พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 493 รพี

บทที่ 493 รพี

บทที่ 493 รพี

ในชั้นที่หนึ่งนั้น ทุกคนต่างก็กำลังจ้องมองอย่างการมีความสุขบนความโชคร้ายของรพีพงษ์อยู่ อีกทั้งยังกระซิบกระซาบว่าร้ายอีก

“ เจ้าเด็กนี่ไม่กลัวตายจริง ๆ ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ใกล้จะลงมาด้วยตัวเองแล้ว ยังคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย หรือว่ามันไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์จะลงมาด้วยตัวเองนะ นี้หมายความว่าอะไร?”

“ คนแบบนี้ ถ้ารู้ความหมายจริงๆ อย่างชัดเจนแล้วว่าหมายถึงอะไร ก็จะไม่วิ่งมาก่อกวนท่านอาจารย์ปรมัตถ์ถึงที่นี่หรอก หรือว่าเดิมทีแล้วเขาไม่รู้ฐานะตนเองหรือไง ตอนนี้ฉันเกรงว่าเขาคงจะคิดว่าสิ่งที่ตนเองนั้นพูดคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วมั้ง ”

“ พูดได้ถูกต้อง คนแบบนี้นะ จะต้องให้ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ลงมาสั่งสอนด้วยตนเองเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นไม่คงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรอก ”

……

รพีพงษ์ไม่สนใจที่คนอื่นพูดเลยสักนิด ในใจของเขารู้ดีที่สุด ถ้าหากว่าปรมัตถ์ลงมาจริง ๆ เรื่องนี้ก็จะจัดการง่ายขึ้นหน่อย

แต่ถ้าท่านปรมัตถ์ไม่ลงมา เรื่องของวันนี้คงจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายแน่

เมื่อผดุงสิทธิ์เห็นผู้คนรอบ ๆ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์แบบนั้น ในใจของเขาก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เขาไม่อยากเป็นเพราะรพีพงษ์ ถึงทำให้ปรมัตถ์มีความประทับใจที่ไม่ดีต่อเขา แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง คงจะทำให้เขานั้นรู้สึกเสียใจตลอดชีวิต

หลังจากที่คิดทบทวนมานาน ผดุงสิทธิ์ก็เดินมาด้านหน้าของรพีพงษ์ พร้อมกับเตือนว่า : “ คุณรพี ผมรู้ว่าคุณวัยรุ่นเลือดร้อน และมีระดับความสามารถในการประเมินวัตถุโบราณสูงมาก แต่ว่าก็มีหลายครั้ง ที่คุณควรจะเชื่อมั่นอำนาจและบารมีในหน้าที่การงานด้วย ท่านอาจารย์ปรมัตถ์เองนั้นก็ดำรงอยู่ในอาชีพนี้ตั้งหลายปีแล้ว ความถี่ในความผิดพลาดนั้นน้อยมาก อีกทั้งทุกคนนั้นต่างก็รอหัวเราะเยาะคุณ ตามความคิดของผมแล้ว คุณยอมแพ้ซะเถอะครับ มิเช่นนั้นถ้าท่านอาจารย์ปรมัตถ์ลงมาตาต่อตาฟันต่อฟันกับคุณ แล้วทุกอย่างจะสายไปเสีย”

มโนชาก็เดินตามมา มองรพีพงษ์แล้วพูดว่า : “ คุณครูของฉันพูดได้ถูกต้อง คุณไม่เห็นจะต้องตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอาจารย์ปรมัตถ์ ความจริงแล้วความสามารถของคุณล้ำเลิศที่สุดแล้ว อย่างน้อย ในสายตาฉัน คุณก็เป็นคนที่เก่งกาจมาก ๆ นะ ”

รพีพงษ์หันไปมองทั้งสองคนแล้วหัวเราะออกมา พูดว่า : “ พวกคุณวางใจเถอะ ปรมัตถ์ไม่มีความกล้าที่จะตาต่อตาฟันต่อฟันกับผมหลอก อีกแป๊บเดียวเขาลงมาพวกคุณก็จะรู้เอง ”

ทันใดนั้นผดุงสิทธิ์ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา แม้ว่ารพีพงษ์จะเก่งสักแค่ไหน แต่ว่าเขาก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ดี แต่กลับมักจะดูถูกท่านอาจารย์ปรมัตถ์ ทำให้เขาหมดความอดทนแล้วจริงๆ

