บทที่ 104 ของถูกขโมย
ตอนที่มู่วี่สิงลงมา บนโต๊ะอาหารได้เต็มไปด้วยอาหารเช้า ล้วนเป็นของทานในตอนเช้าที่ธรรมดามาก โจ๊ก ปาท่องโก๋ ซาลาเปา
เทียบกับอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งที่ปกติบ้านตระกูลมู่ทานกันเป็นส่วนใหญ่ นี่ก็ดูเหมือนจะธรรมดาเป็นอย่างมาก
ก็ไม่รู้ว่ามู่วี่สิงจะทานได้หรือเปล่า…
เวินจิ้งนั่งลง เห็นมู่วี่สิงไม่ได้มีสีหน้าอะไร ก็รู้สึกวางใจลง
เธอบิปาท่องโก๋ออกจากกันเป็นชิ้นๆ วางลงในจานที่อยู่ด้านหน้ามู่วี่สิง “แช่อันนี้อร่อยค่ะ”
มู่วี่สิงเงยหน้าขึ้น นำปาท่องโก๋แช่ลงไปในโจ๊ก กัดไปหนึ่งคำ กรุบกรอบอ่อนนุ่ม
“คุณชอบทานนี่?” มู่วี่สิงเอ่ยถาม
“ใช่จ้ะ เวินจิ้งเด็กคนนี้ชอบทานปาท่องโก๋เป็นที่สุด เธอไม่ชอบทานโจ๊ก จะต้องมีปาท่องโก๋ถึงจะยอมทาน” เจี่ยนอีนั่งลง ความรักใคร่เอ็นดูที่อยู่ในสายตาปิดเอาไว้ไม่อยู่
“ฝีมือการทำอาหารของคุณแม่เยี่ยมมากเลยครับ” มู่วี่สิงชื่นชม
“แม่ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ยัยหนูคนนี้ถึงได้ถูกน้าเลี้ยงจนสวยและดูมีชีวิตชีวา!” เจี่ยนอีมีความมั่นใจในตนเองสูงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เวินจิ้งยิ้มเล็กน้อย “แม่ หนูสวยมาแต่กำเนิดค่ะ”
“ต่างก็เป็นคุณงามความดีของแม่จ้ะ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก เวินจิ้งก้มศีรษะ มุมริมฝีปากโค้งขึ้นอยู่ตลอด
หากสามารถเป็นเช่นนี้ได้ตลอด คงจะดีไม่น้อย
…
ช่วงนี้โรงพยาบาลได้เพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการตรวจตราให้เข้มมากยิ่งขึ้น ใบปลิวที่ใส่ร้ายมู่วี่สิงเหล่านั้นลดลงไปอย่างมาก คนที่เจตนาร้ายกระจายข่าวก็ถูกจับกุมไต่สวน
การแสดงความคิดเห็นที่อยู่บนเว็บไซต์ก็หายไปอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้นี่คือการเดินหมากฉากนึงที่มีผู้มีอิทธิพลคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ไม่ได้เลื่อนเจอการแสดงความคิดเห็นที่โจมตีมู่วี่สิง อารมณ์ของเวินจิ้งดีขึ้นไม่น้อย เรื่องนี้เธอไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องเป็นคนของตระกูลฉินที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมวางกับดักเอาไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตั้งแต่ต้นจนจบต่างก็มีผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติยศของมู่วี่สิงเท่านั้น
มองดูมู่วี่สิงที่มุ่งมั่นทำการทดลองอยู่ด้านข้าง นัยน์ตาก็ค่อยๆสะท้อนความหลงใหลเพิ่มขึ้นทีละนิด
ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของมู่วี่สิงดังขึ้น เขาไม่สะดวก เวินจิ้งเป็นคนรับแทน
กลับเป็นพ่อบ้านที่โทรศัพท์เข้ามา
“คุณผู้หญิง…ของในบ้านถูกขโมยแล้วครับ”
“อะไรหายไปคะ? ตรวจสอบพบว่าใครเป็นผู้ขโมยหรือเปล่า?” เวินจิ้งถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
พ่อบ้านลังเลเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าเป็นมู่วี่สิงทีรับสาย แต่หากเป็นเวินจิ้ง เขาไม่ค่อยกล้าพูด
“ลุงเฉิน” เวินจิ้งซักถามด้วยความสงสัย
“คุณผู้หญิง ตามคำบอกเล่าของคนรับใช้เรา คือคุณนายเจี่ยนอีครับ”
“แม่ฉัน?” เสียงในลำคอของเวินจิ้งยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย จะเป็นไปได้ยังไงกัน?
มู่วี่สิงยังคงกำลังมุ่งมั่นทำการทดลอง แต่เรื่องนี้เวินจิ้งร้อนรนจนถึงที่สุดแล้ว แม่ไม่มีทางทำเรื่องขโมยของออกมาได้อย่างเด็ดขาด เธอเชื่อใจคุณแม่!
วางสายโทรศัพท์ลง เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้น มองดูเวลาเล็กน้อย อีกสักครู่ถึงเวลาเที่ยงก็จะกลับไปสักรอบ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงมู่วี่สิงถึงได้ถอดผ้าปิดปากออก “มีเรื่องอะไรหรอ?”
“บ้านตระกูลมู่ถูกขโมยของ ตอนนี้สงสัยว่าเป็นแม่ฉันที่ขโมยไปค่ะ”
ได้ยินดังนั้น มู่วี่สิงก็ขมวดคิ้วขึ้น ช่วงนี้บ้านเก่าเปลี่ยนคนรับใช้ใหม่ไปไม่น้อย คาดว่าคงจะมีคนที่มือไม้ไม่สะอาด
“เขียนบันทึกของวันนี้เสร็จเราก็จะกลับกันทันที”
เวินจิ้งพยักหน้า เวลาเที่ยง ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านตระกูลมู่
ตามคำบอกเล่าของพ่อบ้าน ของที่ถูกขโมยไปคือหยกชิ้นนึงที่อยู่ในห้องสะสมของโบราณ เวินจิ้งพักอาศัยเข้ามานานขนาดนี้แล้ว ปกติไม่เคยเดินเล่นสถานที่อื่นๆของคฤหาสน์เท่าไรนัก ยังคงเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าที่แท้ที่นี่มีห้องๆหนึ่งที่เอาไว้เก็บซ่อนของโบราณโดยเฉพาะ
เจี่ยนอีเข้าไปที่นั่นในเช้าวันนี้ คนรับใช้พาเธอเยี่ยมชมคฤหาสน์ เธอก็เลยเดินดูไปทั่ว
“ลูกแม่ แม่ของลูกไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้อย่างเด็ดขาด” เจี่ยนอีสีหน้าบึ้งตึง โทษฐานที่ไม่มีใครอธิบายสาเหตุได้นี้ทำให้เธอโกรธมาก
“แม่ ใจเย็นก่อนนะคะ จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนอยู่แล้วค่ะ”
“ยังต้องตรวจสอบ? ฉะนั้นก็คือไม่เชื่อใจแม่แล้ว?” น้ำเสียงของเจี่ยนอีเยือกเย็นลงมา
เวินจิ้งลำบากใจ มองไปทางมู่วี่สิงแวบหนึ่ง
เขาเดินเข้ามา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ที่อยู่ของหยกตอนนี้จำเป็นต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัด พวกเราต่างก็เชื่อใจคุณแม่ แต่ความจริงจำเป็นต้องทำการสืบสวน”
เจี่ยนอียังคงโมโห ดึงเวินจิ้งมา “ที่นี่แม่อยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว แม่ของลูกมีชีวิตจนมาถึงอายุปูนนี้ ยังไม่เคยถูกใส่ร้ายเช่นนี้มาก่อนเลย