บทที่ 660 ชีวิตที่ชะตากำหนดไม่ให้ถือกำเนิด
เวินจิ้งคิดอย่างเลอะๆ เลือนๆ เธอหลบหนีจากมู่วี่สิงพ้นเด็ดขาดแล้วหรือ เธอเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ไม่อยากแบกรับความแค้นของเขาที่กดทับเธออีกต่อไป
ไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร เวินจิ้งอดไม่ได้ที่ร้องออกมาเบาๆ หลังจากอาการปวดเกร็งท้องก็มีของเหลวร้อนๆ ไหลออกมาจากร่างกาย ในที่สุด ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกผิด ชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจลืมตาดูโลกได้ บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
หยดน้ำตารินไหลอาบหน้า สติสัมปชัญญะของเธอรางเลือนลงทุกที เสี้ยววินาทีสุดท้าย เธอได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีก
เปลือกตาหนักอึ้ง เธอคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงรถพยาบาล และยังได้ยินเสียงโหวกเหวกสับสน มือซ้ายของเธอ เหมือนกับถูกใครสักคนจับมือไว้แน่นตลอดเวลา
บัดนี้คือฤดูร้อนแล้ว เพราะเสียเลือดและความเจ็บปวด มือของเธอเย็นเฉียบ แต่มือที่จับมือของเธอนั้นเย็นเยียบยิ่งกว่า
ความเย็นเยือกของฝ่ามือชายหนุ่มสัมผัสผิวของเธอ รอบตัวมีแต่เสียงของหมอพยาบาลดังข้างหู แต่กลับไม่ได้ยินเสียงคุ้นหูที่จดจำได้แม่นยำ
เธอใกล้จะตายหรือเปล่า…ไม่เช่นนั้นทำไมเธอเหมือนจะรู้สึกถึงความหวาดกลัวของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
ราวกับเธอหลับฝันไปนานแสนนาน ขณะผ่าตัด ก่อนเธอฟื้นขึ้นมา เธอตกอยู่ในความฝัน
ณ ริมทะเลแห่งหนึ่ง เงาเล็กๆ สองเงายืนเผชิญหน้ากัน
“ฉันได้ยินว่าที่บ้านมารับแล้ว เธอจะไปจากที่นี่หรือ”
“อึม ต้องกลับบ้านแล้ว”
“แต่ว่า เธอไม่มีบ้านให้กลับไม่ใช่หรือ”
“ฉันไม่อยากกลับไป ฉันไม่ชอบที่นั่นซะหน่อย” เสียงแหบของเด็กชายหงุดหงิด
เด็กหญิงย่นคิ้วโก่ง กอดเด็กชายเบาๆ “มีบ้านให้กลับไป ต้องรักษาให้ดีนะ”
“ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อ”
“ทำไมล่ะ เพราะฉันเหรอ” เด็กหญิงยิ้มเจ้าเล่ห์ พูดออกไปโดยไม่คิดอะไร
แวบหนึ่งเด็กชายหลบสายตา ไม่พูดอะไรอีก
เพียงแต่ใบหน้าเล็กๆ ที่คมคายของเด็กชาย ค่อยๆ กลายเป็นใบหน้าของมู่วี่สิง…
เวินจิ้งลืมตาขึ้น แต่ยังจำความฝันทั้งหมดเมื่อครู่ได้ดี ราวกับความจริงขนาดนั้น
เธอคิดถึงที่มู่วี่สิงเคยเล่าให้เธอฟัง ตอนเด็กๆ เขาเคยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าช่วงหนึ่ง อายุตอนนั้น ไล่เลี่ยกับอายุของเด็กชายที่เธอรู้จัก
เขานั่นเอง
เธอหลับตาลงช้าๆ อีกครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง
เธอกับเขา เหลือแต่ความสิ้นหวังเท่านั้น
เวลานี้เอง พยาบาลผลักประตูเข้ามาพอดี “ตื่นแล้วหรือคะ”
เธอก้มลงตรวจดูน้ำเกลือที่ข้อมือของเธอ พลางพูดกับเธอ “คนรับใช้ของคุณออกไปซื้อของ สักพักหนึ่งถึงจะกลับมา รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม ปวดท้อง หรือหิวน้ำไหมคะ”
เวินจิ้งนิ่งเงียบอยู่นาน ค่อยส่ายหน้าเหม่อลอย
มือใต้ผ้าห่มขยับตามจิตใต้สำนึก แล้วหยุดที่ตรงเอว ไม่ขยับเขยื้อนอีก
พยาบาลปรับความเร็วของหยดน้ำเกลือ เห็นริมฝีปากเวินจิ้งแห้งผาก จึงพูดกับเธอ “ฉันรินน้ำอุ่นให้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อพูดออกไปเวินจิ้งถึงรู้สึกว่าเสียงของตัวเองแหบพร่า และอ่อนล้ามาก บางทีเป็นเพราะสลบไปนาน หรือเป็นเพราะความทรงจำนั้นทำให้เธอประหลาดใจมากเกินไป กำลังกายราวกับถูกสูบจนหมด แม้แต่หายใจยังยากลำบาก
เธอนอนบนเตียงสักพัก ไม่นานก็เห็นป้าเฉินหอบถุงใบใหญ่เข้ามา
เมื่อเห็นเวินจิ้งตื่นแล้ว ป้าเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตาแดง
สี่ปีก่อนเธอเริ่มมาเป็นแม่บ้านที่การ์เด้นมูเจียวาน มู่วี่สิงกับเวินจิ้งดีกับเธอมากมาตลอด หลายปีมานี้แม้ทั้งสองจะเลิกกันแล้ว บ้านไม่มีคนอยู่ แต่มู่วี่สิงก็ยังให้เธอมาทำความสะอาดเสมอ เห็นได้ถึงความรักลึกซึ้งของนายผู้ชายคนนี้
แต่ตอนนี้เห็นเวินจิ้งในสภาพนี้ เธอทั้งรู้สึกสงสารและเสียใจ
ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้
“คุณเวิน…ทำไมไม่ระวังอย่างนี้” ครู่ใหญ่ป้าเฉินพูดขึ้นด้วยความรักสงสาร แต่กลัวว่าเวินจิ้งจะคิดมาก พูดแค่ครึ่งเดียวก็ไม่พูดต่อ
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” กลับเป็นเวินจิ้งที่ฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไรได้ยังไง นี่มันหนักมากนะคะ” ป้าเฉินปลอบใจ “ฟังป้าเฉิน นะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมาก รักษาตัวให้หายก่อน รู้ไหมคะ”
ป้าเฉินหยิบของในถุงที่บรรจุผลไม้และน้ำแกงร้อนๆ ออกมาทีละอย่าง แล้วเทน้ำแกงใส่ชามเล็กรอให้เย็น ถึงป้อนให้เวินจิ้ง
หลังกินยาแล้วเธอหลับตาพักผ่อนอีกครั้ง แต่ยากที่จะหลับลงอีกครั้ง ตาสว่างจนกระทั่งรุ่งเช้า
มู่วี่สิงเพิ่งจะมาในวันรุ่งขึ้น เวลานั้นเวินจิ้งเพิ่งกินยาเสร็จ จึงรู้สึกง่วงนอนหลับไป
กระทั่งเธอตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นเวลาที่คุณหมอมาตรวจอาการพอดี
การฟื้นตัวหลังจากผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แต่หมอยังคงซักถามอาการของเธออย่างละเอียด
ด้านหลังคุณหมอมีนักศึกษาแพทย์ติดตามมาด้วยหลายคน กลุ่มคนมากันอย่างคึกคัก และก็จากไปอย่างคึกคัก สุดท้ายเหลือเพียงพยาบาลที่รินน้ำให้เวินจิ้งวันก่อน เธอเป็นพยาบาลประจำห้องป่วยเดี่ยวห้องนี้ เมื่อญาติคนไข้ไม่อยู่ เธอมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลคนไข้
นับแต่เวินจิ้งฟื้นจากผ่าตัด พยาบาลก็เป็นเพื่อนเธออย่างอดทนและกระตือรือร้น อีกอย่างทั้งสองคนก็อายุไล่เลี่ยกัน ป้าเฉินอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอด 24 ชั่วโมงไม่ได้ เวินจิ้งจึงอยู่กับพยาบาลเพียงสองคนวันละหลายชั่วโมง
พยาบาลสาวยิ้มเก่ง ลักยิ้มที่แก้มสองข้างอ่อนหวาน แม้แต่เสียงก็อ่อนหวาน พูดคุยกับเวินจิ้งอย่างอ่อนโยน
เวินจิ้งรู้สึกถูกชะตากับเธอ ถ้าไม่ได้หลับไปก็จะคุยเล่นกับเธอ
หลังจากหมอออกไปกันหมดแล้ว เวินจิ้งเพิ่งจะมองโต๊ะหัวเตียง สอบถามเบาๆ “เมื่อครู่มีคนมาหรือคะ”
บนโต๊ะนอกจากแท็บเล็ตและหนังสือสองสามเล่นที่ป้าเฉิน ทิ้งไว้ให้ ยังมีบุหรี่ซองหนึ่งและไฟแช็ก ในห้องพักที่ห้ามสูบบุหรี่มันไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้
ตั้งแต่กลับมาพบกับมู่วี่สิงอีกครั้งเธอเพิ่งรู้ ดูเหมือนชายหนุ่มจะติดบุหรี่แล้ว
แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะสูบบ้าง แต่ก็นานๆ ที ทว่าตอนนี้ เขากลับสูบหนักขึ้น
พยาบาลครางเสียงเบาๆ “อึม” ตอบเธอ “ลืมบอกค่ะ…เมื่อครู่มีคนมาเยี่ยมคุณ”
ที่จริงในใจเวินจิ้งคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่ยังคงถามเสียงต่ำ “ใครกัน”
“รู้สึกว่าจะแซ่มู่ค่ะ” พยาบาลคิด “เมื่อวานซืนตอนที่คุณถูกส่งมาโรงพยาบาล เขาเฝ้าคุณตลอด แฟนหรือคะ”
เธอไม่เดาว่าเขาเป็นสามีก็มีเหตุผลอยู่ ในเมื่อประวัติการรักษาของเวินจิ้งเขียนชัดเจนว่า “โสด” แต่ถ้าไม่สนิทสนมกันมากพอ ทำไมชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นถึงกุมมือของเวินจิ้งตลอดเวลา แถมตอนที่เวินจิ้งผ่าตัดยังเฝ้ารอไม่ไปไหน
เวินจิ้งส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่ใช่ค่ะ”
เธอกับมู่วี่สิง ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้น
เขากับหลิงเหยาถึงจะถูก
“หรือคะ” พยาบาลแปลกใจเล็กน้อย นิ่งไปครู่แล้วพูดขึ้น “แต่ว่าตอนที่คุณหลับเมื่อครู่ เขานั่งอยู่ที่นี่นานมาก”