“ พวกคุณทายสิว่าเมื่อกี้เจ้าหมอนี่พูดว่าอะไร! ” ในขณะนั้นบุคคลที่แอบฟังรพีพงษ์พูดอยู่ตะโกนเสียงดังออกมาว่า

ทุกคนต่างก็มองยังคนนั้น

“ เมื่อกี้เขาพูดว่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์ไม่มีความกล้าที่จะตาต่อตาฟันต่อฟันกับเขาหรอก พระเจ้า ทำให้ผมตกตะลึงจริง ๆ ตกลงแล้วเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่ คาดไม่ถึงอีกว่าเขาจะคิดว่าตนเก่งกว่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์อีก ” คนนั้นตะโกนพูดต่อ

ทุกคนได้ยินคำพูดที่คนนั้นพูด ก็เกิดอารมณ์ที่ไม่พอใจกับรพีพงษ์มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังจ้องไปยังรพีพงษ์ด้วยสายตาที่เป็นศัตรู

“ นี้มันบ้าชะมัด!ผมไม่เคยเจอใครที่หยิ่งยโสแบบนี้มาก่อน เขามีหน้าอะไรที่พูดแบบนี้ออกมาได้ !”

“ เจ้าเด็กน้อย ผมขอเตือนว่าคุณรีบหนีไปเถอะ แค่เพียงคำพูดของคุณเมื่อครู่ เมื่อท่านอาจารย์ปรมัตถ์ลงมา ก็ไม่มีทางไว้ชีวิตคุณหลอก !”

“ หนีงั้นเหรอ?ก่อนที่ท่านอาจารย์ปรมัตถ์จะสั่งสอนเจ้าเด็กนั้น เกรงว่าในที่นี้คงจะไม่มีที่ให้เขาหนีออกไปแล้ว ในเมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ ก็จะต้องให้เขารับผิดชอบกับการพูดของตนเอง!”

ผดุงสิทธิ์ได้ยินคำพูดของทุกคน ถอนหายใจออกมาจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจำใจ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว ถึงแม้นรพีพงษ์จะยอมรับผิด เกรงว่าคงจะไม่มีประโยชน์อะไรอีก

ไกรเดชและมโนชาทั้งสองคิ้วขมวดชนกัน คิดไม่ถึงเลยว่ารพีพงษ์จะก่อเรื่องจนเป็นแบบนี้ อีกสักครู่ปรมัตถ์ก็จะลงมาแล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีวิธีดี ๆ ที่จะแก้ไขเรื่องนี้แล้ว

ระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดปราบปรามรพีพงษ์อยู่นั้น ปรมัตถ์และปรวิทย์สองคนก็รีบลงมาอย่างรวดเร็ว ในขณะนี้ใบหน้าของปรมัตถ์เต็มไปด้วยความกังวล แต่ใบหน้าของปรวิทย์กลับเต็มไปด้วยความอับอายและสำนึกผิดต่อบาป

เมื่อทุกคนเห็นท่านปรมัตถ์และปรวิทย์ทั้งสองคนลงมา การพูดปราบปรามรพีพงษ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

“ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ลงมาแล้ว เดี๋ยวคอยดูกันว่าคุณจะเสแสร้งต่อหน้าท่านอาจารย์ปรมัตถ์ต่อไปยังไงกัน ถ้าหากว่าต้องการเอาตัวรอดละก็ ก็รีบขอโทษท่านอาจารย์ปรมัตถ์ซะ !” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น

ทุกคนต่างมองปรมัตถ์ด้วยใบหน้าที่ใจจดใจจ่อ อยากจะให้เขาสั่งสอนท่าทางของรพีพงษ์

หลังจากที่ปรมัตถ์มาถึงชั้นหนึ่งนั้น ก็รีบถามปรวิทย์ว่า : “คนที่แกพูดถึงนั้นคือคนไหน?”

ปรวิทย์จึงชี้นิ้วไปทางรพีพงษ์ แล้วพูดว่า : “ กะ……ก็คือเขา ”

“ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ครับ เจ้าเด็กคนนี้ก็คือคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงที่มาก่อกวนร้านท่านครับ คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดว่าผลการประเมินของท่านนั้นผิดพลาด ถ้าหากว่าท่านไม่ชอบเขาละก็พวกเราจะช่วยท่านไล่เขาออกไปได้ครับ! ” คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการจะเริ่มสานสัมพันธ์กับท่านปรมัตถ์

ปรมัตถ์มองผ่านทุกคนไป เมื่อมองไปเห็นรพีพงษ์นั้น เขาก็ตกใจครู่หนึ่ง แม้แต่ใบหน้าก็ยังแสดงออกความรู้สึกปลื้มปีติยินดีและตื่นเต้น

“ ระ….รพีพงษ์ เป็นคุณจริง ๆ ใช่ไหม ?” ปรมัตถ์รีบมุ่งไปทางรพีพงษ์ แล้วตื่นเต้นแปลกไปจากเดิม

หลังจากที่รพีพงษ์เห็นท่านปรมัตถ์แล้ว ใบหน้าก็มีรอยยิ้มออกมา พร้อมพูดกับเขาว่า : “ท่านปรมัตถ์ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ”

หลังจากที่ปรมัตถ์ยืนต่อหน้ารพีพงษ์แล้วนั้น ก็ยืนมือทั้งสองข้างออกมาด้วยความสั่น แล้วก็คารวะแสดงความเคารพให้กับทางรพีพงษ์

ในฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงตาค้าง ใบหน้าของคนที่เดิมทีรอว่าปรมัตถ์จะจัดการสั่งสอนรพีพงษ์ก็ตกตะลึง ผู้คนไม่น้อยล้วนอ้าปากค้าง ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความตกตะลึงนี้

“รพี คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณ มิน่าล่ะลูกชายของผมถึงพูดว่ามีคนหนึ่งที่สามารถพูดถึงประวัติของ โถเครื่องเคลือบลายครามได้ ถ้าหากว่าเป็นคุณละก็ งั้นก็สามารถพึ่งแค่ดวงตาก็สามารถแยกแยะอายุยุคสมัยที่แท้จริงของ โถเครื่องเคลือบลายคราม อย่างแน่นอน ” หลังจากที่ปรมัตถ์เคารพรพีพงษ์เสร็จ ยิ้มแล้วพูดออกมา

“ เด็กคนนี้ยังกล้าพูดอีกว่า ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะผมเห็น แล้วคุณขายแจกันลายดอกไม้นี้ออกไป ภายหลังจากนั้นชื่อเสียงของคุณก็อาจจะเสื่อมเสียได้ ” รพีพงษ์พูดออกมาตามใจตนกับปรมัตถ์

เมื่อก่อนนั้นความสัมพันธ์ของเขากับปรมัตถ์ถือว่าใกล้ชิดกันมาก ทั้งสองคนก็ลืมนับอายุในการคบกันไปเลย ตอนนั้นรพีพงษ์ก็ได้แสดงความสามารถในการประเมินวัตถุโบราณที่น่าทึ่งให้คนตกใจไปทั่วแล้ว แม้แต่ปรมัตถ์ ก็ยังละอายใจ

คนอื่นเรียกท่านอาจารย์ปรมัตถ์ ปรมัตถ์ก็เรียกรพีพงษ์รพีไปด้วย เพื่อแสดงถึงความเคารพที่มีต่อรพีพงษ์

“รพีพูดได้ถูกต้อง ผมก็เพิ่งได้รู้เมื่อครู่เองว่าแจกันลายดอกไม้ใบนี้เป็นของยุคสมัยราชวงศ์ชิง นั้นก็เป็นเพราะว่าผมขอร้องเพื่อนของผมให้ใช้วิธีการสมัยใหม่ตรวจสอบออกมา คาดไม่ถึงเลยว่ารพีจะใช้เพียงแค่ดวงตาก็สามารถที่จะมองออกถึงยุคสมัยที่แท้จริงของแจกันลายดอกไม้ใบนั้นได้ เมื่อเทียบกับคุณแล้ว ผมรู้สึกละอายใจจริงๆ ” ปรมัตถ์พูดออกมาอย่างละอายใจ

ปรวิทย์ที่ยืนด้านหลังท่านปรมัตถ์ ได้ยินถึงบทสนทนาของทั้งสอง ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าปรมัตถ์กับรพีพงษ์เคยรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งยังคิดไม่ถึงเลยว่าปรมัตถ์จะพูดกับเด็กรุ่นหลังว่าละอายใจตัวเอง นี่มันเหนือความคาดหมายของเขาจริง ๆ

ไม่เพียงแต่ปรวิทย์ที่ตกตะลึง ไกรเดชทั้งสามคนล้วนไม่กล้าจะเชื่อสายตาของตนเองในฉากนี้ เดิมทีแล้วพวกเขาคิดว่าหลังจากที่ปรมัตถ์ลงมา จะต้องทำให้รพีพงษ์อับอายแน่ๆ จะไปคิดล่ะว่าปรมัตถ์จะแสดงความเคารพนับถือต่อรพีพงษ์มากขนาดนี้ ทั้งสองคนก็เหมือนกับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ดูเหมือนใกล้ชิดสนิทสนมกันมากด้วย

“ คะ….คาดไม่ถึงเลยว่าเขากับปรมัตถ์จะเป็นเพื่อนกัน อีกทั้งท่านอาจารย์ปรมัตถ์มีท่าทีที่ราวกับให้ความสำคัญกับเขามากด้วย ที่แท้พวกเราเข้าใจเขาผิดไปจริงๆ ” มโนชาพึมพำกับตนเอง

หลังจากที่ผ่านความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้มา ในตอนนี้ก็ได้รับรู้ถึงระดับความสามารถที่แท้จริงของรพีพงษ์แล้ว ซึ่งความแตกต่างแบบนี้ ยิ่งทำให้มโนชาเห็นเสน่ห์บนตัวรพีพงษ์มากยิ่งขึ้น

เธอที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่สวยงาม จะปฏิเสธเสน่ห์ความน่าหลงใหลบนตัวของรพีพงษ์ไปได้ยังไง

เมื่อก่อนมโนชารู้สึกว่าผู้ชายในโรงเรียนของพวกเขานั้นค่อนข้างที่จะไร้เดียงสา ไม่มีระดับที่สามารถจีบเธอได้ ดังนั้นตอนเธออยู่ในโรงเรียนเธอก็คือเทพธิดาที่เย็นชาคนหนึ่ง

แต่ว่าตอนนี้เทพธิดาที่มีดวงตาที่สูงส่งก็พ่ายแพ้ให้กับรพีพงษ์แล้ว ความนิ่งเฉยของรพีพงษ์ สายตาที่ไม่สนใคร ตลอดจนถึงระดับความสามารถในการประเมินวัตถุโบราณที่แม้แต่ปรมัตถ์ยังนับถือ ก็ทำให้ใจของมโนชานั้นเต้นแรงขึ้นมา

“ คุณครูคะ พวกเราเข้าใจคุณรพีผิดไปแล้ว เดิมทีคุณรพีเป็นเพื่อนกับท่านอาจารย์ปรมัตถ์ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเอาจิตใจที่คับแคบของเราไปตัดสินเขาแล้วนะคะ” มโนชาพูดกับผดุงสิทธิ์

ผดุงสิทธิ์พยักหน้า แล้วก็พูดด้วยความละอายใจ ว่า : “ อีกสักครู่พวกเราไปขอโทษคุณรพีกันเถอะ ถ้าหากว่าเขาสามารถแนะนำพวกเราให้รู้จักกับท่านอาจารย์ปรมัตถ์ได้ละก็ นั่นคงจะดีมาก ๆ เลย”

ผู้คนโดยรอบมากมายก็ยังไม่ได้สติจากการตกใจ ปรมัตถ์ก็สังเกตเห็นท่าทางของคนพวกนี้แล้ว แล้วจึงถามรพีพงษ์ไปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ

รพีพงษ์จึงพูดเรื่องที่ผ่านมาให้ปรมัตถ์ฟัง ส่วนด้านของปรวิทย์พอได้ฟังก็เหงื่อแตกออกมา

ถ้าหากว่าสืบสาวเรื่องราวแล้วเรื่องนี้นั้นก็ต้องเป็นความผิดปรวิทย์ ถ้าหากว่าตอนแรกเริ่มนั้นเขาไปเรียกปรมัตถ์ลงมา ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้แน่

