พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1565 คนที่ฉลาดหลักแหลม

บทที่ 1565 คนที่ฉลาดหลักแหลม

สำหรับปริตรนั้นไม่เท่าไร แต่นรเทพมีนิสัยชอบเข่นฆ่า คนที่เขาไม่ชอบขี้หน้ามักจะมีจุดจบที่ไม่ดี

เพราะถึงอย่างไรคนที่ตายก็ไม่ใช่ตนเองคนเดียว ถ้าให้หนังสือกลยุทธ์ไปอยู่ในมือของนรเทพ เกรงว่าเทวโลกคงจะต้องพังพินาศด้วยมือของนรเทพแน่ๆ

เขาอ่านหนังสือสรรพวิชามาตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องบนโลกก็พอรู้บ้าง

เริ่มแรกที่โลกก็เหมือนกับเทวโลกในตอนนี้ เต็มไปด้วยพลังทิพย์ แต่เนื่องจากมีคนก่อสงครามใหญ่บนโลก บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน ดังนั้นสิ่งมีชีวิตบนโลกถึงได้ต่ำกว่าที่เทวโลก

ปัจจุบันสองแห่งมีความต่างกัน แต่ตอนนี้มีคนอยากจะโค่นล้มทุกอย่างลง ปริตรก็ไม่ยอมเหมือนกัน

คำพูดที่เขาบอกกับนราธิป ก็ไม่ได้เก็บเข้าไปคิด นราธิปจ้องมองปริตร “คุณออกมาแบบนี้ ไม่กลัวนรเทพมาเห็นคุณหรือไง?”

“ต่อให้นรเทพมา ผู้อาวุโสก็คงไม่ยอมให้นรเทพเห็นผมหรอก ความขัดแย้งระหว่างคุณกับนรเทพ มันใหญ่หลวงมาก ภายนอกดูเหมือนจะคุยกันได้ดี แต่จริงๆ แล้วมันได้เดือดดาลขึ้นมาแล้ว ผมสามารถช่วยไม่น้อยเลยนะ”

“ไอ้เด็กคนนี้ พลังไม่เยอะ แต่ลมปากไม่เบาเลยนะ”

“ผมไม่ได้โกหกนะครับ ถ้าผู้อาวุโสไม่เชื่อ ก็เอาตัวผมไปส่งให้เขาก็ได้ แต่ว่า นรเทพคงจะไม่ยอมรับน้ำใจนี้หรอก เพราะว่าทั้งหมดทั้งมวลก่อนหน้านี้ที่ผู้อาวุโสคุยกับนรเทพก็จะเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เหมือนกับเป็นการตบหน้าตนเอง”

นราธิปยังไม่เคยเห็นใครช่างพูดจาแบบนี้มาก่อน ยิ้มไปเบาๆ เด็กรุ่นใหม่นี่มันน่ากลัวจริงๆ

พละกำลังเป็นสำคัญก็จริงอยู่ แต่บางครั้ง หัวสมองของคนก็สำคัญเหมือนกัน เขามาอยู่ข้างกายตนเองก็คงจะช่วยเหลือได้ไม่น้อยจริงๆ

“งั้นก็ลองว่ามา ว่าตอนนี้ผมควรทำอะไรบ้าง?”

“ในเมื่อผู้อาวุโสพูดไปแล้วว่า ให้พวกของรพีพงษ์กลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกวันพรุ่งนี้ ก็แสดงว่ารู้ว่านรเทพจะกลับออกไปปก่อนพระอาทิตย์ตก แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น นรเทพเป็นคนกะล่อน คงไม่ยอมกลับออกไปง่ายๆ แน่”

จริงๆ แล้วปริตรก็เพิ่งเคยเห็นนรเทพเป็นครั้งแรก แต่ในหนังสือที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้นั้น มีเรื่องราวของนรเทพไม่น้อยเลย

เนื้อหาในหนังสือนั้น ปริตรเชื่ออย่างสนิทใจ มันไม่มีทางผิดแน่นอน

จากคำพูดของปริตร นราธิปก็เริ่มมีความสนใจ เขาว่ากันว่าคุณชายของตระกูลเยอซอเป็นพวกไม่เอาไหน วันนี้ได้เห็น พวกคนนอกต่างหากที่ไม่รู้เลยว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสิ่งล้ำค่าของจริง

น่าเสียดาย คนฉลาดแบบนี้ ทำไมตนเองไม่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ ถ้ามีลูกศิษย์แบบนี้อยู่ข้างๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่นั่งคุยกันธรรมดา อารมณ์ก็ดีขึ้นมากแล้ว

“คุณพูดถูกต้อง นรเทพคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ หรือว่าพวกเราต้องส่งตัวของรพีพงษ์ไป?”

ถ้าเผชิญหน้ากัน คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนรเทพแน่ ตอนนี้มีแต่ต้องใช้สมองเท่านั้น นี่คือความคิดเดียวของปริตร

เขายิ้มมุมปากแบบร้ายๆ “นรเทพคงไม่เห็นผมอยู่ในสายตา แต่หนังสือกลยุทธ์บนตัวผมเป็นสิ่งที่เขาฝันอยากได้มาครอบครองอยู่เช้าเย็น ผมก็มีอยู่แผนหนึ่ง”

เสียงพูดเริ่มเบาลง แล้วเข้ามาพูดที่ข้างหูของนราธิป นราธิปก็เรียกให้เอากระดาษกับปากกามา แล้วก็เขียนเนื้อหาหนึ่งในสามของของหนังสือกลยุทธ์ลงในกระดาษ

ถ้าเขาฆ่านรเทพไม่ได้ ทั้งเมืองแฟรี่และครอบครัวของพวกเขาก็ต้องได้รับเคราะห์ไปด้วย

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ต้องทำให้พลังของนรเทพไม่แข็งแกร่ง สร้างโอกาสให้กับพวกของรพีพงษ์

เขาจะเอาหนังสือกลยุทธ์นี้ไปให้กับนรเทพ ยังมีหลายจุดควรระวังสำคัญที่เขาไม่ได้เขียนลงไป นรเทพชอบการฝึกพลังมาร ส่วนวิชาของสำนักธรรมะพวกนี้ จะพยายามหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

นราธิปก็ไม่ได้ถามต่อ ก็ได้แสดงทีท่าออกไปว่า ตอนนี้ไม่ว่าคุณชายปริตรจะทำอะไร เขาก็จะสนับสนุน ให้ภูเขาแก่ปริตรหนึ่งลูก ด้านในมีถ้ำที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย ปริตรถนัดเรื่องกลไก งั้นก็จะให้โอกาสนี้แก่ปริตร

เรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อย เดิมทีนราธิปไม่คิดว่าจะชนะ แต่พอได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มนี้พูดออกมาแล้ว ก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย

เขาเชื่อว่า ขอเพียงทุกคนร่วมมือกัน จะต้องสามารถเอาชนะนรเทพได้แน่

ถ้านรเทพมีพลังแข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะตนเองได้ เขาก็คงลงมือไปนานแล้ว

เพราะถึงอย่างไร เพราะไอ้หมอนี่ได้จับจ้องการฝึกภาวะภายในในร่างของตนเองมาหลายปีแล้ว

ตอนนี้ใครเก่งคนนั้นก็พูดได้ ขอเพียงตนเองได้ลงมือก่อนก็กำจัดนรเทพได้ คืนความสงบให้กับเทวโลก และถือเป็นการสร้างบุญใหญ่ด้วย

อีกฝั่งหนึ่งของเมืองแฟรี่ หัวของพ่อบ้านเตชิตถูกห้อยลงมาจากประตูกำแพงเมือง

เขาตายแล้ว สำหรับนรเทพนั้น คนคนนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรมาก

เดิมทีคิดจะเอาร่างเขาไปโยนในป่าให้หมากิน คนที่เคยถูกเขาทำร้าย ต่างก็มีความไม่พอใจอยู่ในใจ ก็เลยไปแย่งเอาร่างเขาออกมา แล้วตัดหัวมาแขวนไว้ที่ประตูเมือง

คนของนรเทพส่วนใหญ่อยู่ที่ภูเขาสองกระบี่ ไม่มีเวลาว่างไปสนใจเรื่องของพ่อบ้านเตชิต

ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ พ่อบ้านเตชิตอยู่ในสำนักของนรเทพก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย

บวรวิทย์ก็มองหัวของพ่อบ้านเตชิตบนกำแพงเมือง แล้วก็นิ่งไป

รพีพงษ์ก็มองบวรวิทย์ แล้วก็ยิ้มพูดว่า “คิดว่ามันอนาถมากเลยใช่ไหม?”

