บทที่ 645 ห้ามหนี
ในตอนที่ต้องกล่าวลากับสองสามีภรรยา เวินจิ้งก็รู้สึกตัดใจไม่ลง ถึงยังไงช่วงเวลาที่ได้มาอยู่ที่นี่ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขที่สุดแล้ว
ถ้าไม่มีมู่วี่สิงมาด้วย ก็คงจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้
“คราวหน้าถ้ามีเวลาก็มาอีกนะ” คุณยายกอดเวินจิ้งอย่างอบอุ่น
จนกระทั่งมู่วี่สิงพาขับรถกลับ เวินจิ้งถึงได้มีสติคืนมาจากอารมณ์ดิ่งๆ แล้วถามว่า “คุณ….จ่ายค่าที่พักหรือยัง?”
มู่วี่สิงกระตุกริมฝีปาก แต่กลับไม่ตอบอะไรกลับมา
เวินจิ้งหันหน้าไปอีกทางอย่างแข็งทื่อ รอบข้างเปลี่ยนเป็นเงียบสนิทในทันที รถบนถนนใหญ่มีไม่เยอะ พูดได้เลยว่าบรรยากาศวังเวงเอามากๆ เวินจิ้งขยับพิงเบาะ มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อๆ จากนั้นความง่วงก็ค่อยๆจู่โจมเข้ามา
ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว และก็ไม่รู้ว่ารถหรูจอดลงตอนไหน เบาะคนขับไม่มีคนอยู่แล้ว
เวินจิ้งปลดเข็มขัดนิรภัยออก ในค่ำคืนมืดสลัว มู่วี่สิงกำลังยืนพิงประตูรก ปลายนิ้วคีบบุหรี่ที่เพิ่งจุด ปลายบุหรี่ส่งแสงออกมาเล็กน้อย
“คุณ….รีบกลับไม่ใช่เหรอ?” เวินจิ้งอดถามไม่ได้
เขาไม่ได้ตอบ ทำเพียงแค่หมุนตัวมา แล้วทอดสายตามาที่เธอ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “มีอะไร?”
เวินจิ้งลังเลอยู่สักพัก ก็พูดขึ้นว่า “ฉันบอกให้คนมารับฉันดีกว่า”
เขาไม่ตอบ เข้ามาในรถแล้วเปิดไฟ เมื่อรอให้เธอกลับมานั่งข้างกาย ถึงได้เอ่ยปากพูดนิ่งๆ “ไม่จำเป็น คุณอยากไปหาแม่ไม่ใช่เหรอ? หลิงเหยาพาลูกมาที่โรงพยาบาลเดียวกันพอดีเลย”
รกหรูแล่นไปบนถนนใหญ่ด้วยความเร็ว เวินจิ้งมองไปยังเมืองที่ก็ยังถือว่าเป็นสถานที่ที่เธอไม่คุ้นเคยอยู่ดี รู้สึกได้ว่าทั้งร่างกายถูกความหนาวเย็นปกคลุมเอาไว้
“คุณแน่ใจนะว่าจะให้หลิงเหยาเห็นว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุด
จู่ๆเขาก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันหน้ามามองเธอทีหนึ่ง “คุณยังมีเวลาอีกห้านาที ไหนมาลองดูซิว่าคุณจะทำให้ผมเปลี่ยนใจได้หรือเปล่า”
เวินจิ้งก้มหน้าลง เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนแทบจะเป็นแผล
ในหัวของเธอขาวโพลนไปหมด พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ทำไม?”
เป็นเวลานาน ในที่สุดเวินจิ้งก็ถามออกมาหนึ่งประโยค “คุณไม่รักเธอหรือไง?”
ความสัมพันธ์ของเขากับหลิงเหยาในสายตาของทุกคน ก็คือความสัมพันธ์ของคนรักอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยเห็นทั้งสองมีการกระทำที่ใกล้ชิดสนิทสนมอะไรเลย
“คุณลองทายดูสิ” ในตอนที่กำลังรอไฟแดง จู่ๆมู่วี่สิงก็ขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ตบแปะๆลงบนแก้มเธอเบาๆ
เธอหันหลบ คิ้วสวยได้รูปขมวดมุ่น “พวกคุณทะเลาะกันเหรอ? ก็เลยใช้ฉันมาประชดเธอว่างั้น?”
ริมฝีปากของมู่วี่สิงหยักมุมโค้งขึ้นกว่าเดิม แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความลึกซึ้งมีความหมาย “ผมทำไม่ลงหรอก”
คำพูดนี้หมายความว่ายังไง?
ทำร้ายหลิงเหยาไม่ลง หรือว่า ใช้เวินจิ้งเป็นเครื่องมือไม่ลง?
เวินจิ้งนิ่งงัน ไม่นานไฟแดงก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียว จากนั้นรถก็ขับต่อด้วยความเร็ว มู่วี่สิงไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อเลี้ยวรถ ก็มาถึงที่โรงพยาบาลแล้ว
เมื่อรถหรูวิ่งเข้ามาจอดในลานจอดรถ หัวใจของเวินจิ้งก็เต้นอย่างรัวเร็ว เธอกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ในตอนที่รถจอดสนิท เธอก็นั่งนิ่ง ส่วนเขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยให้เธออย่างใจเย็น จากนั้นก็เปิดประตูออกให้ ด้วยท่าทีที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนไม่น้อย “ลงรถ”
ไฟในลานจอดรถมืดสลัวมาก เวินจิ้งจึงก้าวเท้าเร็วๆ หลังจากที่โดนเขาตบแก้มเบาๆอย่างไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้เธอก็หวาดระแวงไปหมด
เสียงฝีเท้าด้านหลังดังตามาอยู่ตลอด จากนั้นมู่วี่สิงรวบจับข้อมือของเธอ “จะเดินเร็วอะไรขนาดนั้น?”
เมื่อเวินจิ้งหันไป ก็ปะทะเข้ากับดวงตาน่ากลัวคู่นั้น ในนั้นเหมือนจะซ่อนรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เธอโมโหนิดหน่อย จึงออกแรงผลักเขาออก
เมื่อเห็นท่าทางโกรธๆพร้อมกับหวาดระแวงของเวินจิ้ง มู่วี่สิงก็หยุดฝีเท้าลง มือที่เดิมทีจับข้อมือของเธอเอาไว้เคลื่อนไปวางที่เอวของเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปจูบเธอทันที
เวินจิ้งถูกเขารวบเอาไว้ในอ้อมกอดจนดิ้นหนีไม่ได้ ตอนลืมตาขึ้นมาก็เห็นแค่รอยยิ้มนึกสนุกในดวงตาดำขลับของเขา บ่งบอกได้ว่าเขาตั้งใจ!
เธอโกรธมากๆ จึงกัดริมฝีปากของเขาไปแรงๆ ทันใดนั้นรสชาติคาวๆของเลือดก็แพร่กระจายไปทั่วริมฝีปาก
ดวงตาของเขาหรี่ลงทันใด เมื่อครู่เขาก็แค่จูบเธอเล่นๆ แต่ตอนนี้กลับเพิ่มระดับความเอาแต่ใจลงในรสจูบนี้
ไม่รู้ว่าจูบกันอยู่แบบนี้นานเท่าไหร่ จากตอนแรกที่ตั้งใจจูบเพื่อลงโทษ ตอนนี้กลับค่อยๆมัวเมา จนไม่อาจผละกายออกมาได้ แต่มู่วี่สิงก็ค่อยปล่อยเธอออกช้าๆ จากนั้นก็แนบหน้าผากให้ชิดกัน เขาพูดเสียงเบาว่า “จิ้งจิ้ง ห้ามหนีผม”
ใบหน้าเล็กๆของเธอแดงซ่านไปหมด โดยเฉพาะดวงตา ทั้งโกรธทั้งกลัว
ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูด กลับพบว่ามีใครบางคนเดินก้าวยาวๆผ่านเธอไป แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่วี่สิง แววตาแหลมคมเสมือนใบมีด “มู่วี่สิง คุณทำแบบนี้กับหลิงเหยาได้ยังไง?”
มู่วี่สิงปล่อยมือของเวินจิ้งออกเบาๆ จากนั้นก็มองผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชา “คุณหลิง คุณคิดมากเกินไปแล้ว”
หลิงอี้หรี่ตาลง สายตามองปราดไปทางเวินจิ้ง จากนั้นก็พูดเสียงเย็น “ทางที่ดีคุณอย่าทำให้น้องสาวผมเสียใจดีกว่า”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป แต่สายตาที่เขาใช้มองเวินจิ้ง กลับเต็มไปด้วยความผิดหวังและความดูถูก
เวินจิ้งรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อคิดว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ของใครอีกหลายคน
ในสายตาของคนอื่น เธอคงเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของมู่วี่สิงและหลิงเหยาอย่างไม่ต้องสงสัย
เหอะ
“ไปกันเถอะ”
เวินจิ้งยืนนิ่งอยู่กับที่ จนมู่วี่สิงต้องลากเธอเดินไปด้วยกันอย่างหมดความอดทน
เธอเดินอยู่ข้างเขานิ่งๆราวกับเป็นท่อนไม้ ในหัวมีแต่สายตาเหยียดหยามของหลิงอี้ผุดขึ้นมาอยู่ตลอด
มู่วี่สิงเองก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร จนเมื่อเดินมาถึงประตูลิฟต์แล้วเห็นว่าเธอเดินไปขึ้นลิฟต์อีกตัว
ครั้งนี้มู่วี่สิงไม่ได้ห้ามเธอ ทำแค่มองเธอ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง เขาก็พูดเสียงหนักว่า “เดี๋ยวผมบอกคนขับรถมารับคุณที่โรงพยาบาล”
สายตาของเวินจิ้งจดจ้องอยู่ที่พื้นตลอด ไม่ได้หันมามองมู่วี่สิงเลยสักนิด
เมื่อมาถึงห้องพักของแม่ และนั่งลงข้างเตียง เวินจิ้งถึงได้รู้ว่าสุขภาพของหลินเวยย่ำแย่ลงกว่าเดิม ตอนนี้โชคดีมากที่มู่วี่สิงกำจัดข่าวพวกนั้นไปหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรมาส่งผลต่อความรู้สึกของแม่
“เสี่ยวจิ้ง ช่วงนี้แกไม่ได้ติดต่อกับจิ่งห้วนเลยใช่ไหม?” หลินเวยถามอย่างเป็นห่วง
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ความรู้สึกผิดในดวงตาของเวินจิ้งก็ฉายวาบขึ้นมา
เธอหลุบตาลง จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ “เราเลิกกันแล้วค่ะ”
“มีปัญหาอะไรกันล่ะ?”
“ปัญหาส่วนตัวของฉันเอง” เวินจิ้งยิ้มออกมาบางๆ “แม่คะ เรื่องนี้ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมันเถอะนะ”
อันที่จริงเธอรู้ดี ว่าตัวเองไม่อาจรักใครคนอื่นได้อีกแล้ว
เธอทำไม่ได้จริงๆ
ความสงสารในดวงตาของหลินเวยถูกปลดปล่อยออกมา ความรู้สึกของเวินจิ้งอยู่ในสายตาของเธอทั้งหมด สามปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เธอเดินออกมาจากจุดเดิมได้เต็มร้อยสักที
หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาล เวินจิ้งก็ตั้งใจจะกลับไปที่บริษัทหลินซื่อ โดยไม่แม้แต่จะสนใจที่มู่วี่สิงพูดว่าจะให้คนขับรถมารับเธอที่โรงพยาบาล
ในขณะเดียวกัน ณ ห้องพักผู้ป่วยแผนกเด็กเล็ก
เด็กผู้ชายตัวเล็กๆนอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ผิวกายขาวซีดเกินกว่าคนปกติทั่วไป ดูอ่อนแอเอามากๆ
“คุณมาแล้วเหรอ” เมื่อเห็นมู่วี่สิง หลิงเหยาก็โถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเบาๆ