“ต่อให้มีพรสวรรค์มากเพียงใด แต่เมื่อไม่มีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งมากพอ ก็จะต้องร่วงหล่นก่อนที่จะทันได้เติบโต!”
แนวป่าริมถนนที่ห่างไกลจากชุมชนของเมืองเจียงเฉิง ชายวัยกลางคนบ่นพึมพำออกมาหลังจากที่วางสายโทรศัพท์จากนายหญิงของเขา
“น่าเสียดายความสามารถของเจ้าเด็กคนนี้มากจริงๆ หากเขาไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกันกับนายน้อย ในอนาคตเขาจะต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงแห่งโลกยุทธภพอย่างแน่นอน!”
หลังจากนั้นชายวัยกลางคนมองไปรอบๆและสั่งคนของเขาให้ทำความสะอาดพื้นที่เพื่อจัดเตรียมที่พักชั่วคราว
นายหญิงของพวกเขานั้นเป็นบุตรสาวของตระกูลระดับชั้นที่ 1 แห่งเมืองปักกิ่ง ตระกูลของเธอนั้นถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากและเกือบจะได้เลื่อนระดับเป็นตระกูลระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์
มีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณมากถึง 20 คนในตระกูล
และบุตรชายของเธอก็ถือได้ว่ามีพรสวรรค์ที่สูงเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำในอนาคตเขายังมีโอกาสเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะได้เป็นผู้นำคนต่อไปของตระกูล
เมื่อนายหญิงของพวกเขาแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลเซียว นายหญิงของพวกเขานั้นก็มีอิทธิพลต่อตระกูลเซียวเป็นอย่างมากเลยเพราะเธอนั้นคือสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเซียวและพ่อของเธอนั้นยังเป็นสหายรักกับพ่อของสามีเธออีกด้วย เมื่อเธอให้กำเนิดบุตรชายเธอจึงต้องการให้บุตรชายของเธอนั้นรวบรวมตะกูลทั้งสองตระกูลเข้ามาอยู่ด้วยกันและให้เขากลายเป็นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของทั้งสองตระกูล
และเด็กชายที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวหรันก็เป็นลูกหลานของตระกูลเซียวเช่นเดียวกัน มิหนำซ้ำเขายังมีพรสวรรค์ที่สูงกว่าบุตรชายของนายหญิงของพวกเขา ฉะนั้นนายหญิงของพวกเขาจึงต้องการกำจัดเด็กชายคนนี้ออกไปให้พ้นทาง เพื่อขจัดปัญหาให้แก่บุตรชายของเธอในอนาคต
….
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหรันอย่างนั้นรึ?”
เมื่อหวังเสียนกลับมาถึงวิลล่าตอนบ่ายโมงเขาก็เห็น เสี่ยวเหมิง ร้องไห้จนตาแดงก่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอกำลังดูแลเสี่ยวหรันที่นอนหลับอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
(เสี่ยวเหมิงหรือหลิวเหมิงซิน น้องสาวแท้ๆของเสี่ยวหรัน แต่เธอใช้นามสกุลของแม่เธอ)
ซุนหลิงซิ่วนั่งอยู่ข้างๆ กำลังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเสี่ยวหรัน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นไม่เบาเลยทีเดียว
“เขาถูกลอบโจมตีโดยกลุ่มชาวยุทธหลายคนจนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็สามารถสังหารคนเหล่านั้นได้หลายคนและหนีกลับมาได้ ในตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขานั้นทุเลาลงมากแล้วไม่น่าเป็นห่วงอะไร หากว่าได้พักฟื้น 5-6 วันก็คงจะหายดี!”
ซุนหลิงซิ่วมองที่หวังเสียนและตอบคำถามของเขา
“ถูกลอบโจมตี?”
หวังเสียนขมวดคิ้วแล้วอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ข่าวที่ว่าเสี่ยวหรันเป็นลูกศิษย์ของเขาทุกคนในโลกยุทธภพไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยได้ดูแลลูกศิษย์ของเขาคนนี้มากเท่าไหร่นัก
นอกจากการให้ทักษะการบ่มเพาะของสำนักเทพอัคคีและจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟรวมถึงเม็ดยาจิตวิญญาณในการบ่มเพาะแล้ว ตัวเขาก็แทบจะไม่ได้สอนอะไรให้กับเสี่ยวหรันเลย
สาเหตุก็เนื่องมาจากเขาไม่รู้วิธีสอนทักษะวิชาของมนุษย์เลย ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ให้ไปฝึกฝนกับจักรพรรดิซุยพร้อมกับกวนชูชิงเท่านั้น
แต่เขาก็ยังคงพอใจกับลูกศิษย์คนนี้มาก
เสี่ยวหรันมีความพากเพียร อดทน ต่อความทุกข์ยาก และพยายามฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งทุกๆวัน
และในทุกครั้งที่เสี่ยวหรันเห็นเขาเขาจะรีบเข้ามาคารวะและตะโกนเรียกอาจารย์ด้วยความเคารพรัก ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดที่หวังเสียนกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวหรันก็จะชงชาร้อนๆให้กับเขาเสมอ
หวังเสียนจึงรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รับเสี่ยวหรันเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้จะเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ในนามก็ตามที
“คนพวกนั้นเป็นใครกัน? ทำไมพวกเขาถึงได้ตั้งใจโจมตีเด็กชายคนหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ และด้วยระดับความแข็งแกร่งครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณของเสี่ยวหรัน ยกเว้นกลุ่มคนที่มีระดับความแข็งแกร่งระดับเดียวกันหรือสูงกว่า…”
หวังเสียนหรี่ตาลงเล็กน้อย เจตนาสังหารของเขาฉายออกมาทางแววตาของเขาในทันที
ไม่ว่าจะอย่างไรเสี่ยวหรันก็ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาแม้จะเป็นลูกศิษย์แต่ในนามก็ตาม แต่หากมีใครมาโจมตีเสี่ยวหรันเช่นนี้ นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าเขาในฐานะที่เป็นอาจารย์ไม่ใช่หรอกหรือ?
“กลุ่มคนพวกนี้นั้นมาจากคนในตระกูลของเราค่ะ พวกเขามาจากตระกูลเซียว!”
เสี่ยวเหมิงเงยหน้าขึ้นมาตอบหวังเสียนด้วยน้ำตาที่นองไปทั่วใบหน้า
“ตระกูลเซียว? ตระกูลของพวกเธออย่างนั้นเหรอ?”
หวังเสียนรู้สึกตกใจเล็กน้อยในขณะที่เขาได้ฟังคำตอบจากเสี่ยวเหมิง
ตระกูลเซียวถือได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ ที่เป็น 1 ใน 3 ของตระกูลระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ของเมืองปักกิ่ง ระดับความแข็งแกร่งในตระกูลของพวกเขาเป็นรองเพียงแค่ตระกูลซุยของจักรพรรดิซุยแห่งเมืองปักกิ่งเพียงเท่านั้น
หวังเสียนคิดย้อนกลับไปในครั้งที่เขาพบเสี่ยวหรันและเสี่ยวเหมิงเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นพี่น้องคู่นี้ก็กำลังถูกไล่ล่าอยู่เช่นเดียวกัน!
ในช่วงเวลานั้นตัวเขาก็ไม่ได้ถามออกไปว่าเหตุใดทั้งสองพี่น้องจึงถูกไล่ล่าจากกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก
“เสี่ยวเหมิง ทำไมตระกูลเซียวถึงได้ตามล่าพวกเจ้ากันล่ะ?”
หวังเสียนเหลือบมองไปที่เสี่ยวหรันที่นอนไม่ได้สติอยู่บนโซฟา เขาวางมือของเขาบนหน้าอกของเสี่ยวหรันพร้อมกับส่งคลื่นพลังงานชีวิตแห่งธาตุไม้เข้าไปช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเสี่ยวหรัน
“ท่านป้าซึ่งเป็นภรรยาหลักของท่านพ่อต้องการอยากจะสังหารท่านแม่และพวกเรา ท่านแม่ของพวกเรานั้นไม่ใช่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านพ่อ ในก่อนหน้านี้พวกเรานั้นอยู่อาศัยนอกตระกูลเซียวมาโดยตลอด แต่ด้วยความสามารถของพี่ชาย เขาสามารถฝึกฝนและบ่มเพาะจนก้าวเข้าสู่ระดับนักรบขั้นที่ 3 ได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียว เมื่อท่านพ่อเห็นว่าพี่ชายมีพรสวรรค์ทางด้านการฝึกยุทธ์ที่สูง ท่านพ่อก็รับพวกเรากลับเข้าไปในตระกูล!”
