พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1617 สัตว์พาหนะของผม

บทที่ 1617 สัตว์พาหนะของผม

ได้ยินกิเลนพูดอย่างน่าสงสาร แต่ว่าต่อให้กิเลนไม่พูด รพีพงษ์ก็ไม่ปล่อยคนของนรเทพไปแน่

ถ้าปล่อยพวกนั้นไป แล้วพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นรพีพงษ์ก็ได้ไปจากเทวโลกแล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับรพีพงษ์ รพีพงษ์จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด

แล้วเขาก็พูดกับกิเลนว่า “พวกที่เข้าไปในป่า เป็นศัตรูของพวกเราพอดี เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้เจ้าเป็นสัตว์ของข้า ข้ารู้ว่าเจ้าถูกรังแก เดี๋ยวข้าจะช่วยแก้แค้นให้เอง ถ้าข้าลงมือเข้าช่วยเหลือ ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้หรอก”

พูดแบบนี้ไป แล้วก็ยิ้มๆ นันท์ธรก็มองท้องฟ้า เห็นว่าใกล้จะสว่างแล้ว ก็ถามรพีพงษ์ว่า “คุณชายรพีพงษ์ คุณว่าพวกเราจะกลับไปกันตอนไหนดี?”

“กลับไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ไม่เพียงกลับไปไม่ได้ ตอนนี้จะต้องหาวิธีเฝ้าดูอยู่ที่นี่ตลอดเวลา รอให้ได้โอกาสเหมาะสม พวกเราก็เข้าไป แล้วกำจัดคนด้านในให้หมดสิ้น”

ในใจรพีพงษ์รู้ดี ต่อให้ฆ่าพวกนั้นไม่หมด แต่ก็จะปล่อยไปแบบไม่สนใจไม่ได้

พวกนั้นอยู่ข้างใน ถ้ายังมีชีวิตก็จะคิดแต่จะแก้แค้น จะให้โอกาสนั้นกับพวกมันไม่ได้

ผ่านเรื่องอะไรมามาก ในใจของรพีพงษ์รู้ดี ว่าอะไรคือการปล่อยเสือเข้าป่า ถ้าเมตตาต่อศัตรูก็เท่ากับทรมานตนเอง เรื่องแบบนี้รพีพงษ์รับไม่ได้

ในใจก็คิดไปดังนั้น แล้วก็นันท์ธรพาลูกน้องไปพักผ่อน นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ทุกคนคงจะเหนื่อยกันมาก

แต่รพีพงษ์นั้นเป็นคน ไม่ใช่เทพเซียนที่ไหน เข้าเปลี่ยนเวรกับบวรวิทย์ได้ แบบนี้จะได้จับตาดูไม่ให้พวกมันออกมาก่อความวุ่นวาย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้สถานการณ์มันก็เป็นแบบนี้แล้ว ค่อยคิดหาวิธีกันเอา มีปริตรอยู่ พวกของเทวเทพก็อยู่ คงไม่มีวิธีไหนที่คิดไม่ออกหรอก

คนของนรเทพไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พวกนี้เป็นทหารที่มาเมืองแฟรี่เท่านั้น ยังทหารที่ยังมาไม่ถึงเมืองแฟรี่อีก ดังนั้น ถ้ากองกำลังที่กระจัดกระจายมารวมตัวกันได้ แล้วกองทัพของนรเทพรู้ว่ามีกองหนุน ก็จะต้องฮึกเหิมไม่กลัวเกรงมากกว่าเดิมแน่

รพีพงษ์คิดในใจ แล้วก็ให้กิเลนกลับไปกับตนเอง

ตอนนี้ที่เมืองแฟรี่แต่ซากปรักหักพัง ไม่มีใครเห็นสภาพที่รุ่งโรจน์ดังเก่าแล้ว

แน่นอนว่า ในโลกห้วงเวลาที่รพีพงษ์สร้างไว้ ด้านในเป็นสภาพเดิมของเมืองแฟรี่ อนาคตก็อาจจะสร้างขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับเมืองด้านในโลกห้วงเวลาได้ สร้างให้สวยงามเหมือนเดิมได้

กิเลนและรพีพงษ์กลับไปพร้อมกัน รพีพงษ์อยู่บนหลังกิเลน แล้วผ่านประตูเมืองเมืองแฟรี่ไป มุ่งไปยังตำหนักอ๋อง

ตอนนี้เมืองแฟรี่สภาพแย่มาก แต่ตำหนักอ๋องยังสภาพดี ปรากฏการณ์ที่เหมือนกับแผ่นดินไหวนี้ ไม่ได้ทำให้ตำหนักอ๋องเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

รพีพงษ์กำลังจะกลับออกไป ผลินก็คงไม่อยู่ต่อ รพีพงษ์ก็ให้เธอขึ้นไปบนหลังของกิเลน ให้กิเลนพาพวกเขากลับออกไปพร้อมกัน

ผลินเห็นกิเลนแล้วก็กลัว แล้วก็ปฏิบัติกับกิเลนไม่ค่อยดีนัก กิเลนเองก็ไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับเธอ ก็เลยปฏิเสธไป ระหว่างทางนั้นก็เดินโมโหกันไป

กิเลนเดินเร็ว ผลินก็เดินตามหลัง อยากจะเรียกรพีพงษ์ให้รอก็เกรงใจ

รพีพงษ์ก็พูดกับกิเลนว่า “ช้าลงหน่อย รอเธอด้วย เธออยู่ข้างหลังคนเดียวมันอันตราย”

กิเลนก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ผู้หญิงคนนี้หน้าใหญ่ก็ทนลำบากไปเถอะ ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบเธอ แต่คนรอบกายของเจ้านาย ข้าไม่ไล่ไปไหนหรอก เจ้านาย จะเรียกเธอขึ้นมาไหมล่ะ?”

กิเลนถามรพีพงษ์ รพีพงษ์ก็ยิ้ม แล้วถามกลับ “เจ้าลองไปเรียกเธอจะดีกว่า ถ้าให้ข้าไปเรียก เดี๋ยวเธอจะขายหน้าแล้วไม่ยอมมาอีก”

กิเลนหันกลับไป ผลินก็ยืนเท้าเอวอยู่ด้านหลัง มองสีท้องฟ้าไปด้วย ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว รอบๆ มีแสงสีแดงของอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องไปทั่ว

แล้วเธอก็ถามกิเลนอย่างไม่พอใจว่า “จะกลับมาทำไมล่ะ ยังไม่ถึงเลย”

“เจ้านายของพวกเราให้ข้ารอเจ้า และมาเรียกให้เจ้าขึ้นไปบนหลังข้า ถ้าเจ้าไม่ยอม เจ้านายข้าเดินนำไปไกลแล้วนะ เจ้าไม่ต้องมัวคิดว่าข้าจะใจดีหรอก เจ้านายของพวกเราสั่งให้ข้ารอเองแหละ เจ้านี่ก็เป็นผู้หญิงแปลก แค่มีเรื่องกันนิดหน่อยเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง?”

ข้ารู้สึกว่าเมื่อเทียบกับความรักที่เจ้ามีให้เจ้านายข้า มันเทียบกันไม่ได้เลย ถ้าเจ้าขึ้นไปนั่งบนหลังข้า ก็จะสามารถอยู่ใกล้ชิดกับเจ้านายข้าได้ ไม่ได้มีข้อเสียอะไรต่อเจ้าเลย ข้าก็ขอพูดเพียงเท่านี้แหละ

แล้วกิเลนก็โน้มตัวลงไป เพื่อให้ผลินขึ้นไป ส่วนผลินจะขึ้นไปหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของผลิน กิเลนเองก็ไม่อยากจะไปยุ่งอะไรมาก

ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารพีพงษ์เป็นห่วงผลิน ก็ไม่อยากจะคุยกับผลินสักคำหรอก ผลินนี่ก็แปลกคน

ในใจของกิเลนคิดไปแบบนี้ ก็นึกว่าผลินจะปฏิเสธ แต่ผลินคิดดูแล้ว ที่กิเลนพูดมาก็มีเหตุผล

ถ้าตนเองอยู่บนหลังของกิเลน ก็จะได้อยู่ใกล้กับรพีพงษ์ ที่ใจคิดมาตลอด ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะได้อยู่ข้างๆ รพีพงษ์หรอกหรือ?

พอขึ้นมาบนหลังกิเลน กิเลนก็พูดว่า “นั่งดีๆล่ะ ตอนนี้เจ้าผลินขึ้นมาแล้ว ข้าก็จะเดินเร็วหน่อยละนะเจ้าผลินกอดเจ้านายข้าแน่นๆล่ะ ไม่งั้นตกลงไปข้าไม่รู้ด้วยนะ”

ผลินก็มองบนใส่กิเลน และรู้ว่ากิเลนกำลังให้โอกาสตนเอง ก็สังเกตได้ว่าจริงๆ แล้วกิเลนไม่ได้ร้ายขนาดนั้น

รพีพงษ์ก็พูดว่า “เจ้าช้าลงหน่อย พวกเราไม่ได้รีบขนาดนั้น”

ในใจกิเลนคิดอย่างไร รพีพงษ์ไม่สน แต่ผลินกับตนเอง จะต้องรักษาระยะห่างไว้

แน่นอนว่า รพีพงษ์ไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่มือของผลินก็เข้าไปกอด แล้วพูดว่า “ไปได้ ฉันไม่ตกลงไปหรอก ถึงตกไปก็ไม่โทษเจ้าหรอก”

กิเลนก็ไปตามทางที่รพีพงษ์บอก จนมาถึงหน้าประตูตระกูลภูสรีดาว ตลอดทางผลินหน้าแดงใจเต้นแรงมาตลอด เพราะมีโอกาสได้อยู่ใกล้กับรพีพงษ์แบบนี้น้อยมาก

เธออิจฉาภรรยาของรพีพงษ์มาก ตอนที่มาถึงหน้าประตูตำหนักอ๋องนั้น ในใจยังรู้สึกว่าเวลามันน้อยไป ถ้าได้เดินต่อไปอีกสักหน่อย ต่อให้ไม่ได้คุยอะไรกับรพีพงษ์ แค่กอดเขาไปแน่นๆ แล้วได้สัมผัสกับคนข้างๆ ก็ดีมากแล้ว

เทวเทพได้ยินว่าด้านนอกมีเสียงดัง ก็รีบเดินออกมาดู เพิ่งได้สู้กับทหารของนรเทพไป ถ้าพวกนั้นจะบุกโจมตีอีกครั้ง จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม

เป็นเรื่องยากที่จะไม่เหลือทหารอยู่ คิดไปแบบนี้ ฝีเท้าก็เร็วขึ้นมาก มาถึงด้านนอก ก็เห็นกิเลน คิ้วขมวดขึ้น

เขารีบตั้งสติขึ้นมาทันที เจ้าสิ่งนี้มันตัวใหญ่มาก แล้วก็แกล้งถามกิเลน “เจ้าปีศาจ มาทำอะไรที่นี่?”

พอเห็นกิเลนคุกเข่าลง รพีพงษ์ก็ยื่นหัวออกมา แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส ไม่ต้องกลัว นี่คือสัตว์พาหนะที่ผมได้มาในผ่านั้น”

เทวเทพตกใจจนพูดอะไรไม่ออก อ้ำอึ้งอยู่นาน แล้วพูดว่า “นี่ นี่คือสัตว์พาหนะคุณงั้นหรือ?”

เทวเทพอยู่มาจนอายุป่านนี้ เรื่องแบบนี้เคยแต่คิดในใจ แต่จะให้ได้แบบนี้ มันได้ที่ไหนกัน?

สีหน้าอิจฉาของเขา รพีพงษ์เห็นอย่างชัดเจน แล้วก็พูดว่า “ถ้าผู้อาวุโสชอบ เดี๋ยวผมหามาให้ผู้อาวุโสสักตัว ในป่านั้นมีอีก เดี๋ยวผมช่วย”

เทวเทพพูดอย่างดีใจ “จริงหรือจะเจอตัวที่ยอมฟังคำสั่งงั้นหรือ?”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท