บทที่ 647 โรคจิตเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น อาจารย์จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “พละกำลังของฉันจะเป็นยังไง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายตอนนี้ ศิษย์ของฉันมีมากมาย สิ่งที่ฉันต้องรับผิดชอบคือการสอนพวกเขา ความโกรธแค้นของพวกนาย ฉันจะไม่เข้าไปก้าวก่าย ดังนั้นเรื่องบาดหมางระหว่างนายกับอนันยช นายก็ต้องแก้แค้นด้วยตัวเอง”
“ศิษย์ทราบครับ!” รพีพงษ์รีบตอบรับ การที่อาจารย์บอกเรื่องนี้กับเขาวันนี้ เขาก็ซาบซึ้งพอแล้ว เขาไม่เคยอยากให้ใครมาช่วยเขาแก้แค้น
“อนันยชโชคดีที่ได้เป็นศิษย์ของชินาธิป และได้เป็นผู้มีฝีมือด้านกำลังภายใน ไม่งั้นตระกูลตระกูลนิธิวรสกุล คงไม่สามารถมีผู้มีฝีมือด้านนี้อย่างแน่นอน และสิ่งที่ฉันอยากเตือนนายคือคนที่เป็นปรมาจารย์อย่างชินาธิป ถ้านายจะแก้แค้นอนันยช นายจะไม่ได้เจอแค่คนมีฝีมือด้านกำลังภายในแค่เพียงคนเดียว นายต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย” อาจารย์พูดอย่างช้าๆ
รพีพงษ์ฉุกคิดขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของอนันยชจะเป็นปรมาจารย์ นี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเรื่องหนึ่งเลย แต่รพีพงษ์ไม่ได้หวาดกลัวอะไร
ถ้าอาจารย์ของอนันยชจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ รพีพงษ์คงจะต้องจดชื่อของปรมาจารย์คนนี้ไว้ในบัญชีดำของตัวเองด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้รพีพงษ์เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมนนทภูถึงอยู่แต่ในกิสนา จนเขามาถึงจึงค่อยคิดแผนแก้แค้นอนันยช ที่แท้ภูมิหลังของตระกูลนิธิวรสกุล มีปรมาจารย์ท่านนี้อยู่นี่เอง แม้แต่นนทภูยังไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
แม้ชินาธิปจะไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ แค่อนันยชก็ทำให้นนทภูจับตามองได้แล้ว
แต่ที่กิสนาจะมีผู้มีฝีมือด้านกำลังอยู่หรือไม่ รพีพงษ์ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
“แต่นายไม่ต้องเป็นกังวล ในเมื่อนายเป็นศิษย์ของฉัน ฉันไม่มีความตระหนี่แน่นอน ฉันไม่เหมือนกับตระกูลที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้สมัยโบราณ คนพวกนั้นไม่ยอมเผยวิชากำลังภายในง่ายๆ แต่ฉันยอม ในเมื่อนายมาที่นี่แล้ว ช่วงนี้ก็มาเรียนกับฉันแล้วกัน” อาจารย์พูดต่อ
สีหน้าของรพีพงษ์เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง และรีบเอ่ยปากขอบคุณอาจารย์ แต่เขารู้สึกเล็กๆ ในใจว่าอาจารย์เป็นปรปักษ์กับตระกูลที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้สมัยโบราณไม่น้อยเลยทีเดียว
“ตอนนั้นฉันไม่อยากให้นายไป เพราะว่ากำลังภายนอกของนายถึงจุดสุดยอดแล้ว ฉันไม่เคยเห็นคนที่กำลังภายนอกถึงจุดสุดยอดแล้วมาฝึกวิชากำลังภายใน ผลมันจะเป็นอย่างไร ดังนั้นฉันจึงคาดหวังที่อยากจะเห็น”
“แต่น่าเสียดายที่นายอยากจะแก้แค้น และดึงดันออกไปจากที่นี่ ตอนนั้นฉันแอบคิดว่าจะสอนวิชากำลังภายในให้นาย ถึงแม้ตอนนี้มันอาจจะสายไปเสียหน่อย แต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมาย”
“กำลังภายในจะแข็งแกร่งหรือไม่ มันเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และพื้นฐานของร่างกาย ตอนนี้กำลังภายนอกของนายถึงจุดสุดยอดจนไม่มีใครเทียบได้ หลังจากที่ฝึกกำลังภายใน ฉันกลัวว่านายจะเป็นจุดสูงสุดที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง”
“วันนี้นายพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ฉันจะถ่ายทอดวิชากำลังภายในให้กับนาย”
หลังจากที่ได้ยินดังนั้น รพีพงษ์โค้งคำนับให้อาจารย์ แล้วพูดว่า “รับทราบครับอาจารย์!”
“ใช่สิ ผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกเป็นภรรยาของนายเหรอ” เมื่อพูดเรื่องสำคัญเสร็จ อาจารย์จึงเอ่ยถามขึ้น
จู่ๆ รพีพงษ์รู้สึกกระอักกระอ่วน และรีบบอกว่าฝนสุดาคือใคร แถมยังบอกว่าตัวเองมีภรรยาแล้ว การที่เขาให้ฝนสุดาตามมาด้วย ก็เพราะเห็นแก่การที่เธอช่วยชีวิตเขา
อาจารย์ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เรื่องความรักของหนุ่มสาว คนแก่อย่างเขาไม่สามารถแนะนำอะไรได้
“มีผู้หญิงก็ดี ชีวิตในป่าเขาไม่มีสีสันอะไรน่าสนใจ มีเธออยู่นายจะได้ไม่เบื่อ” อาจารย์พูดอย่างช้าๆ
รพีพงษ์อยากบอกว่าเขายอมเบื่อดีกว่าจะให้ฝนสุดาตามมา เพราะว่าในหัวสมองของผู้หญิงคนนี้คิดแต่เรื่องมิดีมิร้ายกับเขา แต่พอคิดไปคิดมาถ้าพูดออกไปแบบนั้นก็ดูจะไม่เหมาะสม เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
“พวกรุ่นพี่ของนาย ยังมีคนที่ฝึกอยู่ที่นี่ไม่น้อย วันนี้พวกนั้นไปฝึกอยู่ที่หลังเขา พรุ่งนี้ถึงจะกลับ พวกนั้นก็เหมือนกับนาย เป็นเด็กหนุ่มที่มีกำลังแข็งแกร่ง ตอนนั้นนายดึงดันหนีไป เลยทำให้พวกนั้นรู้สึกไม่ดีกับนาย วันนี้นายพาผู้หญิงสวยกลับมา พวกนั้นต้องสร้างความวุ่นวายให้นายแน่ ความแค้นระหว่างพวกนาย ฉันขอไม่ยุ่ง นายจัดการเองแล้วกัน”
“ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน ในบรรดาศิษย์ที่อยู่ที่นี่ มีสามคนที่รู้กำลังภายใน กำลังของนายไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ของฉันแล้ว”
เมื่อได้ยินคำของอาจารย์ รพีพงษ์พยักหน้า เขารู้ความหมายของอาจารย์ คนและเรื่องราวในอดีตลอยขึ้นมาในหัวของเขา
ในเมื่อไม่ได้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ของอาจารย์ งั้นก็ต้องตั้งใจฝึกฝนและเอาฉายาของเขาคืนมาให้ได้!
……
ข้างนอกเรือนไม้ หลังจากที่ช่วยฝนสุดาจัดที่พักเสร็จเรียบร้อย ดำเกิงก็มาหยุดอยู่ข้างหน้าหินก้อนนั้น
ฝนสุดาก็มาเช่นกัน เขามองดำเกิงอย่างสะใจ จากนั้นจึงพูดว่า “ถ้าเทียบกับรพีพงษ์แล้ว นายยังห่างชั้นกับเขาเยอะ เขายกหินนี้มาทั้งบ่าย แต่ฉันกลัวว่านายแค่ยกยังลำบาก”
“พูดอะไรไร้สาระ! แม้ว่าผมจะยังไม่ได้เรียนกำลังภายใน แต่ก็ยังเป็นศิษย์รักของอาจารย์ รพีพงษ์ยกได้ทั้งบ่าย ผมก็ยกได้เหมือนกัน!”
ดำเกิงพูดอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงยื่นมือออกไปโอบหินก้อนนั้น เขากัดฟันใช้แรง สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ หินนั่นขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้จริงๆ
ฝนสุดาหัวเราะออกมา จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันบอกแล้วว่านายสู้รพีพงษ์ไม่ได้ ขนาดจะยกยังยกไม่ได้เลย น่าขำจริงๆ”
ดำเกิงรู้สึกอาย เขาคิดไม่ถึงว่าหินก้อนนี้จะหนักขนาดนี้ ตอนนั้นเห็นรพีพงษ์ยกขึ้นมาอย่างง่ายดาย เขานึกว่าหินก้อนนี้จะไม่หนักเหมือนที่จินตนาการเอาไว้
เพื่อไม่ให้เสียหน้า เขาสูดหายใจและใช้พลังทั้งหมดในร่างกาย และยกหินนั่นขึ้นเหนือศีรษะ
น้ำหนักของหินทำให้ดำเกิงรู้สึกว่าแขนของเขาใกล้จะหักแล้ว แต่ยังดีที่ช่วงสองปีนี้อาจารย์ให้เขากินยาแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง เพิ่มความแข็งแกร่งให้กระดูกและกล้ามเนื้อของเขา ไม่งั้นเขาคงจะแบกมันไม่ไหวจริงๆ
หลังจากที่ได้ยกหินก้อนนี้ ความคิดที่ดำเกิงมีต่อรพีพงษ์เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ที่แท้การที่รพีพงษ์ได้เป็นศิษย์รักของอาจารย์ มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล
“เหอะ ผมเพิ่งจะอายุยี่สิบปี เป็นศิษย์อายุน้อยที่สุด ถ้าผมอายุเท่ารพีพงษ์ ผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาหรอก” ดำเกิงพูดพึมพำ
หลังจากที่ธูปเกือบจะหมด
ดำเกิงโยนหินออกไปอีกทาง ความเจ็บแล่นเข้ามาที่แขนและขาของเขา จนไม่สามารถอธิบายอาการที่แสดงออกมาทางสีหน้าได้
“โรคจิตเกินไปแล้ว โรคจิตไปแล้วจริงๆ ไอ้หมอนั่นทำได้ยังไง ถ้าฉันยกนานขนาดนั้น แขนคงพิการพอดี”
หลังจากที่ได้สัมผัสกับความหนักของหิน ดำเกิงก็รู้ว่าตัวเองยังห่างชั้นกับรพีพงษ์เยอะ