พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 644 อาจารย์

บทที่ 644 อาจารย์

บทที่ 644 อาจารย์

“ปะ..เป็นไปได้ยังไง เขายกหินก้อนนั้นขึ้นมาได้จริงๆ” ดำเกิงมองรพีพงษ์ด้วยสีหน้าตกใจและแปลกใจ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ

ฝนสุดามองดำเกิงอย่างสงสัย จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “นายแน่ใจเหรอว่าอาจารย์ของนายให้เขายกหินก้อนนั้น ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายกำลังหลอกเขา”

ดำเกิงกลัวว่าจะถูกจับได้ จึงกระแอมออกมาเบาๆ “อาจารย์เป็นคนพูดจริงๆ ทำไมผมต้องหลอกเขาด้วย”

ฝนสุดายังคงรู้สึกว่าดำเกิงไว้ใจไม่ได้ เธอเดินไปหารพีพงษ์แล้วพูดว่า “นี่ หินหนักขนาดนี้ นายรีบวางมันลงจะดีกว่า ถ้านายยกต่อไปไม่ไหว มันจะทับนายตายนะ!”

รพีพงษ์มองเธอแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นความต้องการของอาจารย์ ผมจะยกจนกว่าอาจารย์จะออกมา!”

ดำเกิงหัวเราะออกมา จากนั้นจึงพูดว่า “คุยโวโอ้อวดจริงๆ นายยกหินก้อนนั้นขึ้นมาได้นับว่าสุดกำลังแล้ว ฉันว่านายคงยกได้ไม่ถึงห้านาที ก็ต้องโยนหินนั้นทิ้ง”

ฝนสุดาจ้องดำเกิงแล้วพูดว่า “ไอ้เด็กนี่พูดเหน็บแนมเก่งจริงๆ ไม่ว่ายังไง รพีพงษ์ก็นับว่าเป็นรุ่นพี่ของนายนะ ทำไมถึงพูดกับเขาแบบนั้น”

ดำเกิงยักไหล่ แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เขาเป็นรุ่นพี่ผมก็จริง แล้วจะทำไมล่ะ เขาคิดว่าตัวเองเก่งแล้วหนีไป ตอนนี้ความสามารถคงจะไม่เท่าผม ทำไมผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นรุ่นพี่ด้วยล่ะ”

“ชิ นายมีความสามารถ แล้วยกหินก้อนนั้นได้ไหมล่ะ” ฝนสุดาถามขึ้น

“ทำไมจะไม่ได้ พี่นางฟ้าอย่ามาดูถูกผม ไม่ว่ายังไงผมก็เป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุด ถึงผมจะยังเด็ก แต่พละกำลังของผมมีมากกว่าพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ” ดำเกิงยืดอกแล้วพูดอย่างยโส

ที่จริงแล้ว การที่ดำเกิงตั้งใจทำอย่างนั้นกับรพีพงษ์ เพราะคำว่าลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุดนี่แหละ

พรสวรรค์ของดำเกิงไม่ได้ต่างจากรพีพงษ์ในตอนนั้นเลย หลังจากที่ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ พวกพี่ๆ ก็ยกย่องว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่ทำให้อาจารย์พอใจที่สุด และด้วยเหตุนี้ เขาจึงมักจะโดนเปรียบเทียบกับรพีพงษ์เสมอ

ตอนนั้นรพีพงษ์ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุดเหมือนกัน การที่เอามาเปรียบเทียบถือว่าเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นดำเกิงจึงอยากพิสูจน์ว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่ารพีพงษ์ในทุกๆ ด้าน

แต่ไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหน เขาก็ได้รับเพียงคำชมจากอาจารย์ แต่จากที่เขาได้ยินจากพวกรุ่นพี่ว่าตอนที่รพีพงษ์เผยพรสวรรค์ของตัวเองออกมา อาจารย์จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขตลอดเวลา

และสิ่งที่ดำเกิงจะได้ยินอาจารย์พูดบ่อยๆ ว่า “ถ้ารพีพงษ์ไม่จากที่นี่ไปก็ดีสิ” แค่ประโยคนี้ก็ทำให้ดำเกิงไม่พอใจคนที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนี้

เขาคิดว่าตัวเองสามารถแทนที่รพีพงษ์ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้คิดเช่นนี้ เหมือนกับอาจารย์คิดอยู่เสมอว่าไม่มีใครเทียบรพีพงษ์ได้ ถึงแม้พรสวรรค์ของดำเกิงจะไม่ใช่เล่นๆ แต่มันก็ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น

เขาพอใจ จึงเห็นรพีพงษ์เป็นศัตรูสมมุติของตัวเอง ในโรงฝึกที่อยู่ไม่ไกล มีหุ่นไม้หย่งชุนที่เขียนชื่อรพีพงษ์อยู่บนนั้น นั่นคือสิ่งที่ดำเกิงทำ

ตอนนี้รพีพงษ์กลับมาแล้ว แน่นอนว่าดำเกิงทำสีหน้าไม่ดีใส่เขา

รพีพงษ์ยกหินใหญ่อยู่อย่างนั้น หินก้อนใหญ่ชูไว้เหนือศีรษะของเขา รพีพงษ์ยืนไม่ขยับไปไหน อันที่จริงมันใช้แรงมากจริงๆ แต่เขาไม่คิดจะวางหินลง ถ้าอาจารย์ไม่ออกมา เขาก็จะยกอยู่อย่างนี้

อาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสครั้งนี้ หลังจากที่รพีพงษ์หาย เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองอึดขึ้นเล็กน้อย บวกกับประสิทธิผลของยาสามเม็ดนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถแสดงพละกำลังออกมาได้มากกว่าเมื่อก่อน

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหงื่อผุดออกมาที่หน้าผากของรพีพงษ์ไม่หยุด แต่ร่างกายของเขาไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย

ฝนสุดาเห็นแล้วก็รู้สึกเห็นใจ เธอคอยเช็ดเหงื่อให้เขา และเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาฝืนต่อไป

ดำเกิงจ้องไปที่รพีพงษ์อย่างมีเลศนัย เขาคิดว่ารพีพงษ์คงจะอดทนได้อีกไม่นาน และไม่สามารถอดทนจนถึงตอนที่อาจารย์มาได้อย่างแน่นอน

หลังจากผ่านไปห้านาที รพีพงษ์ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น ทำให้สายตาที่ดำเกิงมองรพีพงษ์เริ่มเปลี่ยนไป

“เฮ้ย ถ้าแบกไม่ไหวก็อย่าฝืน อย่าทำให้อวัยภายในของแกบอบช้ำ ได้ไม่คุ้มเสียนะ” ดำเกิงตะโกนออกมา

รพีพงษ์ไม่ได้สนใจเขา จากนั้นจึงหลับตาลง

ฝนสุดาร้อนใจขึ้นมา เธอหันไปมองตรงบ้านไม้ และวิ่งไปหาอาจารย์ของรพีพงษ์

แต่เธอหามารอบหนึ่งก็ไม่เจอใครสักคน ในห้องมีเพียงความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าอาจารย์ของรพีพงษ์อยู่ที่ไหน

“พวกนายกลั่นแกล้งคนอื่นเกินไปแล้ว เขาแค่กลับมาขอความช่วยเหลือเท่านั้น ทำไมต้องให้เขาทุกข์ทรมานขนาดนี้ด้วย” ฝนสุดามองดำเกิงด้วยความโกรธ

ดำเกิงพูดว่า “ตอนแรกใครใช้ให้มันอวดดี บทลงโทษนี่ยังถือว่าเพิ่งเริ่มเท่านั้น ผมไม่หักขามันแทนอาจารย์ก็ดีแค่ไหนแล้ว”

ฝนสุดาไม่รู้จะทำอย่างไร เธอทำได้เพียงยืนจ้องดำเกิงเท่านั้น

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็พลบค่ำแล้ว ความไม่พอใจที่ดำเกิงมีต่อรพีพงษ์ในตอนแรก เริ่มเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง สุดท้ายเขาก็เลื่อมใสในตัวรพีพงษ์ เขาสงสัยแม้กระทั่งว่ารพีพงษ์ตายไปแล้ว

เขาเดินเข้ามาหารพีพงษ์ที่กำลังปิดตาอยู่ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “นายวางหินลงเถอะ ที่จริงแล้วอาจารย์ไม่ได้ให้ลงโทษนายแบบนี้หรอก มันแค่อารมณ์ชั่ววูบของฉันเอง”

รพีพงษ์ไม่ขยับไปไหน

หลังจากที่ฝนสุดาได้ยินคำพูดของดำเกิง ก็โกรธจนจะหน้าดำหน้าแดง เธอหยิบกิ่งไม้มาตีไปที่ดำเกิง

“ไอ้เลวนี่ ฉันว่าแล้วว่านายต้องหลอกเรา เขายกหินมาทั้งตลอดช่วงบ่าย นายเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ ถ้ารพีพงษ์เป็นอะไรไป ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่!”

ดำเกิงรีบหลบแล้วพูดว่า “น่าจะไม่เป็นอะไรหรอก ถึงแม้เขาจะยกนานไปจริงๆ แต่การที่ได้เป็นศิษย์รักของอาจารย์ จะทนกับอะไรแบบนี้ไม่ได้เหรอ”

ฝนสุดาไม่ฟังคำอธิบายของดำเกิง แล้วหยิบกิ่งไม้วิ่งไล่ตามเขาให้วุ่น

ขณะนั้นเอง เสียงของชายชราดังขึ้น “วางลงเถอะ”

รพีพงษ์ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงโยนหินไปอีกทาง ความเจ็บปวดและชาแล่นเข้ามาที่แขนและขาของเขาจนเกือบจะล้มลงไปบนพื้น

ฝนสุดากับดำเกิงหยุดลง จากนั้นจึงหันไปมองข้างหลังรพีพงษ์ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นสวมชุดลินิน รวบผมเป็นมวย เขาดูเหมือนชายแก่ใจดี แต่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร

รพีพงษ์หันหลังกลับไป เมื่อเห็นชายชราคนนั้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื้นตัน จากนั้นเขาจึงอดกลั้นความเจ็บปวดในร่างกาย และโค้งทำความเคารพชายชราผู้นั้น จากนั้นพูดด้วยเสียงสั่นว่า “อาจารย์!”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท