บทที่ 639คุณเอาใจผม
เวินจิ้งยิ้มอย่างอึดอัด “คุณตื่นมาแล้วหรือ”
มู่วี่สิงเดินมาอยู่ตรงหน้าเธอด้วยร่างที่สูงยาว แววตาลุ่มลึก หน้าตาเรียบเฉย
“คุณนั่งอยู่ข้างนอกทั้งคืนหรือ”
เวินจิ้งถอยหลังเล็กน้อย ทำท่าพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า “เปล่า ฉันแค่ออกมาดื่มน้ำแค่นั้นเอง”
มู่วี่สิงที่สีหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ที่หัวเตียงของคุณก็มีน้ำแก้วหนึ่ง”
เวินจิ้งชะงัก เลี่ยงสบสายตาของเขา แล้วหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเธอก็กอดเอวตัวเองพร้อมพูดเบาๆ “ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย คุณไปนอนต่อสักพักเถอะ”
ความจริงเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลกับมู่วี่สิงหรือเปล่า
แต่ว่าปฏิกิริยาของมู่วี่สิงทำให้เวินจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่ได้ผลักเธอออก แต่กลับคว้าเอวบางของเธอมาโอบแล้วพาเธอกลับไปที่ห้อง
หลังจากที่ทอดกายลงบนเตียง เวินจิ้งรู้สึกง่วงนอนขึ้น เมื่อพลิกตัวแล้วขดตัวไปข้างเตียง เธอได้ยินเสียงเรียกเบาๆของมู่วี่สิง “จิ้งจิ้ง”
“หืม”
“คุณเอาใจผมหน่อย” น้ำเสียงที่มุ่งมั่นของเขา
อาการง่วงซึมนั้นทำให้เวินจิ้งได้ยินเสียงมู่วี่สิงที่ไม่ค่อยชัดเจน จึงถามพึมพำขึ้น “อะไร”
มู่วี่สิงกลับไม่มีการตอบใดๆ เพียงแต่เอื้อมมือไปกอดเธอแน่นๆไว้ในอ้อมกอด
เวินจิ้งดิ้นด้วยความอึดอัด สักพักก็หลับไปในที่สุด
แต่ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ มู่วี่สิงกลับยังลืมตาอยู่ เธอที่ขดตัวเล็กๆอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทั้งใบหน้าแทบจะซุกอยู่ในทรวงอก เช่นนี้ทำให้เขาเห็นสีหน้าของเธอได้ไม่ชัดว่ามีลักษณะอย่างไร
ครั้นแล้วเขาจึงค่อยๆขยับตัวเล็กน้อย แล้วยกหน้าเธอให้เงยขึ้น แสงจากภายนอกได้ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เขาจึงมองเห็นใบหน้าอันผุดผ่องของเธอได้อย่างชัดเจน
เขาสัมผัสได้ว่าช่วงนี้เธอมักจะนอนไม่หลับ
เวลานี้เหมือนมีของบางอย่างมากระทบเบาๆ ลึกๆภายในใจมู่วี่สิงเผยเห็นถึงความสุขความพอใจ
ความจริงแล้วเธอไม่ได้นอนหลับสนิทมานานแค่ไหนแล้ว
เขาไม่ได้กวนหรือปลุกเธออีก เพียงแค่ทำการขยับตัวออกเบาๆ
เมื่อจากไปแล้ว เขาก็ย้อนกลับมาหยิบโทรศัพท์เธอที่อยู่ใต้หมอน
หลังจากตื่นนอน เวินจิ้งมองดูนาฬิกาข้างหน้าต่างอยู่สักพัก ตกใจขึ้นโดยไม่มีปฏิกิริยาสนองใดๆ นึกว่าตัวเองนั้นตาฝาดไป
เธอได้ตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์แล้วไม่ใช่หรือ
เธอรีบควานหาโทรศัพท์อย่างเร่งด่วน ที่เดิมทีเธอวางไว้ใต้หมอนพร้อมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ กลับพบว่าได้ถูกยกเลิกนาฬิกาปลุกแล้วโทรศัพท์ถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างสงบ
เธอไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับการกระทำของมู่วี่สิงว่าทำไมถึงทำแบบนี้ เพราะว่าอย่างไรตัวเธอนั้นได้สายไปแล้ว เธอจะต้องรีบเร่งกลับไปที่บริษัทหลินซื่อเพื่อเข้าร่วมประชุมในตอนเช้า
ขับรถมุ่งหน้าสู่บริษัทหลินซื่อ โชคดีที่เลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วนของเช้าวันจันทร์ได้
เวินจิ้งสวมใส่ด้วยรองเท้าส้นสูงก้าวเดินไปที่ห้องทำงาน บังเอิญพบเข้ากับเลขาที่เงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์ มองเธอด้วยความตื่นตกใจ
เวินจิ้งรีบเร่งไปที่ห้องทำงาน แต่ว่าไม่ทราบด้วยสาเหตุใดเธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา แล้วเธอปรับลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลง
เวลานี้เลขาฯเดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “ประธานเวินคะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
“เกิดเรื่องอะไร”
“ยามหน้าบริษัทกำลังทะเลาะกับคนอื่น มีคนได้รับบาดเจ็บด้วยค่ะ”
“เขาเป็นใคร”
“เป็นนักข่าวค่ะ พวกเขาไม่ได้นัดไว้ ดังนั้นยามจึงห้ามไม่ให้เข้ามา”
“นักข่าวมาทำอะไรกัน” เวินจิ้งสงสัยขึ้น
เลขาฯยิ้มทื่อขึ้น “ประธานเวิน คุณดูข่าวสารก่อน”
ปกติแล้วเวินจิ้งมักจะมีนิสัยชอบดูข่าวสารเป็นประจำ แต่ว่าวันนี้เนื่องด้วยตื่นสาย จึงได้พลาดกิจวัตรนี้ไป
เธอคลิกที่เบราว์เซอร์ของคอมพิวเตอร์ทันที เมื่อเธอเห็นหัวข้อข่าวแล้วก็ชะงักขึ้นทันที
เวลาผ่านไปสักพัก เมื่อเครื่องปรับอากาศได้เป่ามาทำให้เธอปวดหัวขึ้น เธอถึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์
เดิมทีเธอโทรออกหาแม่ของเธอ แต่ก็ได้กดวางสายอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่รับโทรศัพท์เป็นพยาบาลส่วนตัวของหลินเวย
“แม่คะ วันนี้ได้ตรวจสุขภาพหรือยัง”
“คุณเวินคะ คุณนายหลินทำการตรวจสุขภาพทุกเช้าของทุกวันค่ะ ตอนนี้ยังไม่มาค่ะ”
ได้ยินดังนั้นแล้ว เวินจิ้งถึงกับถอนหายใจโล่งอกออกมา หลังจากวางสายแล้วเธอก็โทรไปยังหมายเลขอื่น
กว่าอีกฝ่ายจะรับสายก็ใช้เวลานานพอสมควร
“ว่าไง”
เมื่อเวินจิ้งได้ยินเสียงนี้แล้ว ความโกรธจึงเข้าครอบงำอย่างรวดเร็ว
ความฉงนใจกับการพาดหัวข่าวที่อยู่ตรงหน้า “ความสัมพันธ์มู่วี่สิงกับหลิงเหยาสั่นคลอน เมื่อคนใหม่เข้ามาแทนที่”
เนื้อหาด้านล่างเป็นภาพที่นักข่าวแอบถ่ายไว้ ภาพแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ภาพกลุ่มแรกเป็นภาพที่เวินจิ้งเข้าออกคอนโด ภาพกลุ่มหลังเป็นภาพเกี่ยวกับหลิงเหยาที่อยู่เมืองหนาน ข้างกายเธอยังจูงเด็กน้อยไว้
ด้วยที่เป็นข้อเท็จจริง อีกทั้งมีรูปเป็นภาพประกอบ เวินจิ้งกลายเป็นมือที่สามอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
“ทำไมนักข่าวพวกนั้นถึงถ่ายรูปได้” เวินจิ้งถามด้วยความกระวายใจ
เธอรู้สึกว่าหากไม่ใช่มู่วี่สิงที่รู้เห็นเป็นใจ นักข่าวพวกนั้นคงไม่กล้ารายงานข่าวแบบนี้ออกมา
“ผมเองก็ประหลาดใจเช่นกัน” น้ำเสียงมู่วี่สิงที่ยังคงเฉื่อยชาไม่ร้อนรน
“ประหลาดใจอย่างนั้นหรือ สำหรับทายาทผู้สืบทอดตระกูลมู่แล้ว ในโลกใบนี้มีอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจได้อีกด้วยหรือ” เวินจิ้งยิ้มอย่างเยือกเย็น
แสงสาดส่องเจิดจ้าที่นอกหน้าต่าง มู่วี่สิงนั่งอยู่ที่ห้องทำงาน นัยน์ตาดำหยีขึ้น สักพักก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “มีอย่างแน่นอน”
“คุณทำไมถึงทำแบบนี้” เวินจิ้งยืนกรานยืนยันว่านี่เป็นความตั้งใจของมู่วี่สิง
เพราะอย่างไรเขาก็ต้องการที่อยากจะทรมานเธอ
“ผมเคยได้บอกหรือว่าเรื่องของเราไม่สามารถเปิดเผยได้” มู่วี่สิงถามอย่างเย็นชา
เวินจิ้งชะงัก พวกเขาไม่ได้ตกลงเรื่องนี้กันก่อนจริงๆ
แต่ว่ามู่วี่สิงเคยบอกว่าจะไม่ให้หลิงเหยาทราบเรื่องนี้
และตอนนี้หลิงเหยาจะต้องทราบเรื่องอย่างแน่นอน
“ในเมื่อคุณไม่อยากให้คนอื่นทราบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา ก็แค่ปฏิเสธไปก็ได้นิ”
“คุณคิดว่าจะมีคนเชื่ออย่างนั้นหรือ” เวินจิ้งตอบด้วยความโกรธ
เรื่องราวอื้อฉาวเหล่านี้ถ้าได้แพร่กระจายออกไป สิบปากมาช่วยอธิบายก็ทำให้ไม่กระจ่างขึ้น
“อย่างนั้นก็เป็นปัญหาของคุณ”
เวินจิ้งโกรธจนตัดสายทิ้งไป ซาตาน! โรคจิต! สารเลว!
สามปีก่อนทำไมเธอถึงตาบอดไปชอบผู้ชายแบบนี้ได้นะ
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะให้ข่าวสารเหล่านี้แพร่กระจายไปมากกว่านี้ไม่ได้ จะต้องทำการระงับให้โดยเร็วที่สุด
หลังจากที่เธอได้ให้แผนกประชาสัมพันธ์ทำตามที่เธอสั่งแล้ว เธอจึงออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทหลินซื่อทันที มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลหนานเฉิง
เมื่อเห็นเวินจิ้งมาหา มู่วี่สิงไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด หนำซ้ำยังนั่งอยู่ที่โซฟาอย่างสง่า ด้วยท่าทีกำลังรอเธออยู่อย่างไรอย่างนั้น
“มู่วี่สิง ฉันต้องการให้คุณจัดการลบข่าวสารนี้ให้หมด!” เวินจิ้งจ้องหน้าเขาที่สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ถ้าหากว่าแม่ฉันทราบเรื่องนี้ขึ้นมา อาจจะได้รับการกระทบกระเทือน แม่จะถูกกระทบกระเทือนอีกไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เธอคือประธานบริษัทหลินซื่อ เป็นหน้าเป็นตาเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นส่วนบริษัทหลินซื่อ ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้น บริษัทหลินซื่อจะได้รับผลกระทบไปด้วย
และสถานการณ์บริษัทหลินซื่อเพิ่งจะดีขึ้น เธอไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้อีก
เธอกำหมัดแน่นมองไปที่มู่วี่สิงอย่างเยือกเย็น
เขาที่จิบกาแฟช้าๆ แล้วพูดเบาๆขึ้น “คุณกำลังสั่งผมหรือ”
“ไม่ใช่ ฉันกำลังขอร้องคุณ” เวินจิ้งพูดอย่างใจเย็น
เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะไปเจรจาต่อรองกับมู่วี่สิงได้ ถึงอย่างไรในสายตาของเขาเธอก็เป็นคนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีไปตั้งนานแล้ว