บทที่ 291 นายมาเพราะเป็นห่วงฉันเหรอ
“คุณตา หนูกลัวหนูจะทำไม่ได้”
“ฉันรู้ในอนาคตสามปีข้างหน้าเธอจะเรียนปริญญาโท รอเธอเรียนจบ กิจการทั้งหมดของบริษัทหลินซื่อจะกลับไปอยู่ในมือเธอ”
คำพูดของหลินเจิ้นทำให้เวินจิ้งปฏิเสธยาก
“วางใจ หลิงอี้จะช่วยเธอเอง”
เวินจิ้งเม้มปาก หลิงอี้….เขาอีกแล้ว
หลังจากส่งคุณตากลับห้อง เวินจิ้งก็ลงมาที่ห้องรับแขก
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หลิงอี้กลับมาแล้ว ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
เวินจิ้งตกใจ
“กลัวฉันขนาดนั้นเลย?” หลิงอี้ขมวดคิ้ว
เวินจิ้งมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” นอกนี้เธออยากอยู่เงียบๆ
“คุณตาพูดอะไรกับเธอเหรอ?” หลิงอี้นั่งลงข้างเธอ
เวินจิ้งเม้มปาก มองไปที่หลิงอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
พอคิดว่าหลังจากเรียนจบจะต้องมาเรียนเรื่องธุรกิจกับหลิงอี้……
รับไม่ได้จริงๆ !
“ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”
หลิงอี้พูดขึ้น” ให้ฉันเดา คงจะเป็น ให้เธอมาเรียนงานที่บริษัทหลินซื่อกับฉัน ยังไง คุณตาก็จะให้เธอสืบทอดบริษัทหลินซื่ออยู่ดี”
เวินจิ้งเงียบ
“เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเธอ จะยกบริษัทหลินซื่อให้กับฉัน?” หลิงอี้ขมวดคิ้ว
“นายอย่าแม้แต่จะคิด!” เวินจิ้งไม่แม้แต่จะคิด
แต่ว่าพอคิดถึง อนาคตสามปีของเธอเรียนแต่การแพทย์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับธุรกิจสักนิดเลย
ถ้าหากไม่เพื่อต่อไปสามารถเป็นหมอได้ เธอเรียนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
“ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เพราะงั้น เธอเอาบริษัทหลินซื่อให้ฉัน เธอถึงเวลาทุกปีก็เอาส่วนแบ่งไป” หลิงอี้พูด
เรื่องความสามารถของหลิงอี้ เวินจิ้งไม่รู้
พอเขาอายุได้ประมาณสามสิบ ก็รับช่วงต่อบริษัทหลิงซื่อแล้ว แต่บริษัทหลินซื่อ ก็เป็นงานของเขา
ทำไมหลินเจิ้นเชื่อใจเขาขนาดนี้?
เวินจิ้งมองหลิงอี้อย่างไม่รู้ตัว ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ทั้งเป็นผู้ใหญ่และสุขุม แต่เธอดูแล้ว คนคนนี้ไม่ผ่าน
“เธอมองฉันแบบนี้ ฉันจะรู้สึกว่า เธอชอบฉันแล้วนะ” หลิงอี้กระตุกยิ้ม
“ฝันไปเถอะ ฉันไม่ได้ตาบอดนะ”
“เวลาของคุณตามีไม่มากแล้ว เธอต้องคิดดีๆ แล้วเธอก็ไม่มีทางเลือกแล้ว”
หลิงอี้หัวเราะ “ที่จริงแล้ว เธอจะคิดหย่ากับมู่วี่สิง แล้วมาแต่งงานกับฉันมั้ย ฉันจะช่วยเธอดูแลบริษัทหลินซื่อเป็นอย่างดี”
เวินจิ้ง: …….
“หน้าไม่อาย”
เธอกลับไปที่ห้องแล้ว
หลิงอี้หรี่ตา ตาที่ยิ้มอ่อนๆ ค่อยยิ้มขึ้น
เขาขึ้นไปหาหลินเจิ้น
“คุณปู่ ผมไม่รู้จะทำยังไงกับหลานสาวท่านแล้ว เธอชอบมู่วี่สิงไปแล้ว”
“เธอจะคบกับมู่วี่สิงไม่ได้ หลิงอี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน พวกเขาต้องหย่ากัน” หลินเจิ้นพูดอย่างโมโห
“คุณปู่มีวิธีอะไรมั้ยครับ?”
” วันอาทิตย์นี้คืองานวันปาร์ตี้วันเกิดของฉัน พอถึงเวลานั้นนายก็นอนห้องเดียวกับหลานสาวฉัน วันถัดมา ฉันเรียกนักข่าวมา!”
“ถ้าหาก เวินจิ้งไม่ยอมล่ะครับ?”
“นายก็อุดปากเธอซะ!”
หลิงอี้หัวเราะ เรื่องนี้แค่คิดก็สนุกแล้ว
“คุณปู่ ถ้าท่านคิดว่ามู่วี่สิงไม่โอเค ทำไมตอนแรกถึงยอมให้เขาแต่งงานกับเวินจิ้งล่ะครับ?”
“งานแต่งมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย ที่จริงฉันคิดว่า หลานสาวแต่งงานกับมู่วี่สิงแล้วจะมีความสุข แต่ฉันคิดผิด รอบข้างผู้ชายคนนั้น มีแต่อันตรายที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันต้องจัดการให้หลานสาวฉันมีความสุขให้ได้”
หลิงอี้ขมวดคิ้ว ก็จริง ฐานะของเวินจิ้งก็น่าอึดอัด เธอก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลฉี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่กับตระกูลฉี ก็เข้ากันไม่ได้มาตั้งนานแล้ว
การเปลี่ยนแปลงในอนาคต ก็ไม่ใช่จะไม่เอี่ยวกับเวินจิ้ง
“นายเป็นเด็กที่ฉันดูมาตั้งแต่เล็กจนโต หลิงอี้ ฉันเชื่อใจนาย แล้วฉันก็ดูออก ว่านายชอบหลานสาวฉันมาก”
“คุณปู่ ผมชอบเธอ แต่ว่า เธอไม่ได้ชอบผม”
ผู้หญิงคนนี้ เย็นชาจริงๆ
เขาคิดว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้แย่ไปกว่ามู่วี่สิง แต่ เขาแค่คิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดดสำหรับเธอ
“ที่มู่วี่สิงมาขอเธอ ฉันสงสัยว่าจะรู้เรื่องฐานะของเธอแล้ว นายจะต้องบอกความจริงเรื่องนี้กับหลายสาวนะ อย่าปล่อยให้เธอโดนมู่วี่สิงกลั่นแกล้งไปตลอด!”
โรงพยาบาล
เมื่อลู่หวั่นรู้สึกตัวมันก็เป็นหลังจากนั้นอีกวันแล้ว อานฉิงเฝ้าอยู่ข้างเธอ
พอเห็นเธอฟื้นแล้ว คิ้วที่ขมวดแน่นของเขาก็ค่อยๆ คลายลง
“ฉันเป็นอะไรไป?” ลู่หวั่นจับที่หน้าผาก รู้สึกไม่ดีไปทั้งตัว
“เธอติดอยู่ในลิฟต์ เมื่อคืนโดนช่วยออกมา”
ลู่หวั่นขมวดคิ้ว สมองของเธอค่อยๆ นึกถึงความทรงจำที่เลือนรางนั่น
แต่ เธอก็ไม่กล้าจะนึกถึงมันต่อแล้ว
ภาพที่หลายปีก่อนเกือบจะโดนข่มขืนเธอไม่กล้าจะนึกถึงมัน
แต่เมื่อวาน ในที่ที่เดียวกัน เธอคิดว่าเรื่องอย่างเดียวกันมันจะเกิดขึ้นกับเธออีก
เธอมีสีหน้าหงุดหงิดอย่างจริงจัง
“เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย?” ลู่หวั่นถาม
“ไม่เป็นไร” อานฉิงรู้ ว่าเธอถามถึงเวินจิ้ง
“ฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่”
มองดูตัวเองยังโดนให้น้ำเกลืออยู่ แต่เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้ว
“อีกแป๊บหมอจะเอาผลตรวจมา ถ้าไม่เป็นอะไรก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
ลู่หวั่นพยักหน้า เธอเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของอานฉิง เธอขมวดคิ้วขึ้น
เขาอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ?
“นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปส่ง”
“เธอคิดว่าฉันจะวางใจเหรอ?” น้ำเสียงของอานฉิงดูเย็นชาขึ้นอีก
ขณะนั้น ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น มู่วี่สิงเคาะประตูแล้วเข้ามา
พอเห็นเขา ลู่หวั่นก็ตาลุกวาว
“คุณอาน ผมมาหาลู่หวั่นเพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอสองคน”
อานฉิงปิดประตู ในห้องพักผู้ป่วยเหลือแค่ลู่หวั่นกับมู่วี่สิง
“นายมาเพราะเป็นห่วงฉันเหรอ?” ลู่หวั่นถาม
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว แล้วหยิบบันทึกผู้ป่วยของเธอขึ้นมาดู ลู่หวั่นไม่ได้ป่วย แค่ตอนเด็กเจอเรื่องฝังใจ ติดอยู่ในสถานที่แบบนั้นเลยทำให้เธอตกใจได้ง่าย
เขารู้สถานการณ์ของเธอ
“ฉันหวังว่าเธอจะถอยตัวจากโครงการบริษัทหลินซื่อ” มู่วี่สิงยิงคำพูด
“อะไรนะ?” ลู่หวั่นถึงกับงง ไม่คิดว่ามู่วี่สิงจะพูดเรื่องนี้
แต่ว่า ตอนนี้โครงการอยู่ในช่วงท้ายๆ แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ว่าเธอเชื่อว่าจะจัดการได้
“สภาพจิตใจของเธอในตอนนี้ บริษัทหลินซื่อก็คงไม่ให้เธอดูแลโครงการนี้ต่อไปหรอก” มู่วี่สิงพูด
ตอนนี้หลิงอี้เตรียมผู้ดูแลโครงการคนอื่นไว้แล้ว
“สภาพจิตใจฉันไม่มีปัญหา……เดี๋ยวนะ วี่สิง นี่นายกำลังเป็นห่วงฉันเหรอ?” ลู่หวั่นถามอย่างตื่นเต้น
ระหว่างพวกเขา เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้คุยกันอย่างสงบแบบนี้
“อืม คุณปู่ไม่อยากให้เธอเกิดเรื่อง” มู่วี่สิงพูดขึ้นนิ่งๆ
เรื่องนี้ถึงหูของมู่เฉิงแล้ว รู้ว่าเขาอยู่ที่หนานเฉิง เลยสั่งให้ดูแลลู่หวั่นให้ดี
“คุณปู่ ที่แท้เป็นคุณปู่” ลู่หวั่นฝืนยิ้ม
“โครงการของบริษัทหลินซื่อไม่ต้องยื่นมือเข้าไป ฟังที่ฉันบอก” มู่วี่สิงก้มหน้า
“รายงานที่ฉันให้นาย นายดูหรือยัง? ฉันเจอปัญหาเล็กน้อย”
หลังจากที่ได้ยิน มู่วี่สิงก็ขมวดคิ้ว
“เรื่องที่จะพูด ก็มีเท่านี้” มู่วี่สิงไม่ได้ตอบคำถาม แล้วรีบออกไป
ลู่หวั่นขมวดคิ้ว คิดไม่ออกว่า ทำไมมู่วี่สิงถึงอยากจะให้เธอถอนตัวจากโครงการ
แต่ว่าไม่นานเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากหลิงอี้ เพราะร่างกายเธอ ตอนนี้เลยจัดการให้คนอื่นมาเข้ามาดูแลโครงการ ลู่หวั่นแค่ส่งต่องานที่เมื่อก่อนทำก็โอเคแล้ว
ส่วนเรื่องหลังจากนี้ ที่จริงแล้วตัวหลักของโครงการนี้คือบริษัทหลินซื่อ ลู่หวั่นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมด้วย
ความหมายก็คือจะเทิดทูนเธอที่เป็นหุ้นส่วน
“ทำไมนะ? ร่างกายก็ฉันก็ไม่มีปัญหา วันนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
หลิงอี้พูดอย่างเย็นชา “เธอทำร้ายเวินจิ้ง เธอคิดว่าท่านหลินจะปล่อยเธอไว้มั้ย?”
ลู่หวั่นหน้าซีด เวินจิ้ง……เวินจิ้งอีกแล้ว!