บทที่ 649 เขาจะพยายามช่วยเธออย่างเต็มที่
อากาศในต้นฤดูใบไม้ร่วง มีฝนตกปรอยๆอย่างไม่หยุดหย่อน
ชายหนุ่มวัยรุ่นลงจากรถแท็กซี่ มือข้างหนึ่งกางร่ม มืออีกข้างยันประตูเอาไว้ รอหญิงสาวอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่
เขาและเธอรักษาระยะห่างระหว่างกันอยู่ตลอด แต่กระนั้นชายหนุ่มก็คอยระวังไม่ให้หญิงสาวข้างกายเปียกฝน
ในห้องโถงขนาดใหญ่กำลังเปิดเพลงสบายๆ เวินจิ้งสั่งน้ำชามาแก้วหนึ่ง จากนั้นก็ชงชาให้หยูจิ่งห้วน แล้วถึงได้ส่งไปให้เขา
สายตาของเขาทอดมองมือเรียวของเธออยู่ตลอด เมื่อรับเอาน้ำชามา เขาก็พูดยิ้มๆว่า “ขอบคุณครับ”
ทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร ข่าวของเธอกับมู่วี่สิงเป็นประเด็นดุเดือดในประเทศFอยู่สักพัก แต่ว่ายังไม่ถึงหนึ่งวันดีข่าวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ช่วงนั้นเขาออกไปทำงานนอกสถานที่พอดี โทรมาหาเวินจิ้งทีไรโทรศัพท์ของเธอก็ปิดเครื่องอยู่ตลอด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่กังวล แต่พอคิดได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ใช่คนรักกันแล้ว สุดท้ายเขาเลยไม่ไปหาเธอ
ถึงยังไงตอนนั้น เธอก็พูดปฏิเสธเขาอย่างเย็นชาถึงขนาดนั้นแล้ว
แต่พอตอนนี้ได้มาเจอเวินจิ้ง เธอก็เหมือนไม่ใช่คนเดียวกับผู้หญิงคนนั้นที่เขาได้รู้จักครั้งแรก
เหมือนเธอจะเคยชินกับการใช้รอยยิ้มปกปิดอะไรบางอย่าง ในตอนแรกที่ได้รู้จักเธอ แววตาของเธอดูใสแจ๋วชัดเจน แต่ตอนนี้แววตาคู่นั้นกลับมืดครึ้มราวกับผืนน้ำมหาสมุทร จนทำให้เขาอดนึกไปถึงมู่วี่สิงที่ก็มีดวงตาลึกล้ำจนยากจะคาดเดาเหมือนกันอย่างช่วยไม่ได้
“ขอบคุณนะที่ยอมมาเจอฉัน” เวินจิ้งจิบชา เมื่อนึกไปถึงท่าทางอึดอัดของตัวเองตอนที่ทั้งสองมาเจอกันครั้งสุดท้าย ก็อดยิ้มเยาะตัวเองไม่ได้
เดิมทีหยูจิ่งห้วนสวมใส่ชุดสูทอย่างเป็นทางการ แต่พอออกมาข้างนอกเขาก็ปลดเนกไทออก อยู่ในลุคสบายๆ บวกกับทรงผมสั้นๆของเขา ก็ยิ่งขับให้ใบหน้าของเขาหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม
เขาคลี่ยิ้ม จนเผยให้ฟันขาวเรียงตัวสวย “ไม่เป็นไร”
“แล้วก็เรื่องที่ฉันเคยไหว้วานคุณ ขอบคุณนะ ” เวินจิ้งช้อนตาขึ้น หน้าม้าแผ่ปกคลุมเกะกะลูกตา จนเธอต้องหยีตาลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
หยูจิ่งห้วนเงียบไป จากนั้นก็กุมแก้วชาเอาไว้แน่น แล้วพยักหน้ารับ
เวินจิ้งสบตากับเขา แล้วยิ้มออกมาอย่างสดใส “คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่เก่งเรื่องห้างสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงอยากขอรบกวนให้คุณคอยหนุนหลังให้สักหน่อย แต่ถ้าลำบากใจ ก็ไม่เป็นไรนะ”
หยูจิ่งห้วนมองเธออยู่นาน จากนั้นถึงได้พูดขึ้นว่า “ผมรู้”
เธอลุกขึ้นยืน “งั้นก็ตามนี้นะ คงรบกวนเวลาของคุณแย่ ขอโทษด้วยนะ”
เขาเองก็ผุดลุกขึ้น ยื่นมือออกไปตบไหล่เธอเบาๆ พูดเสียงทุ้มหนักว่า “เวินจิ้ง อย่าฝืนมากเกินไปล่ะ”
เธอยิ้มให้เขา จากนั้นก็ค่อยๆหันหลังกลับ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง หยูจิ่งห้วนขมวดคิ้ว รู้สึกแค่ว่าเวินจิ้งในตอนนี้ ทำให้เขามองอะไรเธอไม่ออกจริงๆ
แม่ของเธอป่วย บริษัทหลินซื่อเริ่มทรงตัวไม่อยู่ ตอนนี้เธอถึงได้เป็นฝ่ายมาขอให้เขาช่วยมองหารองประธานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม อันที่จริงแล้วเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร เงื่อนไขของตำแหน่งนี้ที่บริษัทหลินซื่อต้องการก็คือต้องมีประวัติเคยเรียนเกี่ยวกับการแพทย์ ทั้งยังต้องมีความสามารถในด้านงานวิจัย และก็โชคดีที่ในกลุ่มของเขามีคนที่มีความสามารถระดับนี้อยู่ไม่น้อยเลย
เพียงแต่ว่า ส่วนใหญ่ถูกบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปหว่านล้อมไปทำงานด้วยจนเกือบจะหมดแล้ว
ดังนั้น เอาจริงๆเขาเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะสามารถช่วยเธอได้ แต่ว่า เขาจะพยายามช่วยเธออย่างเต็มที่
จู่ๆเขาก็นึกถึงตอนที่ได้เจอเธอครั้งแรกที่โรงพยาบาล ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา ก็เห็นเธอในชุดกาวน์สีขาว ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยนจริงใจ แต่ว่าตอนนี้ เหมือนเวินจิ้งจะออกห่างเขาไปไกลมากแล้ว
หัวใจของเขา ปวดหน่วงเล็กน้อย
ห้องที่เวินจิ้งจองไว้เป็นห้องธรรมดา เธอสอดคีย์การ์ดลงในตัวเครื่อง จากนั้นก็ต้มน้ำร้อน แล้วถึงได้เริ่มจัดการของในกระเป๋า
ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอย่างเนิบช้า คนที่มาก็คงไม่ได้รีบร้อนเท่าไหร่
เวินจิ้งแสยะยิ้มเย็น ไม่ได้รีบร้อนไปเปิดประตูเช่นเดียวกัน ทำเพียงแค่จัดการของในกระเป๋าจนเสร็จ จากนั้นถึงได้ไปเปิดประตู
มู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู เขาไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร มีแค่รอยยิ้มจางๆ ร่างกายสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำ
เธอให้เขาเข้ามาอย่างไม่คิดอะไรมาก “คุณมาพอดีเลย น้ำเริ่มร้อนพอดี”
พูดจบ เธอก็ยกกาน้ำร้อนขึ้นมา จากนั้นก็รินใส่แก้วน้ำชาอย่างนุ่มนวล หลังจากรินเสร็จ เธอก็ชงชาแก้วที่สองส่งให้มู่วี่สิง
เขามองการกระทำที่แสนเรียบนิ่งของเธอ สายตากลับสะดุดเข้ากับแผลน้ำร้อนลวกที่ยังไม่หายดีบนมือของเธออย่างช่วยไม่ได้
ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีแค่ไอความร้อนที่ลอยฟุ้งออกมาจากถ้วยน้ำชา ค่อยๆแผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบของทั้งสองคน
“รอผมเหรอ?” เขายื่นมือออกไปลูบหัวเธอเบาๆ จากนั้นก็ถามยิ้มๆอย่างที่นานๆทีจะมีมาให้เห็น
“ถ้าคุณยังไม่มา ฉันก็ว่าจะนอนแล้ว” เวินจิ้งหาวออกมาวอดหนึ่ง ดันมือของเขาออกอย่างอ้อยอิ่ง ในน้ำเสียงพกพาแววขี้อ้อนมาด้วย
ถึงแม้จะรู้ดีว่าเธอแค่เสแสร้งทำเป็นนุ่มนวลเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่เขาก็ยังปล่อยเลยตามเลย
“ทำไมไม่พักที่โรงแรมผม?”
“ฉันไม่อยากถูกนักข่าวถ่ายลงหน้าหนึ่งอีกแล้ว”
“ที่นี่ไม่ใช่ประเทศFนะ” มู่วี่สิงพิงโซฟา จากนั้นก็มองมาที่เธออย่างลึกซึ้ง “คุณกลัวว่าจะถูกถ่ายตอนอยู่กับผม แล้วตอนอยู่กับหยูจิ่งห้วนล่ะ?”
เธอมองเห็นความเย็นชาในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังยิ้มออกมาบางๆเหมือนเดิม “ทำไม คุณโกรธ ที่ฉันไปเจอเขาเหรอ?”
ภายใต้แสงไฟสีนวล เวินจิ้งสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาว ผมดำสลวย โครงหน้าละมุน และเสียงเล็กเสียงน้อยที่อ่อนหวานแบบนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่เธอใช้มันพูดกับเขาหลังจากที่ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้ง
มู่วี่สิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เอื้อมมือออกไปดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด พูดเสียงนุ่มว่า “รู้ว่าผมจะโกรธ แล้วทำไมยังไปเจอเขาอีกล่ะ? หืม?”
“เรื่องงานน่ะ” เธอกำลังเพลิดเพลินกับสัมผัสนุ่มนวลจากฝ่ามือของมู่วี่สิงที่ลูบหัวของเธออยู่ จากนั้นก็หลับตาลงอย่างอ้อยอิ่ง เธอที่เป็นแบบนี้ช่างเหมือนแมวตัวน้อยที่เล่นซนมาจนอ่อนเพลียเสียจริง
“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ?”
“ผมไม่รู้” มู่วี่สิงพูดออกมาราวกับคิดอะไรอยู่ในหัว “ทำไมคุณต้องไปขอความช่วยเหลือจากเขา ทำไมไม่มาขอผมล่ะ?”
“เพราะฉันอาจจะใส่ร้ายคุณยังไงล่ะ…..” เวินจิ้งยังคงหลับตา เริ่มง่วงขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็แผ่วเบาลง
“งั้นเหรอ?” เขากลับรู้สึกน่าสนใจ จากนั้นจึงดันเธอออกเบาๆ “ใส่ร้ายยังไงล่ะ?”
“เปล่าๆ ฉันก็แค่ให้เขาช่วยหารองประธานคนใหม่ให้น่ะ”
พูดจบ เวินจิ้งก็หลับไปจริงๆ ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีก
มู่วี่สิงมองใบหน้านิ่งสงบของเธอ ผิวของเธอขาวเนียน ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ ทุกส่วนบนใบหน้าดูสมบูรณ์แบบราวกับเป็นเด็กสาววัยรุ่น
แต่ว่า เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“ไปนอนบนเตียงเถอะ คนดี” มือของเขาลูบหลังของเธออย่างไม่หนักไม่เบา เอ่ยพูดด้วยเสียงทุ้มหนักเล็กน้อย
เวินจิ้งส่งเสียง “อื้อ” ออกมาโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็นอนนิ่งต่ออย่างขี้เกียจ ชายหนุ่มจนปัญญา จึงตัดปัญหาด้วยการอุ้มเธอขึ้นมาในท่าเจ้าสาว หลังจากวางเธอลงบนเตียง ก็เปิดไฟบนหัวเตียงเอาไว้ จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
ห้องนี้เป็นห้องเตียงคู่ เตียงทั้งสองไม่ได้ใหญ่มาก ตอนที่มู่วี่สิงเดินออกมาเขาสวมใส่แค่ชุดคลุมอาบน้ำ จากนั้นก็เดินมาเอนกายนอนลงข้างๆเวินจิ้ง
เธอหลับตา ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกได้ชัดว่าเธอกำลังหลับ แต่พอเขาขยับเข้าไปใกล้ เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกตัวหนีพร้อมพูดพึมพำอะไรสักอย่าง