บทที่ 616 นายเพิ่งรู้เหรอ
ระหว่างทางกลับไปยังโรงแรม ฝนสุดาสีหน้าหงุดหงิด เธอกำหมัดแน่น เธอเอาแต่เตะก้อนหินที่อยู่บนพื้น เพื่อระบายความหงุดหงิดในใจ
“ไอ้เลวรพีพงษ์ ไอ้โง่รพีพงษ์ ไอ้คนนิสัยไม่ดี ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันแค่เชิญพวกนายไปพักที่โรงแรมแค่คืนเดียว แค่อยู่เป็นเพื่อนฉันเอง ทำเหมือนฉันจะทำอะไรนายอย่างไรอย่างนั้น”
“ฉันก็แค่รอตอนกลางคืน พอนายออกมาเข้าห้องน้ำ ฉันก็จะแอบตามนายไป แล้วลวนลามนายในห้องน้ำ จากนั้นก็ทำเรื่องที่ควรทำ นี่มันน่ากลัวมากเลยหรือไง ถึงปฏิเสธฉันซะตรงขนาดนั้น น่าโมโหจริงๆ”
ฝนสุดาพูดพึมพำกับตัวเอง เมื่อนึกถึงใบหน้าเย็นชาของรพีพงษ์เธอก็โมโหขึ้นมา
“เหอะ ไม่มาก็ไม่มาสิ อีกอย่างหนทางยังอีกยาวไกล ฉันตามติดนายขนาดนี้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีโอกาสลงมืออีก”
ขณะที่เธอกำลังก้มหน้ามองหาก้อนหินบนพื้น จู่ๆ ก็มีคนสองคนโผล่มาขวางหน้าเธอเอาไว้
ฝนสุดาหยุดเดิน แล้วเงยหน้าขึ้นมองสองคนที่อยู่ตรงหน้า พบว่าเป็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคน
“พวกนายจะทำอะไร” ฝนสุดาจ้องทั้งสองคนแล้วเอ่ยขึ้น
ผู้ชายหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “สาวน้อย เธอเป็นเพื่อนกับรพีพงษ์และอารียาเหรอ เธอเป็นคนที่เชิญพวกเขามาทานข้าวที่อ่าวจันทร์ใช่ไหม”
“ใช่ ฉันเอง พวกนายเป็นใคร” ฝนสุดามองทั้งสองคนอย่างประหลาดใจ ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจของเธอ
“พูดตรงๆ เลยนะ ฉันเป็นญาติห่างๆ กับอารียา การที่พวกเรามาหาเธอเพราะอยากมาเตือนเธอไว้ รพีพงษ์กับอารียาเป็นคนหลอกลวง เธออย่าโดนพวกมันหลอกล่ะ”
ชายคนที่พูดอยู่คือประวีร์ ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาคือนีร ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นรพีพงษ์ท้าบริวัตร ก็เดาได้ว่าสาวสวยคนนี้ต้องรู้จักรพีพงษ์กับอารียาแน่นอน คนที่ไปทานข้าวที่อ่าวจันทร์ก็ต้องเป็นเธอแน่นอน
พวกเขาสองคนเดาว่าการที่อารียากับรพีพงษ์ซื้อตัวเรือเฟอร์รี่ไข่มุก ก็เพราะอยากรู้จักกับคนที่มีชื่อเสียง พวกเขานึกว่าคนที่อารียากับรพีพงษ์ทำความรู้จักบนเรือเฟอร์รี่ไข่มุกคือฝนสุดา
เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์เอาชนะบริวัตรได้ แถมยังเปิดโปงเรื่องที่บริวัตรโกง แน่นอนว่าประวีร์กับนีรก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงแม้ว่ารพีพงษ์จะชนะ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร การที่เขาทำเช่นนี้ก็เท่ากับล่วงเกินคุณชายบริวัตร คุณชายไม่ปล่อยเขาไว้แน่
เมื่อคิดว่ารพีพงษ์กับอารียาจะโดนจัดการ ประวีร์กับนีรรู้สึกได้ระบายความโกรธ พวกเขาคิดว่าไม่ควรให้สาวสวยอย่างฝนสุดาถูกข่มเหง ดังนั้นพวกเขาจึงตามฝนสุดามา
ฝนสุดมองทั้งสองคนอย่างพูดไม่ออก เธอคิดในใจว่าทั้งสองคนน่าจะสติไม่ค่อยดีเล็กน้อย
“งั้นนายก็พูดมาสิ ว่าทำไมพวกเขาทั้งสองคนต้องหลอกลวง” ฝนสุดาจ้องประวีร์แล้วเอ่ยขึ้น