“แต่ท่านป้าซึ่งเป็นภรรยาหลักของท่านพ่อ มักจะกลั่นแกล้งพวกเราต่างๆนาๆ และทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะของพี่ชายก็ยังถูกเธอริบไปอย่างมากมาย และต่อมาเมื่อท่านพ่อเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน การปฏิบัติกับพวกเราของท่านป้าก็แย่ลงไปอีก!”
“เมื่อท่านแม่เห็นเป็นเช่นนั้นท่านแม่ของพวกเราก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ท่านแม่จึงนำเรื่องไปแจ้งต่อผู้อาวุโสในตระกูล แต่เรื่องก็ไม่ได้คืบหน้าไปแต่อย่างใด และหลังจากนั้นไม่นานอาหารที่พวกเราได้รับก็มีส่วนผสมของยาพิษ ดีว่าท่านแม่เป็นคนละเอียดรอบคอบและตรวจสอบก่อนอยู่เสมอ พวกเราจึงสามารถรอดชีวิตกันมาได้!”
“หลังจากนั้นท่านแม่ก็ตัดสินใจพาพวกเราหนีออกจากตระกูลเซียว แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีกลุ่มคนมาไล่ล่าสังหารพวกเราจนทำให้ท่านแม่ของพวกเราต้องเสียชีวิต พวกเราสองพี่น้องจึงหนีตายกันอย่างไม่รู้ทิศทางจนได้มาพบกับกลุ่มของท่านอาจารย์!”
เสี่ยวเหมิงบีบมือทั้งสองข้างของเธอบิดไปมาในขณะที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเธอและพี่ชายในขณะที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น
‘สาเหตุน่าจะไม่ใช่เพราะแม่ของพวกเธอ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตัวของเสี่ยวหรันเสียมากกว่า!’ หวังเสียนคิดใคร่ครวญอยู่ในใจในขณะที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของเสี่ยวเหมิง
ด้วยตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆแห่งโลกยุทธภพเช่นนี้ มันเป็นเรื่องปรกติเป็นอย่างมากที่ทายาทสายหลักและสายรองนั้นจะแย่งชิงกันเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป และด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของเสี่ยวหรัน ย่อมต้องการเป็นขวากหนามขวางทางของภรรยาหลักที่ต้องการจะให้บุตรชายของเธอนั้นขึ้นเป็นว่าที่ผู้นำของตระกูลคนต่อไป
เมื่อหวังเสียนได้พบเจอกับทั้งสองพี่น้อง ระดับการบ่มเพาะของเสี่ยวหรันก็อยู่ในระดับนักรบขั้นที่ 5 แล้ว
ระยะเวลาเพียงแค่ 8-9 เดือน จากระดับนักรบขั้นที่ 3 สามารถเลื่อนขั้นจนมาถึงนักรบระดับขั้นที่ 5 ได้ โดยไม่มีทรัพยากรการบ่มเพาะใดๆสนับสนุนทั้งสิ้น มิหนำซ้ำในระหว่างนั้นยังต้องหนีเอาชีวิตรอดอยู่อีกด้วย นี่อาจจะเรียกได้ว่าระดับพรสวรรค์ของเสี่ยวหรันอยู่ในระดับบุตรชายแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง
น่าเสียดายที่แม่ของพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่ภรรยานอกกฎหมาย หากว่าเสี่ยวหรันได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่เพียงพอตั้งแต่แรก เขาจะเป็นอัจฉริยะที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้แก่โลกยุทธภพได้อย่างแน่นอนเลยทีเดียว
‘แต่ก็อย่างว่าการทะเลาะและแย่งชิงกันภายในตระกูลนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า แต่การที่มาทำร้ายลูกศิษย์ของข้านั้น ข้าคงจะไม่สามารถให้อภัยได้อย่างแท้จริง!’
แววตาของหวังเสียนเต็มไปด้วยความเย็นชาและดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ขณะที่เขามองดูเสี่ยวหรันที่ค่อยๆฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
‘ต่อให้ข้านั้นจะเป็นอาจารย์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่! แต่ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครมารังแกลูกศิษย์ของข้าเป็นอันขาด!’
หวังเสียนมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะช่วยยกระดับการบ่มเพาะของเสี่ยวหรันให้ก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณด้วยเม็ดยาจิตวิญญาณ หลังจากนั้นก็จะพาเขากลับที่ตระกูลของเขาเพื่อไปทวงความยุติธรรม
“ท่านอาจารย์!”
เมื่อเสี่ยวหรันลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นนั่นก็คืออาจารย์ของเขานั่งเฝ้าดูเขาอยู่ใกล้ๆด้วยความเป็นห่วง เขาจึงค่อยๆพยายามลุกขึ้นนั่งพร้อมกับยิ้มทักทายหวังเสียน
หวังเสียนยิ้มออกมาพร้อมกับเดินไปนั่งข้างๆและตบไหล่เขาเบาๆ “วันนี้เจ้าจงพักผ่อนให้ดี! ในวันรุ่งพรุ่งนี้อาจารย์จะพาเจ้าไปทวงคืนความยุติธรรม!”
เสี่ยวหรันอ้าปากเล็กน้อย ดวงตาของเขานั้นแดงก่ำ หยดน้ำตาค่อยๆไหลลงมาจนอาบแก้มของเขาและสะอื้นออกมาเล็กน้อย
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์!…” หลังจากนั้นเสี่ยวหรันก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกเนื่องจากรู้สึกจุกอุดตันขึ้นมาที่อก เขาพยายามร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆโดยไม่ส่งเสียงออกมา
ต่อให้เขามีความแข็งแกร่งมากเพียงใดเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กชายที่อายุเพียงแค่ 15 ปีเพียงเท่านั้น ในก่อนหน้านี้เขาและน้องสาวต้องถูกไล่ล่าจนมารดาถึงกับต้องเสียชีวิตลงไป พวกเขาจึงไม่เหลือที่ให้พึ่งพิงอีกต่อไป จนเมื่อได้มาพบกับหวังเสียนหรืออาจารย์ของเขา
หวังเสียนยิ้ม และแตะศีรษะของเขาเบาๆ ก่อนที่ตัวเขาจะจะลุกออกไปเพื่อปล่อยให้เสี่ยวหรันได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนตัวเขานั้นก็ว่ายน้ำไปที่เกาะลอย
เมื่อเขามาถึงสวนสมุนไพรบนเกาะลอยน้ำ หวังเสียนมองหาสมุนไพรจิตวิญญาณระดับสี่ สำหรับปรับแต่งเม็ดยาจิตวิญญาณระดับสี่ ก่อนที่จะหันไปมองต้นไม้จิตวิญญาณระดับ 6 ทั้งสองต้น
ต้นไม้จิตวิญญาณที่ออกผลสีเขียวและดอกบัวปฐพีขาว 9 กลีบ
ผลไม้ที่ผลิตบนต้นไม้จิตวิญญาณ ผลสีเขียวของมันเป็นยาจิตวิญญาณระดับห้า ซึ่งเทียบเท่ากับเม็ดยาจิตวิญญาณระดับสี่ ในขณะเดียวกันเมล็ดของดอกบัวปฐพีขาว 9 กลีบก็เทียบเท่ากับเม็ดยาจิตวิญญาณระดับห้า ซึ่งสามารถช่วยในการทะลวงคอขวดของระดับก่อกำเนิดลมปราณได้เช่นเดียวกัน
ยาเม็ดจิตวิญญาณที่มีส่วนผสมของสายเลือดมังกรกลายพันธุ์อสูรทมิฬที่ใช้สำหรับกลุ่มนักรบมังกรในก่อนหน้านี้ ไม่เหมาะสำหรับเสี่ยวหรัน
เม็ดยาจิตวิญญาณระดับสี่บวกกับเมล็ดของดอกบัวปฐพีขาว 9 กลีบอีก 2 เมล็ด น่าจะให้เสี่ยวหรันสามารถทะลวงระดับก่อกำเนิดลมปราณและช่วยเพิ่มพูนพลังแก่นแห่งธาตุไฟในจุดตันเถียนของเขาได้อีกด้วย
“ผู้เชี่ยวชาญระดับปกำเนิดลมปราณอายุ 15 ปี ทั่วทั้งยุทธภพคงจะต้องตกตะลึงกันอย่างแน่นอน!”
หวังเสียนยิ้มออกมาบางๆ ขณะที่เขากำลังปรับแต่งเม็ดยาระดับสี่
ในตอนนี้ต้นสมุนไพรจิตวิญญาณในสวนยาจิตวิญญาณบนเกาะลอยน้ำเหลือน้อยเป็นอย่างมาก หลังจากที่ถูกใช้ไปสำหรับการกลั่นและปรุงยาให้แก่กลุ่มนักรบมังกรและเสี่ยวหรัน
มันคงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องหาต้นสมุนไพรจิตวิญญาณนำมาปลูกเพิ่มเติมในสวนยาจิตวิญญาณ
……..