เช้าวันรุ่งขึ้น รพีพงษ์สวมชุดอันเรียบง่ายที่จิรภัทรเตรียมไว้ให้และเดินออกมาจากสำนักเทพยาเซียน
นี่เป็นครั้งแรกที่รพีพงษ์ลงมาจากบนเขาหลังจากที่อยู่ในสำนักเทพยาเซียนมาเป็นเวลานาน
ซึ่งหลังจากที่รพีพงษ์ใช้เวลาอยู่บนเขามาสักพัก เขาก็ได้ดูดซับพลังทิพย์จำนวนมาก ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเดินออกจากสำนักเทพยาเซียนได้เร็วว่าครั้งก่อนๆ
ในเวลาเพียงสองชั่วโมง รพีพงษ์ก็ได้เดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ที่เป็นปากทางขึ้นสำนักเทพยาเซียน
“มีใครสนใจยาสมุนไพรไหม!”
“ยาเซียนจากสำนักเทพยาเซียน รักษาได้ทุกโรค!”
……
ในตีนเขานั้นมีเสียงโห่ร้องอย่างไม่รู้จบ
ที่นี่เป็นเชิงเขาของสำนักเทพยาเซียน เนื่องจากอยู่ใกล้กับสำนักเทพยาเซียนมาก ดังนั้น ยาหลากหลายชนิดที่ขายอยู่จึงมีคุณภาพดีกว่ายาในตลาดมาก
แต่อย่างไรก็ตาม สำนักเทพยาเซียนนั้นอยู่ในหุบเขาที่สูงชัน ซึ่งนอกจากคนที่มีทักษะอย่างรพีพงษ์แล้ว คนทั่วไปก็ไม่อาจไปถึงที่นั่นได้
ด้วยเหตุนี้ พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยในหมู่บ้านแห่งนี้จึงไม่มียาที่เป็นพลังทิพย์ที่แท้จริงไว้จำหน่าย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ซื้อวัสดุยาจากทั่วประเทศมาที่นี่เพื่อหาซื้อวัสดุยาเหมือนกัน
รพีพงษ์มองไปรอบๆ เขาอยู่ในสำนักเทพยาเซียนมาเป็นเวลานาน ดังนั้นยาที่ว่าดีในที่นี้ก็ยังเป็นของธรรมดาสำหรับเขา
ในขณะที่เขารู้สึกเฉยๆ และเตรียมตัวจะออกไปซื้อเสื้อผ้าในเมือง ทันใดนั้น ตะกร้าไม้ไผ่ในมือของหญิงชราคนหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของรพีพงษ์
หญิงชราคนนี้แตกต่างจากผู้ขายรายอื่นมาก ใบหน้าของเธอค่อนข้างเหี่ยวย่น เธอสวมเสื้อผ้าเก่าๆ และเดินโซเซไปข้างหน้าหลายก้าว จากนั้นก็นั่งลงบนโขดหิน
ตะกร้าไม้ไผ่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว แต่สายตาของรพีพงษ์นั้นดีมาก เขาสามารถมองเห็นสิ่งของข้างในผ่านช่องว่างในตะกร้าไม้ไผ่นั้นได้
“โสม!”
รพีพงษ์พูดในใจ และคิดในใจว่าของในตะกร้าของหญิงชราคนนี้ต้องเป็นโสมที่มีอายุไม่น้อยอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงคำพูดของจิรภัทรที่เคยบอกว่าส่วนผสมที่สำคัญที่สุดของยาเม็ดวิญญาณชี่ก็คือโสม และถ้าโสมมีอายุเก่าแก่มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของยาเม็ดวิญญาณชี่ก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
จากนั้นรพีพงษ์ก็เดินตรงเข้าไปหาหญิงชราคนนั้น เธอไม่ได้นั่งเบียดกับพ่อค้าคนอื่นๆ เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเธอขายอะไร ดังนั้นจึงไม่มีใครไปยืนมุมเธอ
ในเวลาเดียวกัน ชายคนหนึ่งที่สวมแว่นตาดำ แต่งตัวโดดเด่นและคาบบุหรี่ในปากแล้วเดินออกมาจากรถเบนซ์จีคลาสของเขา
“คุณป้า อะไรอยู่ในตะกร้าของคุณป้าเหรอ ซุกซ่อนไว้แบบนี้ยังอยากขายอยู่ไหม?”
ชายคนนั้นเดินเข้าไปที่หญิงชราแล้วดึงผ้าขาวบนตะกร้าขึ้น
“เถ้าแก่ท่านนี้ทำไมหยาบคายจัง ของฉันเป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวเชียวนะ ถ้าไม่ใช่เพราะความลำบาก ฉันไม่มีวันขายมันหรอก”
หญิงชราพูดด้วยความเศร้า
“มรดกตกทอด? ป้ายากจนขนาดนี้ยังมีมรดกตกทอดดีๆ ด้วยเหรอ?”
ชายคนนั้นพูดจาดูถูก แต่หลังจากที่เขาเหลือบมองเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่นั้น สายตาของเขาก็ขยับไปไหนไม่ได้อีกเลย
ชายคนนั้นรีบถอดแว่นกันแดดออกแล้วนั่งลง
เขามองไปรอบๆ เพื่อดูให้มั่นใจก่อนว่าไม่มีใครยื่นอยู่ใกล้เขาแล้ว จากนั้นถามอย่างรวดเร็วว่า “คุณป้า นั่นอะไรเหรอ?”
“ก็โสมไงล่ะ” หญิงชราพูดต่อ “นี่เป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวของป้า แต่ลูกชายป้าไปก่อเรื่องไว้ คู่กรณีต้องการเงิน 3 แสน ไม่อย่างนั้นลูกชายป้าก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นป้าจึงเอามันออกมาเพื่อลองดูว่าจะขายมันได้สักเท่าไหร่”
“3 แสน?”
ชายคนนั้นกลอกตาและพูดว่า “ในเมื่อป้าบอกว่าโสมนี้เป็นสมบัติจากครอบครัวของป้า แล้วมีใครเคยบอกป้าไหมว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่?”
“ไม่เคยมีใครบอกหรอก แต่ป้าคิดๆ แล้ว อย่างน้อยมันก็คงขายได้สักสองสามแสนอยู่แล้ว มันเป็นของดีคุณก็เห็นแล้ว” หญิงชราพูดตามความจริง
“สองสามแสน?”
ชายคนนั้นยิ้มและส่ายหัว “ป้าคิดมากไปแล้วครับ โสมของป้าถ้าเอาไปขายในตลาดได้สักสามสี่พันก็ถือว่าบุญแล้ว”
“หา? นี่มัน……มันเป็นไปได้ยังไง? คุณอย่าคิดว่าป้าแก่แล้วจะหลอกได้ง่ายๆ นะ!” หญิงชราพูดอย่างตกใจ
โสมนี้เป็นความหวังทั้งหมดในการช่วยลูกชายของเธอ ถ้าต้องขายราคานี้จริงๆ เธอคงต้องหมดหวังอย่างแน่นอน!
“จริงๆ นะครับ ผมก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน ผมมาซื้อวัสดุยาที่นี่มากกว่าสิบปีแล้ว โสมแบบนี้ดูก็รู้ว่าเป็นโสมที่ปลูกเอง มันไม่ใช่โสมป่าแท้หรอกครับ ดังนั้น ราคาของมันยังไงก็ไม่เกินสามสี่พันหรอก”
ชายคนนั้นจุดบุหรี่แล้วเหล่ตามองหญิงชราและพูดกับเธอ
“ปลูก……ปลูกเอง?” หญิงชราขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นโสมที่ปู่ของป้าเก็บมาจากบนยอดเขาสูงในสมัยก่อนเลยนะ”
“คิดไปเองครับ ป้าดูสีมันสิ มันเป็นสีเหลืองนะครับ ดูก็รู้ว่ามันผ่านการรมควันด้วยกำมะถันมาแล้ว”
ชายคนนั้นพูดไปด้วยแล้วยื่นสามนิ้วออกมาด้วย “เอางี้นะป้า ผมเข้าใจว่าป้ากำลังลำบากอยู่ ผมจะเสนอราคาให้ป้าละกัน ถ้าป้ารับได้ก็ขายให้ผม ถ้ารับไม่ได้ก็เก็บไว้ขายให้คนอื่น ผมให้ป้าสามหมื่น โอเคไหม”
“สามหมื่น?”
หญิงชราได้แต่กะพริบตา ซึ่งราคานี้ต่างจากที่เธอคิดไว้มาก
“ผมให้ป้าเยอะแล้วนะ เอางี้ เพื่อเป็นน้ำใจของผม ผมเพิ่มให้ป้าอีกหนึ่งหมื่น ทั้งหมดสี่หมื่น ถ้าป้าไม่ขายผมไปละนะ!” ชายหนุ่มเริ่มพูดอย่างเหลือทน
หญิงชราลังเลอยู่พักหนึ่ง สำหรับโสมต้นนี้เธอรู้เพียงว่าผู้เฒ่าของเธอเป็นคนส่งต่อมาให้ลูกหลาน ส่วนมันจะเป็นโสมบ้านหรือโสมป่านั้นเธอก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
“นี่มัน……” หญิงชราเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ
ก่อนจะมาที่นี่เธอได้สังเกตโสมของผู้ขายรายอื่นแล้ว อย่างที่เขาบอกกัน โสมของเธอนั้นมีขนาดใหญ่กว่าโสมของพ่อค้าเจ้าอื่นๆ มาก
“คุณเพิ่มให้อีกสักหมื่นได้ไหม? ห้าหมื่นไหวมั้ย?” หญิงชราพูด
“ห้าหมื่นเหรอ? คุณป้า ถือว่าวันนี้เป็นวันโชคดีของป้าก็แล้วกัน ผมจะไม่เรื่องมากกับป้าอีกนะ ห้าหมื่นก็ห้าหมื่น!”
ชายคนนั้นเบ้ปากแล้วพูด “บอกตรงๆ นะป้า ถ้าผมไม่ได้สงสารป้าน่ะ ผมไม่ยอมจ่ายถึงห้าหมื่นหรอก เฮ้อ ตอนนี้ผมขาดทุนแล้วนะป้า ค่าน้ำมันของผมยังไม่พอเลย”
หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็หันกลับไปหยิบแบงค์ร้อยสีแดงออกมาจากรถปึกหนึ่ง
“อ่ะ ห้าหมื่นหยวน จะนับก่อนไหม”
หญิงชราที่เป็นคนยากจนมาทั้งชีวิต จึงไม่เคยเห็นเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
“ไม่ต้องนับ ไม่ต้องนับ ป้าเชื่อใจคุณ” หญิงชราพูด
ชายผู้นั้นไม่แม้แต่จะมองเธอเลย รอยยิ้มที่ควบคุมไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันที
“ฮ่า ๆ คุณป้า ป้าถูกหลอกแล้ว โสมของป้าแค่สองแสนสักที่ไหนกัน มันมากกว่าสองล้านเลยล่ะจะบอกให้!”
“คุณ……คุณว่าไงนะ?” หญิงชรามองหน้าชายคนนั้นด้วยความประหลาดใจ
“ผมบอกว่า ป้าถูกหลอกแล้ว แต่ทำธุรกิจมันก็ต้องเป็นไปตามกฎของการทำธุรกิจใช่ไหมครับ ใครให้ป้าถูกหลอกง่ายๆ แบบนี้ล่ะ” ชายผู้นั้นหัวเราะแล้วหันเดินจากไป
หญิงชราที่รู้ความจริงก็นั่งลงกับพื้นและร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะขายมรดกตกทอดของครอบครัวไปแค่ห้าหมื่นจริงๆ
ชายแว่นดำคนนั้นไม่ได้สนใจความรู้สึกของหญิงชราเลย เขาได้แต่ถือตะกร้าไม้ไผ่แล้วหันหลังเดินกลับไปในรถเบนซ์จีคลาสของเขา
หลังจากรถสตาร์ท ชายคนนั้นก็ฮัมเพลงอย่างมีความสุข
แต่ทันใดนั้น ร่างของรพีพงษ์ก็ปรากฏขึ้นที่หน้ารถของเขา
ชายแว่นดำเลื่อนกระจกลงแล้วตะโกนด่าออกมา “อยากตายเหรอ หลับไปให้พ้นนะ!”
รพีพงษ์ไม่ได้สนใจคำพูดของเขา แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ทิ้งโสมไว้ แล้วผมจะปล่อยคุณไป!”