ประวีร์ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงจะรู้จักกับพวกมันบนเรือเฟอร์รี่ไข่มุก คุณอย่าไปมองว่าพวกมันซื้อตั๋วขึ้นไปบนเรือได้เพราะรวย ที่จริงพวกมันจนมาก การที่พวกมันซื้อตั๋วได้เพราะเอาเงินทั้งหมดมาซื้อ เป้าหมายของพวกมันคือการเป็นเพื่อนกับคนแบบคุณ”
“อารียาคือคนในตระกูลอันดับสามในเมืองริเวอร์ ตระกูลของพวกมันเกี่ยวข้องกับตระกูลของเราเล็กน้อย แต่ยังห่างจากเรามากโข เงินเดือนในตอนนี้ของอารียาถูกจำกัดไว้ที่เดือนละหกพัน”
“รพีพงษ์ยิ่งเข้าไปใหญ่ ไอนั่นมันขึ้นชื่อว่าเป็นคนไม่เอาไหนในเมืองริเวอร์ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง วันๆ เอาแต่ทำงานบ้าน แถมยังโดนแม่ยายด่าทุกวัน คุณว่าคนประเภทนี้มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นเพื่อนกับคุณได้เหรอ”
ฝนสุดาฟังประวีร์พูดจนจบ จากนั้นเธอจึงยิ้มออกมา สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ ฝนสุดาได้รู้จากตอนที่เธอได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรพีพงษ์ แต่ว่าเธอรู้ว่าชื่อเสียงแย่ๆ นั้นมันเป็นแค่การแสร้งทำเท่านั้น เพราะเธอได้รู้ว่า เบื้องหลังรพีพงษ์ได้จัดการสองพี่น้องวีธรากับโยษิตา
ตอนนี้ในเมืองริเวอร์ไม่มีใครเรียกรพีพงษ์ว่าสวะอีกแล้ว พวกคนที่เยาะเย้ยรพีพงษ์ ก็แทบจะมาเลียแข้งเลียขาเขา
การที่ประวีร์มาพูดกับเธอแบบนี้ แน่นอนว่าตอนนี้เขายังไม่รู้ว่ารพีพงษ์มีฐานะระดับไหนในเมืองริเวอร์
ฝนสุดากลอกตาไปมา แล้วแสร้งทำเป็นตกใจ “แม่เจ้า พวกนายเพิ่งรู้เหรอ สิ่งที่พวกนายพูดมันเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว อย่าบอกนะว่าพวกนายไม่รู้ว่ารพีพงษ์เป็นคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโต”
ประวีร์ยังคิดจะพูดให้ร้ายรพีพงษ์กับอารียา ไม่แน่อาจจะได้รับความชื่นชมจากฝนสุดา เมื่อได้ยินฝนสุดาพูดเช่นนี้ เขาถึงกับเบิกตาโต
“อะ อะไรนะ เขาคือคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโตอย่างนั้นเหรอ” ประวีร์พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนีรก็แทบไม่อยากจะเชื่อ เธอรีบพูดขึ้นว่า “รพีพงษ์บอกคุณใช่ไหม คุณไม่ต้องไปฟังมัน มันหลอกคุณ มันเป็นคนที่ไม่เอาไหนอย่างมาก จะไปเป็นคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์ได้ยังไง”
“ไม่เชื่อ พวกนายก็เข้าไปหาดูในอินเทอร์เน็ตสิ” เมื่อฝนสุดาพูดจบ เธอก็เดินต่อไป
ประวีร์กับนีรมองฝนสุดาด้วยความงุนงง คิดไม่ถึงว่าการที่พวกเขามาพูดให้ร้ายรพีพงษ์ กลับได้คำตอบแบบนี้
“ฉันว่าผู้หญิงคนนี้มันโง่ เชื่อว่ารพีพงษ์เป็นคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโต ถ้ารพีพงษ์มันคือคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์จริง ทำไมมันถึงโดนคนอื่นเรียกว่าสวะล่ะ” นีรพูดพึมพำ
ประวีร์ไม่พูดอะไร เขาหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข่าวเกี่ยวกับคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์ ไม่นานเขาก็เห็นโพสต์เกี่ยวกับคุณชายที่มันจัดการตระกูลลัดดาวัลย์ เขากดเข้าไปดู มันเป็นรูปของรพีพงษ์
เขาเลื่อนดูโพสต์นั่น จู่ๆ สีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดี ในโพสต์ช่วงแรกเขียนว่ารพีพงษ์คือสวะในเมืองริเวอร์จริง แต่ช่วงท้ายของโพสต์เขียนว่ารพีพงษ์ได้จัดพิธีแต่งงานที่ปราสาทคริสตัล ทุกคนมาร่วมงาน เป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั้งเมืองริเวอร์ ประวีร์งงไปหมด
เขาอ่านรายชื่อบุคคลที่มาร่วมงานแต่งและส่งของขวัญให้ของรพีพงษ์ ในลำคอของเขาแห้งผาก
เมืองยองที่ไม่เคยติดต่อกับตระกูลฉัตรมงคลในเมืองริเวอร์มาเป็นเวลาหลายปี แทบจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองริเวอร์บ้าง ที่แท้ไอ้สวะนั่นเป็นคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโตจริงๆ เขาแต่งเข้ามาในภรรยาที่เมืองริเวอร์ เพื่อมาอดทนกับความอัปยศงั้นเหรอ
คิดย้อนกลับไปถึงท่าทีที่เขาแสดงต่อรพีพงษ์กับอารียา ประวีร์รู้สึกเสียใจ เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของเขา
นีรเห็นท่าทีของประวีร์ก็รีบถามขึ้น “คุณเป็นอะไรไป”
ประวีร์มองนีรด้วยสีหน้าสลด เขาพึมพำออกมาว่า “เมื่อกี้ที่เขาพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง รพีพงษ์คือคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโตจริงๆ”
ประวีร์พูดพลางยื่นมือถือให้นีรดูโพสต์
นีรอ่านจบ ก็มีสีหน้าตกตะลึง เธอมองประวีร์จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “งั้นตอนนี้เราจะทำยังไงดี สิ่งที่เราทำกับรพีพงษ์ก่อนหน้านี้ เท่ากับเราไปล่วงเกินคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์เลยนะ”
“คุณถามผม แล้วผมจะไปถามใครได้ล่ะ!” ประวีร์แผดเสียงออกมาอย่างโมโห
ขณะนั้นเอง มือถือของประวีร์ก็ดังขึ้น นีรยื่นมือถือกลับมาให้เขา แล้วพูดว่า “พ่อคุณโทรมา”
ประวีร์รับมือถือคืนมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก หลังจากที่เขากดรับสาย ก็พูดขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรครับพ่อ”
“ประวีร์ แกยังจำตระกูลฉัตรมงคลที่เมืองริเวอร์ได้ไหม ลูกสาวของตระกูลนั้นแต่งกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวะในเมืองนั่น เมื่อกี้ฉันเพิ่งได้ข่าวมาว่า ไอ้สวะนั่นเป็นคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์ นี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะ รอให้พวกแกกลับมาจากไปเที่ยว พวกเราเอาของขวัญไปที่เมืองริเวอร์กัน แวะไปหาเขาหน่อย หาทางสานสัมพันธ์กับตระกูลลัดดาวัลย์ แบบนี้มันเป็นผลดีต่อตระกูลฉัตรมงคลของเรามากเลยนะ”
ประวีร์ฟังผู้เป็นพ่อพูดจบ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ “พ่อล้มเลิกความคิดนี้เถอะ ตอนนี้ถึงเราจะหาของแพงแค่ไหนไปมอบให้เขา เขาก็คงจะไล่ตะเพิดพวกเราออกมา”
“พ่อ ผมทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง”