บทที่ 134 อย่ามาโทษฉันที่ต้องจัดการกับคุณ
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เวลาพูดถึงมู่วี่สิงทีไร ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของฉีเซินจะรุนแรงเกินไปเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น มู่วี่สิงเองก็เตือนแล้วเตือนอีกว่าห้ามติดต่อกับฉีเซินมากจนเกินไป
ทั้งสองคนเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อนนะ
“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร” เธอทำหน้าเคร่งเครียด
“เดี๋ยวคุณก็รู้เองในภายหลัง เวินจิ้ง อย่ามาหาว่าผมไม่เคยเตือนคุณก็แล้วกัน มู่วี่สิงซับซ้อนกว่าที่เห็น” เขาพูดอย่างเย็นชา
ในตอนนั้น เมื่อเขาก้มลงและเห็นแหวนที่อยู่บนนิ้วของเวินจิ้ง เขาก็ขมวดคิ้ว
เวินจิ้งสวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วนาง ดังนั้น……
“คุณแต่งงานกับเขาแล้วเหรอ” ดวงตาของฉีเซินดูน่ากลัวขึ้นมาทันที
“ใช่” เวินจิ้งไม่ปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้สื่อได้รายงานข่าวเรื่องการแต่งงานของเวินจิ้งแล้ว แต่ฉีเซินกลับไม่เคยเชื่อในข่าวนั้นเลย
ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าหากว่าเป็นมู่วี่สิงจริง ๆ ….. มันเป็นไปได้อย่างไร!
แต่ทว่าในตอนนี้ ความจริงได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างชัดเจนแล้ว
ฉีเซินกำหมัดแน่น และใช้เวลานานมากกว่าจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ “เวินจิ้ง คุณโกหกผม”
“คุณฉีจะเชื่อหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน” สีหน้าของเวินจิ้งดูแปลกแยกอยู่เสมอ
ทั้งสองคนได้แต่นิ่งเงียบและไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมา ในที่สุด เวินจิ้งก็ยอมทานอาหาร แต่เป็นฉีเซินที่กลับไม่อยากทานอาหารขึ้นมาเสียเอง ดวงตาสีดำขลับหรี่ลงอย่างเยือกเย็น และแผดเผาไปด้วยความโกรธ
ในตอนนั้นเอง เสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงดังขึ้นมาจากข้างบน ผู้จัดการรีบวิ่งเข้ามาด้วยความหวาดกลัว
“คุณฉี มีคนมาครับ”
“ใคร” วันที่ฝนตกกระหน่ำเช่นนี้ ยังจะมีใครมาที่นี่ได้อีก
แต่แววตาของเวินจิ้งกลับเปล่งประกาย หรือว่าจะเป็นมู่วี่สิง
เธอวิ่งออกไปแทบจะในทันที ณ สนามหญ้าที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เฮลิคอปเตอร์สีดำตัดขอบทองค่อย ๆ ร่อนลงจอดอย่างช้า ๆ ทีละน้อย ที่บริเวณส่วนหางของเฮลิคอปเตอร์มีอักษร “มู่” สีเงินติดอยู่ มันช่างแวววับระยิบระยับอย่างมาก
เป็นมู่วี่สิงอย่างนั้นเหรอ
เธอหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจของเธอเต้นรัวเร็วเล็กน้อย ร่างกายที่ร้อนผ่าวเป่าลมอันเย็นเฉียบออกมา ความรู้สึกไม่สบายกายเพิ่มมากขึ้น เธอจามออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยังคงจ้องมองเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ไม่ไกลอย่างดื้อรั้นเหมือนเช่นเดิม
ในที่สุด ประตูห้องโดยสารก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มในชุดเสื้อขาวกางเกงขายาวสีดำก้าวเท้าอันแสนยาวของเขาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์นั้น ความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน แต่เวินจิ้งก็รู้ดีว่าเป็นเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเวินจิ้งต้องการวิ่งออกไป ฉีเซินกลับคว้าข้อศอกของเธอเอาไว้แน่น
ดวงตาเยือกเย็นของมู่วี่สิงจ้องมองไปที่มือของฉีเซิน ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย โหดเหี้ยม และทำให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เมื่อดวงตาของผู้ชายทั้งสองคนสบเข้าด้วยกัน ฉีเซินหรี่ตาลง ริมฝีปากอันเรียวบางของเขายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
มู่วี่สิงเดินมาหาอย่างรวดเร็ว เวินจิ้งรีบผลักฉีเซินออกไปในทันที แต่ทว่าฉีเซินกลับดึงมือของเขากลับมา และเวินจิ้งก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ภายในอ้อมกอดของเขา
ในพริบตานั้น มู่วี่สิงกลับเร็วกว่าและคว้าเอวอันโคตรบางของเวินจิ้งไว้ได้ก่อนแล้ว ขาอันแสนยาวของเขาเตะฉีเซินเข้าให้ ทำให้ฉีเซินต้องปล่อยมือออกอย่างช่วยไม่ได้
“คุณนายมู่” มู่วี่สิงมองดูเวินจิ้ง สีหน้าเคร่งเครียดของเขายังคงมืดมนและเยือกเย็นเหมือนเดิม
เวินจิ้งตัวสั่นเทิ้ม อ้อมกอดของมู่วี่สิงนั้นเย็นยะเยือกเหลือเกิน!
“พวกเราไปกันเถอะ”
มู่วี่สิงหัวเราะอย่างเย็นชา แต่กลับจ้องมองไปที่ฉีเซิน “ฉีเซิน ในเมื่อแกทำร้ายเธอ อย่ามาโทษฉันที่ต้องจัดการกับแกก็แล้วกัน”
“เหรอ ฉันจะรอแล้วกัน ได้ยินว่านายจะรับช่วงต่อบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปแล้วนี่ ฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีกับนายเลย”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันถือว่าฉันได้รับคำยินดีจากนายแล้ว”
ขณะที่กำลังขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ความอบอุ่นปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เวินจิ้งแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของมู่วี่สิง และค่อย ๆ หลับตาลงทีละน้อย
เธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน…..ไม่สบายตัวเหลือเกิน
เธอจับแขนของมู่วี่สิงโดยไม่รู้ตัว เธอลูบแขนของเขาอย่างช้า ๆ และกระซิบพูดว่า “มู่วี่สิง ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณผมทำไมกัน”
“ขอบคุณที่คุณมาตามหาฉัน ไม่อย่างนั้น…..ฉันคงจะไข้ขึ้นตายอยู่ที่นี่แน่นอน” เวินจิ้งหัวเราะ
ทันใดนั้น มู่วี่สิงก็ตีหน้าเคร่งเครียด “ไม่อนุญาตให้พูดจาไร้สาระนะ”
มือของเขาที่กำลังกอดเวินจิ้งยิ่งแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นเวินจิ้งหลับตาลง อุณหภูมิร่างกายของเขากลับรู้สึกหนาวสลับร้อน และหัวใจของเขาก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
“คุณนายมู่!”