ปรมัตถ์หันไปมองปรวิทย์ แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ว่า : “ ยังไม่รีบขอโทษมารพีอีก ลูกคนนี้พ่อจะสั่งสอนแกยังไงนี่นะ ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนวิชาการประเมินวัตถุก็เละหมด อีกทั้งยังก่อปัญหาอีกแกนี้มันจริง ๆ เลย”

ปรวิทย์ไม่กล้าที่จะเมินเฉยได้ จึงรีบโค้งคำนับให้กับรพีพงษ์ แล้วก็พูดด้วยสีหน้าที่สำนึกผิดว่า : “รพี ผมต้องขอโทษจริง ๆ เป็นเพราะผมมีตาหามีแววไม่ ไม่รู้จักคุณ ทำให้คุณเดือดร้อน หวังว่าคุณจะไม่ใส่ใจและให้อภัยผมด้วย。”

“ แค่อธิบายสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนก็พอแล้ว ” รพีพงษ์พูด

ปรมัตถ์มองไปยังทุกคนที่นี่ พูดอย่างเสียงดังว่า : “ ทุกท่าน เนื่องจากเรื่องในวันนี้เป็นความผิดพลาดของผมเอง ความจริงแล้ว โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนี้เป็นของยุคราชวงศ์ชิง เป็นเพราะว่าผมมองพลาดไป วันนี้ผมให้เพื่อนของผมใช้วิธีตรวจสอบสมัยใหม่ซึ่งชัดเจนแล้วว่ายุคที่ โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนี้อยู่คือยุคราชวงศ์ชิงครับ สายตาของรพีมองไม่ผิดครับ หวังว่าทุกท่านคงไม่เข้าใจเขาผิดนะครับ ”

หลังจากที่ทุกคนได้ฟังคำพูดของปรมัตถ์เช่นนั้น ต่างหายใจเข้าสงบอารมณ์ คิดไม่ถึงว่าปรมัตถ์จะลงทุนพูดแก้ต่างอธิบายให้รพีพงษ์ด้วยตนเอง อีกทั้งความหมายที่ปรมัตถ์พูดนั้น เขาเองก็ยังที่จะต้องพึ่งวิธีการประเมินสมัยใหม่เพื่อที่จะพิสูจน์สมัยของ โถเครื่องเคลือบลายคราม นั้นด้วย แต่รพีพงษ์กลับใช้เพียงแค่ดวงตา ก็สามารถรู้ที่มาของ โถเครื่องเคลือบลายครามได้

ระดับความสามารถในการประเมินวัตถุโบราณนี้ ถือว่าเข้าขั้นระดับปรมาจารย์ได้เลย ซึ่งแม้แต่ปรมัตถ์ก็ยังเทียบไม่ได้

ผู้คนที่เยาะเย้ยพูดเสียดสีรพีพงษ์ไปเมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นหน้าแดงขึ้นมา พวกเขาล้วนเสียใจภายหลังที่ได้พูดแบบนั้นกับรพีพงษ์ พวกเขาทำแบบนี้กับ คนที่แม้แต่ท่านปรมัตถ์ยังต้องเคารพนี่นะ!

มีไม่น้อยคนที่ที่หลังจากพัวพันเรื่องนี้แล้ว ก็รีบขึ้นมา โค้งคำนับรพีพงษ์ แล้วพูดว่า : “ รพีครับ ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าใจคุณผิดไป ได้โปรดอภัยพวกเราด้วย ”

เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ก็โค้งคำนับต่อรพีพงษ์เพื่อขอโทษตาม ๆ กัน อีกทั้งปากของพวกเขาก็ได้พูดขอโทษรพีพงษ์ด้วย

ผดุงสิทธิ์และมโนชาทั้งสองก็ได้เดินมาตรงหน้ารพีพงษ์ แล้วโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึมต่อรพีพงษ์ โดยผดุงสิทธิ์นั้นขอโทษรพีพงษ์อย่างจริงจัง และมโนชาที่กล่าวขอโทษตาม พอพูดจบ ใบหน้าของเธอก็แดงเพราะความเขินอายเล็กน้อย สายตาที่มองไปที่รพีพงษ์ เต็มไปด้วยความรัก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท