บทที่ 229 จะไม่ชอบผู้หญิงคนอื่น
“ตอนนี้ประธานลี่จะทำอย่างไรต่อไป” เวินจิ้งถามด้วยความกังวล
เธอทำงานที่บริษัทการผลิตยาเทียนอีมาห้าปีแล้ว เธอไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
แต่ทางธุรกิจมันโหดเหี้ยม ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทการผลิตยาเทียนอีสู้ที่ผ่านมาไม่ได้เลย
“ฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้ แต่บริษัทการผลิตยาเทียนอี เป็นไปได้ที่จะล้ม” มู่วี่สิงเสียงกังวล
เวินจิ้งประหลาดใจ มองสีหน้ากังวลของมู่วี่สิง รู้ว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว
“ยาเหล่านั้น คุณก็เคยเห็นแล้ว”
มู่วี่สิงสั่งชียนนำยาเหล่านั้นมา “อืม ในนี้มีส่วนผสมที่ทำลายประสาทและหัวใจ สำหรับผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ถ้าใช้งานระยะยาวอาจถึงแก่ชีวิตได้”
ได้ยินมาว่า หน้าเวินจิ้งซีดลง
รับยามาด้วยมือที่สั่น ตอนแรกเธอก็แค่สงสัย ไม่คาดคิดว่ายาตัวนี้จะมีปัญหาจริงๆ
“จะเป็นใคร”
เวินจิ้งพำพึง
“ฉันจะไปโรงพยาบาลก่อน คุณนายฉีทานยาต่อไม่ได้แล้ว” พูดจบ เวินจิ้งหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไป
มู่วี่สิงจับข้อมือเธอไว้ ดึงเธอมาในอ้อมกอด เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงไม่พอใจ “เวินจิ้ง คุณต้องการเข้าไปแทรกแซงเรื่องของตระกูลฉี”
“ใช่” เวินจิ้งพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “มู่วี่สิง ตอนนี้มันเกี่ยวกับชีวิตคน”
มู่วี่สิงหรี่ตา จ้องมองที่เวินจิ้งทันที กระแสความมืดของดวงตากำลังปั่นป่วน
เวินจิ้งเดาอารมณ์ของเขาไม่ออก แต่ความเย็นชาของเขาทำให้เธอจิตใจห่อเหี่ยว
เธอผลักเขาออก “วันนี้ฉันกลับดึกหน่อยนะ”
พูดจบ ออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่วี่สิงมองด้านหลังของเธอ เงาของดวงตาค่อย ๆ แพร่กระจาย
ตอนเกาเชียนเข้ามา กลิ่นควันในห้องทำให้เขารู้สึกไม่สบาย
มู่วี่สิงไม่ค่อยสูบบุหรี่ นอกจากมีเรื่องไม่สบายใจมาก
เขาจะคอยสังเกตอยู่เสมอ เวลานี้ boss อารมณืไม่ดี
เขาแค่หน้าด้านเข้าไป “ประธานมู่ เรื่องหลินเวยแท้งบุตรเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน มีข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว”
รับเอกสารมา มู่วี่สิงดูรายละเอียดในบันทึก สีหน้าของเขาเย็นลงทีละเล็ก
ในขณะที่ เอกสารในมือถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
“เรื่องนี้มีใครรู้บ้าง”
“คนที่ดูแลในโรงพยาบาลไม่ได้อยู่ในหนานเฉิงแล้ว นอกจากคู่กรณี”
คู่กรณี…… หลินเย่นเจี่ยนอี
“ประธานมู่ฉีเซินก็กำลังตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย” เกาเชียนพูด
“คุณรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร อย่าปล่อยให้เขาหาร่องรอยได้แม้แต่นิดเดียว” มู่วี่สิงสั่ง
โรงพยาบาล
เวินจิ้งเดินอย่างช้าๆ เรื่องยา เธอไม่รู้จะอธิบายกับหลินเวยอย่างไรดี
หรือว่า เธอควรจะบอกเรื่องนี้กับฉีเซินก่อน ให้เขาตรวจสอบให้แน่ใจ
ถึงหน้าห้องผู้ป่วย ในนั้นไม่มีคนแม้แต่คนเดียว เวินจิ้งถามพยาบาลที่ผ่านมา ถึงรู้ว่าหลินเวยออกจากโรงพยาบาลตอนบ่ายนี้แล้ว
ขมวดคิ้ว เธอโทรหาฉีเซิน
“ฉันคือเวินจิ้ง”
“อืม นี่เป็นครั้งแรกที่คุณโทรหาฉัน” ฉีเซินพูดกระแนะกระแหน
เวินจิ้งเม้มปาก ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้
“เกี่ยวกับเรื่องของคุณนายฉี ฉันอยากคุณกับคุณ”
อีกครึ่งชั่วโมง ทั้งสองนัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เวินจิ้งใจลอยมองที่นอกหน้าต่าง คิดถึงสีหน้าเย็นชาของมู่วี่สิง เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่ช่วยเธอตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลินเวย
เมื่อสัมผัสตระกูลฉีแล้ว อารมณ์ของมู่วี่สิงนั้นเย็นชาอย่างน่ากลัว
ครั้งนี้ที่ช่วยเธอตรวจสอบเรื่องยา เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากแล้ว
ฉีเซินมาสายมาก นั่งตรงข้ามเวินจิ้ง มองไปที่ใบหน้าของสงบนิ่งของเวินจิ้ง อารมณ์ร้อนค่อยๆสงบลง
ความร้อนในดวงตาผ่านไป ฉีเซินซ่อนมันไว้
“คุณนายฉีทำไมถึงออกโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้” เวินจิ้งถาม
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ฉันควรจะดีใจ เพราะคุณแม่ของฉัน คุณไม่ได้ผลักไสฉันอย่างนั้นอีกแล้ว” ฉีเซินยกริมฝีปากบางขึ้น
“ฉันขอพบคุณ เพราะอยากคุยอาการของคุณนายฉี” เวินจิ้งหลบสายตาเขา
เอารายงานของยายื่นให้เขา เวินจิ้งค่อยๆพูด “เมื่อคืนฉันนำยาของคุณนายฉีไปทดสอบ ไม่ใช่ยาที่จ่ายให้ตั้งแต่แรก ฉันคิดว่าคงจะถูกคนเปลี่ยนยาให้”
สายตาของฉีเซินเย็นลง เปิดดูรายงาน ค่อยๆกำหมัดแน่น
เขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าบูดบึ้ง
“คุณรู้ได้อย่างไร”
“ตอนแรกฉันก็แค่สงสัย แต่รู้สึกว่าอาการของคุณนายฉีดูไม่ปกติเหมือนทั่วไป กรณีของเธอมีข้อบกพร่อง ฉันก็เลยลองตรวจสอบ คิดไม่ถึง…..” เวินจิ้งพูดด้วยความกังวล
“เวินจิ้ง ครั้งนี้ต้องขอบคุณ คุณมากๆ เรื่องนี้ฉันจะตรวจสอบให้ละเอียด”
“ยาเหล่านี้ มู่วี่สิงช่วยคุณตรวจใช่ไหม” ฉีเซินถามอย่างกระตือรือร้น
เวินจิ้งพยักหน้า “เขาเป็นคนช่วย”
ฉีเซินยิ้มอย่างเย็นชา “ฉันรู้แล้ว”
“ดึกมากแล้ว ฉันส่งคุณกลับไปนะ”
เวินจิ้งส่ายหน้า “คนขับรถรอฉันด้านนอก ไม่รบกวนดีกว่า”
ฉีเซินมองด้านหลังเธอ สายตาค่อยๆหรี่ลง
กลับถึงตระกูลฉี ฉีเซินขึ้นไปบนห้องของคุณแม่
“ฉันเพิ่งไปเจอเวินจิ้งมา” ฉีเซินพยุงคุณแม่ลุกขึ้นนั่ง
“เธอไม่รู้ว่าฉันออกจากโรงพยาบาลแล้วใช่ไหม ทำให้เธอไปเสียเที่ยวเลย”
“เธอเป็นห่วงแม่มาก เมื่อคืนเธอนำยาของแม่ไปตรวจ แม่ ยานี้มีปัญหา”
หลินเวยเงยหน้า มือสั่น
“คนตระกูลมู่กำลังจะลงมือแล้ว” เธอพำพึง ไม่น่าแปลกใจ
คิ้วที่ยาวของฉีเซินขมวดขึ้น “ช่วงนี้บริษัทการผลิตยาเทียนอีถูกเล่นงาน แต่จะจัดการบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป ตอนนี้ฉันยังหาจังหวะลงมือไม่ได้”
เป้าหมายของเขาคือบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปมาโดยตลอด แต่มู่วี่สิงทำงานไม่มีช่องโหว่ เขาถึงได้เริ่มลงมือจากบริษัทการผลิตยาเทียนอี
“ฉีเซิน จะทำให้รากฐานของตระกูลมู่สั่นคลอนไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถทำได้อย่างง่ายดาย บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปในตอนนี้มู่วี่สิงเป็นคนรับช่วงต่อ เรายิ่งต้องวางแผนดีๆ” หลินเวยกล่าวอย่างกังวล
“แต่ตอนนี้ คนของตระกูลมู่รอไม่ได้แล้ว” ฉีเซินพูดอย่างเย็นชา
“จุดอ่อนของมู่วี่สิง คือเวินจิ้ง”
“อย่าแตะต้องเธอ” หลินเวยขัดทันที
“แม่ ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่คืออะไร” ฉีเซินถามอย่างเย็นชา
สำหรับหลายครั้งที่หลิวเวยคอยปกป้องเวินจิ้ง ฉีเซินดูออกมานานแล้ว
“เธอไม่จำเป็นต้องยุ่ง ฉันชอบเด็กคนนั้นมาก ห้ามทำร้ายเธอ”
“ฉันก็ชอบเธอเหมือนกัน ยังอยากจะแย่งเธอมาเป็นลูกสะใภ้แม่” ฉีเซินยิ้ม
ใบหน้าของหลินเวยตื่นตระหนก เธอดูออกความรู้สึกที่ฉีเซินมีให้เวินจิ้ง แต่ว่า ไม่ได้เด็ดขาด
“อาทิตย์หน้าฉันนัดลูกสาวตระกูลเย่มาเจอเธอ เวินจิ้ง ไม่เหมาะสมกับเธอ”
“เพราะอะไร แม่ชอบเธอ ฉันก็ชอบเธอ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดหรือ” ฉีเซินยักคิ้ว
“ภูมิหลังของเธอไม่สามารถช่วยธุรกิจของคุณได้ ตอนนี้ศัตรูที่ต้องเผชิญคือตระกูลมู่ที่มีอำนาจมาก ภรรยาของคุณ ต้องอยู่ในระดับเดียวกันกับตระกูลฉีอย่างพวกเรา”
“แม่ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ ฉันก็ไม่ชอบผู้หญิงคนอื่น” ฉีเซินขมวดคิ้ว
เมื่อเจอเวินจิ้ง ความรู้สึกของเขาไม่สามารถควบคุมได้ ต้องการเธอคนเดียว
ต้องเป็นเธอเท่านั้น
หลินเวยมองแววตาของลูกชาย มีความตื่นตระหนก
อยากจะพูดอะไร สุดท้ายก็ไม่พูดออกไป
เธอรู้นิสัยของฉีเซินดี ยิ่งไม่ให้ก็ยิ่งอยากได้
เขาแข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็ก
“สรุปว่า เรื่องเวินจิ้งเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอีก”
ฉีเซินใบหน้าเศร้า ออกไปด้วยความโกรธ แต่ก่อนปิดประตู ยังบอกว่า “ยาทานยาอีกนะ พรุ่งนี้ฉันพาไปหาหมอเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้”