“คุณว่า ถ้าผมเป็นเหมือนเมื่อก่อน แล้วผมตาย ผมจะมีจุดจบแบบนี้หรือเปล่า?”

“ก่อนหน้านี้ คุณก็แย่จริงๆ เพราะเป็นพวกพ้องกัน ผมถึงพูดความจริงกับคุณ แต่ว่าความคิดของคุณยังไม่โต ก็เลยถูกพ่อบ้านเตชิตหลอกใช้ ไม่ใช่ความผิดของคุณ ความผิดใหญ่ที่สุดของพ่อบ้านเตชิตก็คือไปเข้าร่วมกับนรเทพ ส่วนคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น”

เห็นว่าสีหน้าของบวรวิทย์ไม่ค่อยดีนัก ดูสับสนวุ่นวาย

รพีพงษ์ก็เอ่ยว่า “ถ้าคุณคิดว่ามันน่าอนาถไป ก็เอาเขาไปฝังได้”

“คนเราต้องชดใช้กับสิ่งที่ตนทำชั่วไว้ ผมเองก็เหมือนกัน แต่ว่าผลกรรมของผมมันจะเป็นอย่างไร?”

เขาเหมือนจะไม่ได้ฟังสิ่งที่รพีพงษ์บอก พูดจาอยู่คนเดียว รพีพงษ์ก็ทนดูต่อไปไม่ได้ แล้วก็เอามือตบไหล่ของเขาพูดไปว่า “ไม่ต้องคิดมาก ตอนนี้สำคัญที่สุดพวกเราต้องตามหาคุณอานันท์ธรให้เจอก่อน ถ้าตามหาเขาและปัณฑาเจอ ผมก็เบาใจแล้ว”

ในสายตาของรพีพงษ์นั้น บวรวิทย์จะมีสีหน้าท่าทางแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะถึงอย่างไรพ่อบ้านและบวรวิทย์ก็รู้จักกันมานาน

บวรวิทย์ถูกพ่อบ้านเตชิตเลี้ยงมาจนโตก็ว่าได้ แต่เสียดายตอนนี้ได้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว

บวรวิทย์ตัดสินใจจากออกมา โดยไม่มองบนกำแพงเมืองนั้นแล้ว เดินมาที่ถนนแล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “พุทราเชื่อมอันนี้อร่อยไหมนะ?”

เป็นเสียงของปัณฑา เธอกำลังถามนันท์ธร นันท์ธรก็มองปัณฑาด้วยสายตาเบื่อๆ “พ่อเธอไม่เคยซื้อให้กินหรือไง?”

“รพีพงษ์ไม่ใช่พ่อของฉัน เขาเป็นเพื่อนฉัน จะให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งเนี่ย เออนี่ นันท์ธร ซื้อให้ฉันสักอันสิ เดี๋ยวพวกเรากลับไปภูเขาสองกระบี่ก็ไม่มีให้กินแล้วนะ”

รพีพงษ์ก็หลุดยิ้มออกมา ในที่สุดก็หาเจอสักที

“อยากกินอะไร เดี๋ยวผมซื้อให้ นันท์ธรเป็นคนไม่ค่อยมีเงิน จะซื้อได้อย่างไรกันล่ะ?”

ปัณฑาหันกลับมาแล้วเห็นรพีพงษ์ ก็ยิ้มปากกว้าง แล้วถามว่า “คุณช่วยผลินมาแล้วใช่ไหม?”

รพีพงษ์ก็หยิบพุทราเชื่อขึ้นมาหนึ่งอัน แล้วก็คิดถึงหนูลิน จากนั้นก็ถอนหายใจ แล้วก็ยิ้มพูดต่อไปว่า “จะมีใครเสียอีกล่ะ นอกจากผม?”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท