บทที่ 171 ยอมรับผิดขึ้นมาเอง
ลู่หวั่นสั่นเทาไปทั้งตัว พร้อมกับเงยหน้าขึ้น เห็นสายตาอันเยือกเย็นของฉีเซินที่ส่งผ่านมา
หล่อนพูดพลางหัวเราะอย่างเรียบเฉยว่า “ประธานฉี นี่คุณกำลังพูดอะไรอยู่หรือ? ”
“ผมพูดอะไรนั้น คุณก็ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเวินจิ้งเป็นอะไรไปขึ้นมา ผมจะไม่ปล่อยคุณไว้แน่” ฉีเซินพูดอย่างเย็นชา
ลู่หวั่นโพล่งเสียงอันเยือกเย็น “คิดไม่ถึงเลยว่าประธานฉีก็จะชอบผู้หญิงอย่างนั้นด้วย”
บนใบหน้าของฉีเซินไร้การแสดงอารมณ์ใดใด เพราะเขารู้ว่าหลังจากที่มู่วี่สิงเข้าไปแล้วก็จะสามารถช่วยคนออกมาได้แน่ เขาจึงได้แต่หันหลังกลับแล้วเดินออกไป
“เวินจิ้งนั้นมีอะไรดีนักหรอ อย่างฉันหล่ะด้อยกว่าเวินจิ้งตรงไหน?” ลู่หวั่นพูดพลางกระซิบไป
ดวงตาที่กำลังมองมู่วี่สิงที่จะออกมา สิ่งที่ผุดจากความคิด กับหล่อนที่เดินออกไปที่ระเบียงแล้ว
เวินจิ้งอยู่ในอ้อมอกของมู่วี่สิง เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อย ดวงตาที่กำลังมองออกไปจากสถานที่อันมืดมนนี้ เธอดึงรั้งที่ปกเสื้อของเขา “คุณแน่ใจหรือว่าจะอุ้มฉันออกไปแบบนี้? งานเลี้ยงด้านนอกน่าจะใกล้จบแล้วนะ”
มู่วี่สิงยังไม่ทันได้ตอบ ทันใดนั้นประตูฉุกเฉินก็ได้ถูกผู้จัดการเปิดออกอย่างนอบน้อม พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นมาจากข้างหูอย่างกลัวๆกล้าๆ “ขอประทานโทษครับประธานมู่ ไม่รู้ว่าใครมาล็อคประตูบานนี้ครับ ผมจะรีบไปเช็คที่กล้องวงจรปิดทันทีครับ”
ชายหนุ่มตอบรับเขาด้วยเสียงเรียบ กับสายตาที่มองพร้อมจะเดินออกไปยังระเบียง งานเลี้ยงฉลองด้านนอกยังคงมีการสังสรรค์อย่างครึกครื้นอยู่
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นถึงความเคลื่อนไหวทางนี้ จนเวินจิ้งกลายเป็นจุดโฟกัสของทุกคนไปฉับพลัน
เธอได้ผลักตัวมู่วี่สิงออกเล็กน้อย “เท้าของฉันไม่รู้สึกชาแล้ว คุณปล่อยฉันลงเถอะ ฉันเดินเองได้”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว กับสายตาที่มองลงผ่านไปอย่างไม่สนใจ
“มู่วี่สิง! คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่ต้องการให้คุณอุ้มฉัน!” น้ำเสียงของเวินจิ้งหนักแน่นขึ้น พร้อมกับนึกถึงภาพที่เขากับลู่หวั่นเดินไปด้วยกัน ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่อยากให้มู่วี่สิงแตะต้องตัวเธออีก
มู่วี่สิงหรี่ตาลงอย่างร้ายกาจ ความเยือกเย็นจากเขาทำให้เวินจิ้งตัวสั่น แต่กลับกล้าที่จะกัดลงไปที่ไหล่ของเขา ในช่วงขณะนั้นเองทำให้มู่วี่สิงจำเป็นต้องปล่อยตัวเธอลงมา
“เวินจิ้ง!” มู่วี่สิงแสดงความโกรธออกมาต่อหน้าเวินจิ้ง ซึ่งจริงแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดมาก่อน
“มู่วี่สิง ฉันขอบคุณนะที่คุณช่วยฉันเมื่อสักครู่ แต่ว่าฉันไม่อยากรบกวนคุณแล้ว อีกทั้งในงานแบบนี้ ก็เป็นที่ที่ฉันไม่ควรมา” เวินจิ้งกล่าวอย่างเย็นชา พร้อมกับหันหลังจะเดินออกไปจากประตูใหญ่
ในเวลาเดียวกันนี้ อั้ยเถียนวิ่งออกมาอย่างตื่นตระหนก เมื่อครู่เธอได้ยินบทสนทนาระหว่างฉีเซินกับลู่หวั่น ก็รู้ว่าลู่หวั่นคือผู้หญิงคนที่จับเวินจิ้งไป ทันใดนั้นทำให้เธอรู้สึกโกรธจนต้องไปตามหาลู่หวั่น คิดไม่ถึงว่าหล่อนจะอยู่ข้างสระว่ายน้ำ เมื่ออั้ยเถียนเห็นก็ได้ผลักหล่อน จนลู่หวั่นร่วงลงไปในสระว่ายน้ำทันที
“จิ้งจิ้ง ฉันจัดการกับยัยผู้หญิงคนนั้นแล้วนะ!”
“อะไรนะ?” เวินจิ้งไม่เข้าใจความหมายที่อั้ยเถียนกล่าวกับเธอ
“ก็คือว่า………”
อั้ยเถียนกำลังจะพูดต่อ แต่ก็มีเสียงตะโกนจากทางระเบียงห่างออกไปไม่ไกลนัก “คุณลู่ตกลงไปในสระว่ายน้ำ!”
อั้ยเถียนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสะใจ “มีเรื่องสนุกให้ดูแล้วหล่ะ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว มองไปยังอั้ยเถียน พร้อมกับพูดเสียงต่ำออกไปว่า “เธอเป็นคนผลักใช่ไหม?”
“แน่นอนหล่ะ ก็ยัยนั่นกล้าขังเธอไว้ ฉันก็ต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย!” อั้ยเถียนกล่าวอย่างไม่แยแส
“เธอรู้ได้อย่างไรว่าเป็นลู่หวั่น?” เวินจิ้งถามอย่างสงสัย
หล่อนเป็นคนที่ทุกคนสงสัยมาหมดแล้ว แต่กลับไม่คิดว่าเป็นหล่อนจริงๆที่เป็นคนลงมือ
“ก็เขาเป็นคนพูดออกมาเองจากปากน่ะสิ! ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสะสวย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเป็นงูพิษชัดๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมู่วี่สิงหาเธอเจอ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เธอจะออกมาได้ ฉันหล่ะเป็นห่วงจนจะบ้าตาย…..”อั้ยเถียนพูดไปขอบตาก็แดงก่ำไป
ถึงแม้ว่าจะผลักลู่หวั่นให้ร่วงลงไปในสระว่ายน้ำได้ แต่ก็ไม่ทำให้เธอหายแค้น!
เวินจิ้งกอดอั้ยเถียน รู้สึกดีใจที่มีเพื่อนดีคนหนึ่งที่ทำเพื่อเธอ
ทุกสายตากำลังมองไปยังสระว่ายน้ำ มู่วี่สิงก็เร่งเดินเข้าไป อีกทั้งยังกระโดดลงไปในสระว่ายน้ำท่ามกลางสายตาผู้คนทั้งหลาย!
เวินจิ้งเองก็เดินตรงไปทางนั้นอย่างไม่ทันคิด พร้อมกับเบิกคิ้วอันละเอียดของเธอขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย
การที่มู่วี่สิงเข้าไปช่วยเขาอย่างรวดเร็วเช่นนั้น แสดงว่าเขาเป็นห่วงลู่หวั่นมากเลยใช่ไหม?
ในสระว่ายน้ำเต็มไปด้วยความเงียบสงัด เวินจิ้งยืนอยู่ข้างสระ ด้วยสีหน้าอันครุ่นคิด
อั้ยเถียนสีหน้าถอดสี “จิ้งจิ้ง มันจะไม่เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม?”
เมื่อสักครู่อั้ยเถียนรู้สึกทนต่อการกระทำของลู่หวั่นไม่ได้จึงทำให้เธอผลักเขาลงไปอย่างเบา แต่หล่อนกลับว่ายน้ำไม่เป็นหรอกหรือ?
ผ่านไปไม่กี่นาที เวินจิ้งถึงจะเห็นลู่หวั่น เขาอยู่ในสระน้ำไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด ได้แต่จมลึกลงไป
มู่วี่สิงเข้าไปช่วยลู่หวั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของหล่อนปิดลง ใบหน้าหล่อนซีดเซียวจนน่าตกใจ
มือของหล่อนจับที่มือของมู่วี่สิงอยู่แน่นอย่างไม่รู้ตัว ลู่หวั่นขมวดหน้าด้วยความทรมาน
เวินจิ้งเบียดฝูงคนเข้าไป เธอรู้ว่าต้องเร่งช่วยชีวิตคนก่อน จากนั้นก็รีบนั่งยอง กดลงไปที่หน้าอกของลู่หวั่น
สายตาที่มองไปชนกับมู่วี่สิง ทำให้เวินจิ้งรีบหลบตา ด้วยสีหน้าอันเย็นชา
มู่วี่สิงยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างอื่นใด
เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ลู่หวั่นก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับสำลักน้ำออกมา
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ” เวินจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอก
ลู่หวั่นมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าเธอ ทั้งยังขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก
มู่วี่สิงได้สั่งให้บริกรของโรงแรมเข้ามา ไม่นานนักก็มีคนมาช่วยประคองลู่หวั่นขึ้น
มู่วี่สิงยังคงยืนอยู่ด้านข้างเวินจิ้ง ทุกอย่างปรากฏให้เห็นในตาของลู่หวั่น ช่างเป็นภาพบาดตาหล่อนเหลือเกิน
ความแค้นที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของลู่หวั่นถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิด
“คุณเวิน ฉันขอบคุณเธอมากเลยน่ะ” ลู่หวั่นยืนขึ้น พร้อมกับคลุมผ้าเช็ดตัวไว้ แต่ทว่าอาภรณ์ของเธอนั้นเดิมทีก็โชว์เนื้อหนังอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ทำให้เสื้อผ้าบางส่วนนั้นของเธอได้หลุดเปิดออก
“ไม่ต้องเกรงใจน่ะ ถึงยังไงสามีของฉันก็เป็นคนพาเธอออกงาน ในเมื่อเธอเกิดเรื่องขึ้น ยังไงซะก็เป็นความรับผิดชอบของเขาอยู่ดี ฉันก็คงไม่อาจทำให้เขาลำบากใจได้หรอก จริงมั้ยคะ?” เวินจิ้งตอบอย่างเรียบเฉย กับคำพูดที่กล่าวมาซึ่งเป็นการแสดงสิทธิของเธอ ทั้งเป็นการตอกย้ำกับลู่หวั่น
เดิมทีแขกในงานต่างก็คิดว่าลู่หวั่นและมู่วี่สิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้คุณนายมู่กลับปรากฏตัวขึ้น ผู้คนมากมายต่างก็รู้สึกตระหนกในสิ่งที่เห็น
แต่ว่า มู่วี่สิงนั้นไม่ได้พาคุณนายมู่ออกงานแต่กลับเป็นคนพาลู่หวั่นออกงานแทน จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่น้อยต่างก็แคลงใจกับความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นี้
“คุณนายมู่เริ่มมาคิดแทนผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่?” มู่วี่สิงพลันโอบกอดที่ไหล่อันเรียวบางของเธอ ทั้งริมฝีปากที่บางของเขาแทบจะแนบชิดกับใบหูของเธอด้วย
เมื่อครู่เธอเพิ่งจะแสดงสีหน้าอันเย็นชาต่อเขา
“ก็มันเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ?” สีหน้าของเวินจิ้งยังคงไม่เปลี่ยน
“อืม คุณชายมู่รู้สึกพอใจมาก” ริมฝีปากอันบางเบาของมู่วี่สิงขยับขึ้น
คำพูดของเวินจิ้งเมื่อครู่ “สามีของฉัน” คำนั้นทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างมาก
ในขณะนั้น มู่เฉิงซึ่งได้รู้ถึงเรื่องราวก็ก้าวเข้ามา พอเห็นลู่หวั่นตกน้ำ ก็รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก “หวั่นหวั่น รีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนห้องก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดไปน่ะ”
ลู่หวั่นผู้ที่ถูกส่งมาอยู่ในตระกูลมู่ตั้งแต่เด็ก ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับมู่เฉิงอย่างมาก
“ขอบคุณคุณปู่ที่ห่วงใยค่ะ” ลู่หวั่นพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับมองต้านไปยังสายตาคู่อื่นรอบๆที่ส่งมา แล้วเดินออกไปอย่างเร็ว
เมื่อกำลังเดินผ่านข้างเวินจิ้ง เขาก็หยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย
เวินจิ้งหันมามองพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ
ณ ตรงนี้ซึ่งไม่มีความครึกครื้นรื่นรมย์อะไร บรรดาแขกทั้งหลายต่างก็กลับเข้าในห้องจัดงานเลี้ยง มู่เฉิงได้แต่มองหลานชายตระกูลตน พร้อมกับโพล่งเสียงดังว่า “วี่สิง นี่เจ้ากำลังทำอะไร ทำไมถึงปล่อยให้หลานสะใภ้ข้ามาอยู่ด้านนอกแบบนี้ ยังดีนะที่ข้ามาถึงพอดี…”
“คุณปู่คะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขานะคะ เป็นเพราะว่าดิฉันเองงานยุ่งอยู่ค่ะ” เวินจิ้งรีบชิงอธิบายก่อน
จริงแล้ว มู่วี่สิงได้เชิญเธอมาร่วมงานก่อนตั้งแต่แรก เพียงแต่เธอกลับปฏิเสธเขา
“หลานสะใภ้เอ๋ย เจ้าไม่ต้องมาอธิบายแทนเขาแล้ว ที่เจ้าต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เดี๋ยวปู่จะจัดการแทนเจ้าเอง”
“คุณปู่ครับ มันเป็นความผิดของผมเอง” มู่วี่สิงยอมรับผิดขึ้นมาเองด้วยอารมณ์อันเบิกบาน
ประโยคนี้แม้แต่มู่เฉิงก็ยังรู้สึกประหลาดใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหลานชายคนนี้ของเขานั้นเป็นคนหยิ่งทะนง โตมาจนขนาดนี้ เขาเองก็ยังไม่เคยได้ยินคำขอโทษจากปากของหลานชายมาก่อนเลย