บทที่ 662 เขาเลือกที่จะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว
ได้แต่เพียงภาวนาต่อหน้าพระแทนลูกที่ไม่อยู่ ในเวลานั้นเวินจิ้งถึงได้สงบ
หลังจากไหว้เสร็จ เธอหาอาจารย์เล็กที่สนิทอยู่ในวัดเจอ เตรียมบริจาคเงินเพื่อการกุศล แล้วอยากที่จะถวายตะเกียงไฟแห่งแสงสว่าง
เนื่องจากตะเกียบไฟแห่งแสงสว่างต้องให้ผู้ที่มีระดับการปฏิบัติธรรมในระดับสูงเพื่อสวดมนต์ภาวนา ด้วยเหตุนี้อาจารย์เล็กให้เธอพักผ่อนที่หน้าห้องก่อน ตัวเองเข้าไปเชิญเจ้าอาวาส
ผ่านไปสักพัก อาจารย์เล็กนั้นย้อนกลับมา พูดขอโทษ “เจ้าอาวาสกำลังมีแขกที่นั่นอยากมีชื่อเสียง อาตมาพึ่งเข้าไปช่วยเขาจัดการเรื่องนี้หน่อย ดังนั้นเลยทำให้เสียเวลาไปหน่อย”
แล้วถาม“โยม โยมอยากถวายตะเกียงแห่งแสงสว่างแทนใคร?”
พูดแล้ว อาจารย์เล็กเอาปากกากระดาษออกมา ให้เวินจิ้งเขียนชื่อ
เธอกลับตกตะลึงเล็กน้อย มองกระดาษขาวเปล่าในมือ ก็รู้สึกเจ็บปวดแพร่กระจายไปทั่ว
ใช่สิ ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เคยคิดชื่อลูก เขาก็จากไปแบบนั้น
สายลมอ่อนๆทะลุผ่านห้อง เป่ากระดาษขาวในมือเวินจิ้งมีเสียง
อาจารย์เล็กเห็นเธอใจลอยอย่างตกตะลึง ลองเรียกเธอ“โยม?”
เวินจิ้งได้สติกลับมา ถึงได้พูด“ขออภัยค่ะ เวลานั้นฉันยังไม่ได้คิด พักสักฉันมาหาอาจารย์ได้ไหมคะ ?”
“ได้ อีกสักพักอาตมาก็ต้องทำธุระอื่นๆที่วิหาร โยมต้องการอะไรสามารถไปหาอาตมาได้ที่นั่น”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไร”
อาจารย์น้อยโค้งคำนับแล้วก็เดินไป จริงๆแล้วบนมือเขายังมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง บนนั้นเขียนตัวอักษรแล้ว เวินจิ้งมองเขาหมุนตัวนั้นเห็นชื่อบนนั้น เวลานั้นก็รู้สึกแข็งทื่อ เห็นทันแค่คำว่า ” มู่ ”
หลังจากอาจารย์เดินไป เวินจิ้งยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ หลังจากนั้นนานถึงได้ขยี้กระดาษเป็นวงกลม ทิ้งเข้าไปในถังขยะ
ตะวันตกดิน ใบไม้ร่วงตกพื้นในลาน แสงตกลงมามีสีแซม
เวินจิ้งไม่รู้ตัวเองรอนานเท่าไหร่ ร่างกายเหนื่อยล้ามาก ความรู้สึกความเคร่งขรึมก็ปลิวไปพร้อมเสียงพระไกลไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งขาทั้งสองข้างเกิดอาการชา ในที่สุดเขาก็เห็นคนเดินออกมาจากระเบียงยาง
เจ้าอาวาสใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นท่าทางกระฉับกระเฉงมาพร้อมชายหล่อก้าวผ่านประตูเข้ามาทางนี้
ทางเดินของห้องสมาธิมีเสาขนาดใหญ่กั้นยาวทุกๆสองสามเมตร ด้านบนสีแดงหลุดลอกออกมา มันไม่ได้ใหม่สดเหมือนตอนที่ซ่อมแซมใหม่
เวินจิ้งพิงเสาข้างๆ ดังนั้นเจ้าอาวาสเลยมองไม่เห็นเธอ
เธอเห็นพวกเขาอยู่ตรงประตูพูดไม่กี่ประโยค เจ้าอาวาสก็กลับเข้าห้องสมาธิไปใหม่
เธอไม่ได้หลบหลีก แค่ขมวดคิ้ว เป็นเขาจริงๆด้วย
นึกถึงชื่อนามสกุลที่เขียนบนกระดาษในมืออาจารย์เล็กอีกครั้ง ไม่เพียงแค่เจ็บไปที่แกนกลางของใจ
เธอมองข้างใบหน้าหล่อที่อยู่ในแสงพระอาทิตย์ตกจากไกลๆอย่างชัดเจน สีหน้าเย็นชาปกติของเขาทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมา ไม่ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด
ถ้าลูกเกิดมา จะเหมือนอย่างนี้ไหมนะ?
บนหน้าอกเหมือนกดทับอย่างมากมาย การหายใจค่อยๆเปลี่ยนเป็นอึดอัด เวินจิ้งเลยไปพิงเสาแบบนี้ ไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่นาน
หลังจากมู่วี่สิงบอกลาเจ้าอาวาส หมุนตัวเดินไปบันได แต่ก็เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เดินไปทางเวินจิ้ง
เธอไม่รู้ว่าเขาพบเธอได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มองเธอๆทางนี้ตั้งแต่แรก
รอเขาค่อยๆเขาใกล้นั้น เธอถึงได้เก็บอาการทั้งหมด พูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันจะลงเขาแล้ว”
“ไปด้วยกัน”สายตาเขามองที่เธอ
เรื่องตะเกียงไฟ เธอไม่พูดถึง เขาก็ไม่ได้พูด
เธอไม่รู้ว่าเขาตั้งชื่อให้ลูกว่าอะไร
ลงเขาทั้งสองคนไม่ได้นั่งกระเช้า บันไดหินคดเคี้ยวยาวเหยียดมาก ทั้งสองข้างเป็นต้นไม้เขียวชอุ่ม
บนภูเขาหนาวนิดหน่อย แสงอาทิตย์ใกล้จะหมดไป เหลือแค่แสงสีส้มอ่อนๆ
สองเท้าเหยียบบนหินเย็นและแข็ง เวินจิ้งหยุดเท้า
เธอมองขอบฟ้าไกล แสงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าในสายตาเธอนั้นในที่สุดก็ค่อยๆหายไปกลางหุบเขา
ในที่สุดอากาศร้อนก็ค่อยๆหายไป ลมหนาวพัดบนแขน แต่เวินจิ้งเหมือนไม่มีความรู้สึก ตกตะลึงมองท้องฟ้าอย่างใจลอย
เธอใส่เสื้อผ้าบาง กระโปรงแขนขาถูกพัดจนชิดขา ผมยาวเรียบยังปลิวไสวที่ด้านหลัง
เหมือนผ่านไปสักพัก เธอถึงได้ยินชายข้างๆถามเธอ“เมื่อกี้ขออะไรไป?”
เสียงที่เธอคุ้นเคย เสียงต่ำเล็กน้อย กลับใสเหมือนกับน้ำแข็ง ทำให้เธอแยกแยะไม่ออกจริงหรือปลอม และก็ไม่รู้จริงใจหรือว่าเสแสร้ง
เธอไม่ได้ตอบ แค่คิ้วแข็งทื่อ
พื้นที่ป่ามีเสียงแมลงนกต่างๆร้อง ต่อเนื่องเป็นระลอก มีความสุขมาก
เหมือนกับด้วยเหตุนี้ อารมณ์ของเวินจิ้งรู้สึกมีความสุขบ้าง
เธอค่อยๆเอ่ยปาก“คุณอยากรู้จริงๆเหรอฉันขออะไร?”
ตอนที่พูดนั้น สายตาของเธอยังคงมองไปที่ไกล แต่เธอรู้เขาก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธอ ไม่ขยับ
ลมหายใจของเขาก็ยังแข็งเช่นเดิม แม้ว่าจะมีระยะห่าง เธอก็สามารถรู้สึกได้
เธอเคยคิดว่าได้เจอเขา เป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตเธอ
แต่คิดไม่ถึง สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่ความฝัน สามปีก่อนถูกพาออกจากเมืองหนาน เธอหมดหนทางนั่น แต่ในที่สุดเขาให้เธอรู้สึก ไม่มีช่วงเวลาสุดท้าย เธอก็จะไม่ยอมแพ้ที่จะอยู่ด้วยกับเขา
แต่เขาเลือกที่จะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว
ตั้งแต่หลังจากนั้น ไม่ว่าสรรพสิ่งจะสวยงามแค่ไหน เธอรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ทุกวันนี้เธอรู้สึกเหมือนศพเดินได้ แต่เสแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง พยายามทำชีวิตแบบไม่รู้ไม่ชี้
เธอเอาความอ่อนแอทั้งหมดซ่อนเอาไว้ เปลือกนอกทำเป็นแข็งแรง แต่เมื่อพบมู่วี่สิงนั่น พังทลายอย่างรวดเร็ว
แต่ตอนนี้ เรื่องทั้งหมดนี้จะสามารถจบลงได้จริงแล้ว
“คุณอยากรู้เหรอว่าฉันขออะไร?” เธอเก็บสายตาที่ตกตะลึง ในที่สุดค่อยๆหมุนตัวมองเขาด้านหลัง พูดทีละคำทีละประโยค “นั้นคุณก็บอกฉันก่อน ทำไม มู่ซือซือถึงตายเพราะฉัน”
ในที่สุดใบหน้าของมู่วี่สิงก็เมินเฉย เขาเจ็บปวดมาก เวินจิ้งดูออก
เขาเม้มปาก กดเสียงทุ้มต่ำ“ซือซือเกิดเรื่องก็เย็น พอดีกับเย็นที่เธอหายไป ตอนนั้นเธอจากไปกับโจวเซิน มู่ซือซืออยู่บริษัทโจวซื่อรอโจวเซิน เห็นพวกเธอขึ้นรถ ทำท่าทางสนิทสนม เธอโกรธ พุ่งไปหน้าไฟแดงกลายเป็นโศกนาฏกรรม”
มู่วี่สิงพูดจบ ลมหายใจทั้งตัวเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า ถึงขนาดเบ้าตาแดง
เวินจิ้งตกตะลึง ในเย็นวันนั้นเธอสลบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโจวเซิน ทำอะไรกับเธอ สามารถสะเทือนอารมณ์ของมู่ซือซือ
แค่ เธอก็เป็นฝ่ายถูกกระทำ แม้กระทั่งเธอก็เป็นผู้ได้รับความเสียหาย
“คุณคิดว่าฉันจะทำอะไรกับโจวเซิน เหนือ?” เวินจิ้งถามด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ทั้งตัวสั่นเทาทำให้เธอไม่สบายใจและลุกลี้ลุกลน