกแรง จากนั้นก็โยนไปบนพื้นอย่างรุนแรง ทั้งตัวของนฤชิตถูกรพีพงษ์แขว่งกลางอากาศไปครึ่งวง จากนั้นก็ล่มลงบนพื้น รพีพงษ์จึงเหยียบหัวเข่าของนฤชิตแรงๆ จากนั้นก็ให้นฤชิตอยู่ในท่าคุกเข่า แล้วมองไปยังรพีพงษ์ โดยที่ไม่ได้ขยับ

สามท่า!

แค่สามท่าเท่านั้น รพีพงษ์ก็ทำให้นฤชิตคุกเข่าลงต่อหน้าตัวเอง เพราะว่าฉากๆ เกิดขึ้นว่องไวเกินไป ทำให้คนเหล่านั้นที่อยู่ล่างเวทีประลองยังไม่สามารถตอบสนองกลับมาได้โดยทันที

นฤชิตแค่รู้ว่าศีรษะของตนเองเหมือนรู้สึกโลกกำลังหมุน จากนั้น ตรงเหนือหัวเข่าของเขาก็มีความรู้สึกปวดส่งมา รอให้เขาได้สติกลับมา ก็เพิ่งจะสังเกตว่าตัวเองคุกเข่าลงตรงหน้ารพีพงษ์แล้ว

เขาอยากจะรีบลุกขึ้นจากบนพื้น และต่อสู้ของรพีพงษ์ต่อ ทว่าวินาทีต่อไป เขาเพิ่งจะสังเกตว่า ขาทั้งสองข้างของตัวเองเหมือนจะไร้ความรู้สึก เขาได้ขาดความสามารถในการทำให้ตัวเองลุกขึ้นจากพื้นแล้ว!

“ไม่ นี่ไม่มีทาง สามท่า เขากลับแค่ใช้สามท่า ทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนที่แกร่งขนาดนี้? หัวเข่าของฉัน ไม่ ฉันไม่อยากจะกลายเป็นคนพิการ! ” นฤชิตกำลังร้องตะโกนภายในใจ

จากนั้นความรู้สึกใดๆ ก็ไร้ประโยชน์ จุดจบเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้

ทุกคนที่อยู่ข้างล่างเวทีก็เพิ่งจะได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึง จากนั้นก็เกิดความดุเดือดขึ้นมาทั้งงาน ทุกคนต่างก็ชื่นชมจากใจจริง เมื่อกี้ทั้งสามท่าของรพีพงษ์เป็นเมฆเหินน้ำไหลอย่างที่เขาว่ากัน อีกอย่างยังมีความพลังแห่งความน่าเกรงขามที่ใหญ่หลวง ทำให้เหนือสิ่งที่ทุกคนคาดคิดถึง

“เก่งมากๆ เก่งมากเกินไปจริงๆ โอ้พระเจ้า นี่เทพเจ้าสงครามมาบังเกิดในโลกมนุษย์หรือเปล่า! ”

“โอ้แม่เจ้า นี่มันเก่งเกินไปไหม กลับง่ายขนาดนี้ แม้แต่ปรมาจารย์ฝ่ามือรวมศูนย์ยังถูกโจมตีจนต้องคุกเข่าอยู่บนพื้น? ”

“มิน่าล่ะคนอื่นกล้าแกล้งทำเป็นเก่ง ทีแรกก็เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ อยู่แล้ว ดูๆ แล้วฉันมองผิดคนจริงๆ “!

…….

ชัยภัทรได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบๆ จึงรีบขมวดคิ้วทันที ภายในใจกำลังคิดว่ารพีพงษ์ไม่มีทางถูกจัดการเร็วขนาดนี้หรือเปล่า

แต่พอได้ยินเสียงตอบสนองของทุกคน มีความเป็นไปได้จริงๆ เสียดาย เขาก็ได้เตือนรพีพงษ์ตั้งนานแล้ว ทว่ารพีพงษ์ไม่ยอมฟังเลย และตอนนี้ จะโทษใครก็คงไม่มีประโยชน์อีก

ชัยภัทรค่อยๆ หมุนตัว แล้วไปยังฝั่งเวทีประลอง วินาทีต่อไป เรือนร่างของเขาก็เกร็ง คางเกือบจะหล่นลงไปบนพื้น

เขาไม่เห็นรพีพงษ์พ่ายแพ้ในมือของนฤชิต ทว่ากลับเป็นนฤชิตที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้ารพีพงษ์ แล้วไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้าน!

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท