แรดโบราณได้ยินว่าสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้ ตกลงด้วยความยินดี
รพีพงษ์และปัณฑาขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังแรดโบราณ แล้วแรดโบราณก็ไปตามทิศทางที่รพีพงษ์ชี้ ในไม่ช้าก็มาถึงทางเข้าถ้ำขนาดใหญ่
รพีพงษ์และปัณฑากระโดดลงมาจากหลังของแรดโบราณ ทางเข้าถ้ำนี้เป็นอีกทางหนึ่งที่ตวัสบอกตนเองก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตาม ทางเข้าถ้ำนี้มีกลไกที่ตวัสสร้างไว้ จึงไม่ถูกคนหรือสัตว์เซียนค้นพบ
“คุณรอผมอยู่นอกถ้ำก่อน จะสามารถให้คุณเข้าไปข้างในได้หรือไม่นั้น ผมต้องถามคนที่อยู่ข้างในก่อน” รพีพงษ์กล่าว
แรดโบราณพยักหน้า และมองดูรพีพงษ์และปัณฑาเดินเข้าไปในถ้ำ
ในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ รพีพงษ์ส่งพลังเทพให้เถาวัลย์ที่อยู่บนกำแพงหินในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ ตามที่ตวัสเคยบอกไว้ ทันใดนั้น กำแพงหินทั้งหมดก็หายไป เห็นได้ชัดว่านี่เป็นภาพลวงตาที่ตวัสสร้างขึ้นมา
หลังจากที่กำแพงทั้งหมดหายไป รพีพงษ์และปัณฑามองหน้ากันแล้วพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในพื้นที่ด้านหลังกำแพงหินด้วยกัน
ตวัสรับรู้ถึงการมาของทั้งสองคน และออกจากต้นไม้ตายหมื่นปี มองดูพวกเขาสองคนและกล่าวว่า “พวกคุณมาได้ยังไง พวกคุณนำน้ำอำมฤตมาให้ผมเร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
รพีพงษ์ส่ายศีรษะ มองไปที่ตวัส ประสานมือทั้งสองแล้วโค้งคำนับ จากนั้นกล่าวว่า “คราวนี้ผมมาที่นี่ก็เพราะว่า มีคนสร้างตราชิงวิญญาณไว้บนตัวลูกสาวของผม ผมหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะสามารถช่วยผมค้นหาคนที่สร้างตรานี้ขึ้นมา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตวัสก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตราชิงวิญญาณ? นั่นเป็นตราที่คนนอกรีตในเทวโลกใช้มิใช่หรือ? มันมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น ตราชิงวิญญาณห้ามใช้มานานแล้ว ทำไมยังมีคนฝึกวิชาชั่วร้ายเช่นนี้อยู่อีก?
“คุณแน่ใจหรือว่ามันคือตราชิงวิญญาณ?”
รพีพงษ์พยักหน้า แล้วปัณฑาที่อยู่ด้านข้างก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า “ไม่ผิดแน่นอน เพราะฉันเป็นคนยืนยันตราชิงวิญญาณด้วยตนเอง เนื่องจากกำลังของฉันยังไม่ฟื้นคืน ดังนั้นจึงไม่สามารถหาคนที่สร้างตรานี้ จึงมาขอความช่วยเหลือจากคุณ”
เมื่อมองท่าทางที่จริงจังของปัณฑา ตวัสอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หากเป็นจริงตามที่ปัณฑากล่าว ตราชิงวิญญาณปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง เกรงว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่เทวโลก และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สามารถเปลี่ยนทั้งเทวโลกได้!
“ตกลง ผมจะช่วยคุณค้นหา เรื่องนี้สำคัญมากกว่าที่คุณคิด บอกผมว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมจะเริ่มดำเนินการเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ รพีพงษ์พยักหน้า และบอกตวัสเกี่ยวกับเวลาและสถานที่โดยประมาณที่ตนเองได้รู้จากจิรภัทร
หลังจากที่ตวัสได้ยิน เขาก็เริ่มดำเนินการทันที
กิ่งไม้ตายหลายพันกิ่งที่อยู่ใต้ร่างของตวัส และพลังชีวิตที่หนาแน่นล้นออกมาจากตวัสอย่างต่อเนื่อง วินาทีต่อมา ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็เปลี่ยนไป
ถ้ำที่เคยมืดมิดก็กลายเป็นป่าทันที
“ที่นี่คือป่าหมอกหรือ?”
รพีพงษ์ตกตะลึง เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น? อาจจะเป็นความสามารถของตวัส? ทำให้พวกตนออกมาจากถ้ำในชั่วพริบตา?
ปัณฑามองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบ ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “นี่เป็นป่าหมอกจริง ๆ แต่ไม่ใช่ป่าหมอกในตอนนี้ ขณะนี้พวกเราอยู่ในป่าหมอกเมื่อเจ็ดวันก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รพีพงษ์ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก ป่าหมอกเมื่อเจ็ดวันก่อน หรือว่าตนเองย้อนเวลากลับไป?
เจ็ดวันก่อน งั้นก็หมายความว่า ตนเองยังมีโอกาสช่วยทุกอย่างได้!
เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นของรพีพงษ์ ตวัสมองทะลุความคิดของเขาได้อย่างรวดเร็ว และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “แม้ว่านี่จะเป็นป่าหมอกเมื่อเจ็ดวันก่อน ไม่ว่าคุณจะทำอะไรที่นี่ มันจะไม่กระทบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว”
เมื่อรพีพงษ์ฟังแล้ว รู้สึกผิดหวัง
ที่กลางท้องฟ้า ทันใดนั้นพื้นที่ก็บิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก แล้วก็เกิดรอยแยกขึ้น ก็คือรอยแยกตรงที่นรเทพฉีกขาดเมื่อเจ็ดวันก่อน
ในเวลานั้น รพีพงษ์ไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์เพื่อพบกับอารียาและคนอื่น ๆ ทันที
รพีพงษ์เงยหน้าขึ้นมองนรเทพที่อยู่บนท้องฟ้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย และรีบมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ ตวัสและปัณฑาตามไปอย่างใกล้ชิด
นอกคฤหาสน์ อารียาและคนอื่น ๆ เพิ่งออกจากคฤหาสน์ ขณะนี้พวกรพีพงษ์ทั้งสามมาถึงพอดี แต่เนื่องจากความแตกต่างของเวลา อารียาและคนอื่น ๆ ไม่สามารถมองเห็นพวกรพีพงษ์ทั้งสามคนได้
ตอนนี้ตวัสมองไปที่หนูลิน ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะนี้ตราชิงวิญญาณยังไม่ปรากฏอยู่บนตัวของหนูลิน
ต่อมา เมื่อประวัติศาสตร์จะฉายซ้ำอีกรอบ นรเทพพบคฤหาสน์ จากนั้นก็ลงมือจัดการกับหงส์และธมกร ขณะที่อารียาและหนูลินกำลังจะหนี ดูเหมือนว่าตวัสจะค้นพบบางสิ่งบางอย่าง เขาโบกมือขวา แล้วโลกทั้งโลกก็หยุดหมุนทันที
ตวัสปรากฏตัวขึ้นอยู่ข้างหนูลินทันที มองตราชิงวิญญาณบนแขนของหนูลินที่ยังไม่ได้ถูกปลดปล่อย จากนั้นก็มองหน้าหนูลิน คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย และเข้าใจทุกอย่างในทันที
ครู่ต่อมา พวกรพีพงษ์ทั้งสามก็กลับไปที่ถ้ำ
เมื่อมองท่าทางที่ครุ่นคิดของตวัส สีหน้ารพีพงษ์เต็มไปด้วยความสงสัยและถามว่า “คุณพบหรือยัง?”
ตวัสพยักหน้า และกล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจากเทวโลงมาอย่างกะทันหัน ที่แท้พวกเขาค้นพบการดำรงอยู่ของร่างอำมฤต”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ รพีพงษ์ก็สงสัยมากขึ้นไปอีก ร่างอำมฤตคืออะไร?
ตวัสมองไปที่รพีพงษ์ และถอนหายใจ ไม่คิดว่า รพีพงษ์ที่เกิดมาก็เป็นร่างอำมฤตนั้นก็เป็นโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่แล้ว แม้แต่ลูกสาวของรพีพงษ์ก็ยังเป็นร่างอำมฤตอีกด้วย! นี่ต้องมีวาสนาขนาดไหน?
“ในเทวโลก มีสองเผ่าใหญ่อยู่สองเผ่า คือเผ่าเทพและเผ่าเทพร้าย เผ่าเทพร้ายชอบทำสงคราม จนเกือบจะทำลายเทวโลกไปทั้งโลก โชคดีที่ในที่สุดพวกเขาถูกปรมาจารย์ของเผ่าเทพปราบและผนึกไว้”
“และร่างอำมฤต ก็คือร่างเทพของเผ่าเทพร้ายที่เป็นตำนาน! ผู้ที่มีร่างอำมฤตนั้นมีความเร็วในการฝึกที่เร็วกว่าคนทั่วไปมาก และพวกเขาก็มีพลังที่บริสุทธิ์ ทำให้พวกเขานั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าเทพร้าย”
“เกรงว่านรเทพจะเป็นหนึ่งในเผ่าเทพร้าย เขามาที่นี่เพื่อฆ่าของร่างอำมฤต แต่คุณไปขัดขวางแผนการของเขากลางทาง และตราชิงวิญญาณนี้นรเทพเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รพีพงษ์ก็ขมวดคิ้ว เจตนาฆ่าของเขาล้นหลาม
ไม่ว่าเขาจะนรเทพหรือใคร ถ้ากล้าโจมตีครอบครัวของตนเอง รพีพงษ์จะไม่ปล่อยมันไปแน่นอน!
ปัณฑาใช้มือขวาจับคางตนเอง ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ และกล่าวว่า “นั่นคงจะลำบากแล้ว ความแข็งแกร่งของนรเทพไม่ธรรมดา อยากจะฆ่านรเทพ ภายในสี่เดือน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก”
ตวัสพยักหน้าและกล่าวว่า “ก่อนหน้านั้นตอนที่ผมต่อสู้กับนรเทพ แม้ว่าพลังของเขาจะถูกพลังของกฎแห่งโลกกดไว้ อย่างน้อยเขาก็มีความชำนาญอยู่ในระดับแดนบุญขั้นต้น ถ้าเขาอยู่ในเทวโลก เกรงว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่านี้”
รพีพงษ์กระเดาะปาก และกำหมัดทั้งสองไว้แน่น อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขายังคงเป็นปัญหา และรพีพงษ์ยังคงประสบปัญหาอื่นอยู่ในขณะนี้
ความแข็งแกร่งของตนเองไม่เหมือนกับนรเทพ ที่สามารถทำให้ท้องฟ้าเกิดรอยแยก แล้วยังสามารถปรากฏตัวในอีกโลกหนึ่งได้ หากตนเองไม่สามารถไปที่เทวโลกได้ ทั้งหมดนี้ก็เท่ากับว่างเปล่า
หลังจากคิดจบ รพีพงษ์ยังคงตั้งความหวังไว้ที่ตวัสและกล่าวว่า “ในแง่ของความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะขอสู้ตายกับนรเทพ แต่ขอถามผู้อาวุโสว่ามีวิธีให้ผมเข้าไปในเทวโลกได้หรือไม่?”
หลังจากที่ตวัสฟัง เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “มี! เพียงแต่คุณต้องไปเอาน้ำอำมฤตมาให้ผมก่อน”