รพีพงษ์ก็ยิ้ม อสูรเทพแบบนี้ ที่ไหนก็มี ขอเพียงตนเองต้องการฝึกมัน ขอเพียงตนเองได้ฝึก ตัวไหนก็ยอมฟังคำสั่งทั้งนั้น
รพีพงษ์รู้สึกว่า ที่จะฝึกอสูรเทพตัว ขอเพียงให้มาอยู่ฟังคำสั่งข้างกายตนเองก็พอ มันอยากจะฝึกวิชาแล้วได้ร่างคนไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ไม่ยาก
ขอเพียงตอนที่ตนเองกลั่นยาเม็ดนั้น แล้วก็แบ่งให้มันกินสักหน่อย นานไป ตัวมันเองก็สามารถค่อยๆ ฝึกวิชาไปด้วย การจะได้ร่างคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก ต่อให้เป็นเส้นทางที่จะฝึกตนเป็นเซียนก็สามารถพามันฝึกด้วยได้
รพีพงษ์พูดกับเทวเทพว่า “ได้แน่นอน ถ้ามีสัตว์พาหนะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็สะดวก”
รพีพงษ์รู้สึกว่า มีเจ้าตัวนี้มาอยู่ด้วย จะเดินทางไปไหนก็ไม่ค่อยเหนื่อย มีเจ้านี่สามารถจัดการได้หลายเรื่องมากขึ้น ช่วยป้องกันภัย ช่วยรบได้หมด
กิเลนคิดว่าไม่ใช่เพราะกระบี่สยบเซียนของรพีพงษ์ เขาไม่ได้เข้าใจผิด ไม่มีทางที่จะถูกรพีพงษ์เอาชนะได้เร็วขนาดนี้ ครั้งนี้เขาโชคดี ถ้าเป็นเวลาอื่นล่ะก็ ไม่แน่
แพ้ก็ต้องยอมรับ ได้รับปากรพีพงษ์ไปแล้ว ว่าจะเป็นสัตว์พาหนะให้ เช่นนั้นก็จะมาเสียใจภายหลังไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น รพีพงษ์ยังช่วยชีวิตตนเองด้วย
เทวเทพมองกิเลนอย่างอิจฉา อสูรเทพตัวนี้ดูไปแล้วเหมือนจะร้าย แต่พอเห็นว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของรพีพงษ์จนเชื่องขนาดนี้ เขาก็อยากจะมีบ้างสักตัวหนึ่ง
อยากจะมีสักตัวมันง่าย แต่จะให้ได้แบบของรพีพงษ์ คงยาก
เขายิ้มเบาๆ แล้วก็เดินวนรอบกิเลนหลายรอบ กิเลนก็จามออกมา เล่นเอาเทวเทพตกใจอึ้งไป
กิเลนก็มองเย้ยเขา แล้วพูดว่า “ปอดแหกแบบเจ้าเนี่ยนะ อสูรเทพแบบข้าไปอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวเสียมากกว่า”
พอได้ยินดังนั้น เทวเทพก็หน้าเสีย ปากก็บ่นว่า “ข้าต้องการอสูรเทพ แต่ไม่ได้จะเอาแบบนี้หรอก อย่างน้อยก็ต้องน่ารักเหมือนกับหมาแมว แบบเจ้าเนี่ยน่าเกลียด”
กิเลนก็ไม่อยากจะสนใจเทวเทพ ต่อให้เทวเทพเก่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะกระบี่สยบเซียนในมือของรพีพงษ์ล่ะก็ ใครจะฆ่าใครก็ไม่แน่
รพีพงษ์นั้นเก่งจริง รับปากกับรพีพงษ์ไป ไม่มีผิดแน่ เป็นคนต้องมีสัจจะ เป็นสัตว์ก็ต้องเหมือนกัน
รพีพงษ์และเทวเทพก็เข้าไปในตำหนักอ๋อง เทวเทพเข้าไปก็ถามว่า “ตอนนี้ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง คนของนรเทพเคลื่อนไหวอะไรบ้างไหม?”
“ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร แต่พวกเราก็จะวางใจไม่ได้ ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วพวกเราจะแก้อย่างอนาถ”
บวรวิทย์คิดเหมือนกับรพีพงษ์ จะต้องมีคนคอยเฝ้าดูอยู่ที่นั่นตลอด เพราะว่า เพราะไม่มีทางรู้ว่าพวกนั้นคิดอะไรอยู่
“ไม่อย่างนั้น พวกเราจะมีวิธีไหนกันอีกล่ะ?”
เทวเทพขมวดคิ้ว รู้อยู่ว่าข้างในนั้นไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย คนของตนเองก็เข้าไปไม่ได้
เฝ้าดูอยู่ข้างนอกแบบนี้ มันก็ไม่ได้เป็นการสร้างแรงกดดันอะไรให้พวกนั้นเลย เขามองรพีพงษ์ หวังว่ารพีพงษ์จะคิดแผนอะไรออก
รพีพงษ์กลับมา ก็เอาแผนกลับมาด้วยไม่ใช่หรือไง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาหรอก
รพีพงษ์ถามบวรวิทย์ว่า “บวรวิทย์ คุณมีแผนอะไรดีๆ ไหม?”
“คุณรู้อยู่ ว่าผมเป็นคนชอบลงแรงทำงาน ถ้าคุณมาให้ผมวางแผน ผมคงไม่มีปัญญาหรอก คุณลองว่ามาก่อน ถ้าผมว่ามันโอเค พวกเราก็ค่อยลงมือจัดการ เป็นไง?”
ตอนนี้รพีพงษ์ก็ยังไม่มีแผนอะไรดีๆ ได้แต่พูดกับบวรวิทย์ไปว่า “ผมไม่เคยเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง แต่ว่าตอนนี้พวกเราจะวางใจอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องรอดูสถานการณ์ไปด้วย กำลังของทุกคนรับไว้ไม่ไหวหรอก พวกเราจะต้องรีบไปผลัดเวร”
ผลินจะอยู่กับรพีพงษ์ ก็เลยเผยความต้องการออกมา ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนเวรกันอย่างไร ตนเองก็จะต้องอยู่กับรพีพงษ์
บวรวิทย์ได้ยินคำของผลิน ก็รู้สึกน่าตลก ต่อให้นังหนูคนนี้ไม่พูด ทุกคนก็คงจะคิดเผื่อผลินอยู่แล้ว
รพีพงษ์ไม่ยอมอยู่กับผลิน นังหนูนี่บางทีก็น่ารำคาญ แต่ตนเองพูดออกมาไม่ได้ ไม่ว่าผลินทำอะไร นั่นก็เพราะว่าชอบตนเองทั้งนั้น ถ้าอยู่กับคนที่ตนเองไม่ชอบ เธอก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก
บวรวิทย์พยักหน้า แล้วก็เห็นด้วยกับแผนนี้ “ผมคิดว่าเรื่องนี้ทำได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่มีแผนที่ดีกว่านี้แล้ว และยิ่งออกไปจากที่นั่นไม่ได้ด้วย”
เมื่อคืนวาน บวรวิทย์ได้ไปตรวจดูรอบๆ เมืองแฟรี่แล้ว ตอนนี้เมืองแฟรี่เหมือนกับบ่อขยะ ทุกอย่างไม่เหมือนก่อนแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
เขาหวังว่าจะทำทุกอย่างให้มันจบโดยเร็ว จะได้เปลี่ยนให้เมืองแฟรี่กลับมาเป็นเหมือนเดิม
เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือสถานที่ที่เขาเติบโตมา เขาไม่อยากให้ที่นี่เป็นแบบนี้ต่อไป ในโลกห้วงเวลาที่รพีพงษ์สร้างไว้นั้น จริงๆ แล้วเขาก็อยากเข้าไปดู แล้วก็ได้กับชับกับรพีพงษ์ไปว่า ห้ามทำลายโลกห้วงเวลานั้น ที่นั่นมันเป็นความทรงจำ และเป็นแบบจำลองที่จะเอามาสร้างเมืองแฟรี่ขึ้นมาใหม่ด้วย
รอเรื่องทุกอย่างจบลง แล้วทุกคนร่วมมือกันก็ไม่ใช่เรื่องยาก รพีพงษ์รู้ดี
แล้วก็บอกให้บวรวิทย์วางใจ ตนจะไม่ทำลายเมืองจำลองของเมืองแฟรี่แน่นอน แต่ตอนนี้โลกด้านนอกยังจัดการไม่เรียบร้อย จะสร้างเมืองแฟรี่ขึ้นมาใหม่ คงต้องรอหลังจากนี้
ปริตรก็ออกมาพูดว่า “พวกเราจะดูอยู่อย่างนี้ไม่ได้ จะต้องคิดหาวิธีเข้าไป”
“เข้าไปงั้นหรือ? พวกเราไม่รู้สภาพด้านในนั้นเลยนะ คนมากมายแบบนี้ เข้าไปตายหมดน่ะสิ!” เทวเทพพูดอยู่ข้างๆ
ปริตรยิ้มเบาๆ “ที่ผู้อาวุโสพูดมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่ว่าพวกเราต้องมาคิดดู จริงๆ แล้วพวกนั้นก็ไม่ค่อยรู้สภาพภายในป่าต่างจากพวกเราเท่าไรหรอก ก็เพิ่งเข้าไปได้ไม่นานไม่ใช่หรือไง พวกเราจับจุดนี้ได้ แล้วคิดแผนกันดู ก็ง่ายขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ?”
เทวเทพพยักหน้า ที่ปริตรพูดมาก็มีเหตุผล
รพีพงษ์ก็บอกว่า “กิเลน สัตว์พาหนะของผมออกมาจากในป่านั้น ถ้าให้สัตว์พาหนะของผมพาพวกเราเข้าไป ก็จะง่ายขึ้นมาก ถ้ำของกิเลน ก็ถูกพวกเดชาเข้าไปรุกราน กิเลนสามารถหาพวกนั้นพบได้อย่างรวดเร็ว”
รู้ว่าด้านในป่านั้น ไม่ใช่ที่ที่สามารถอยู่นานได้ ดังนั้นพวกนั้นจะต้องหาทางออกมาเหมือนกัน
รพีพงษ์ไม่คิดว่าพวกนั้นจะกลับออกมาทางเดิม เพราะว่าไม่รู้ว่าป่านั้นใหญ่แค่ไหน……..