บทที่ 675 มันสำคัญไหม
ในความมืด ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาของเธออย่างแน่วแน่ ราวกับว่าเขาตัดสินใจแล้ว เขาค่อยๆพูดว่า “คุณลืมไม่ได้เหรอ งั้นก็แก้ใหม่”
“จิ้งจิ้ง อยู่เคียงข้ามผมเถอะนะ ตั้งแต่วินาทีนี้ไป ผมจะทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม”
…
คดีของโจวเซินอยู่ระหว่างการสอบสวน เวินจิ้งไม่รู้ว่ามู่วี่สิงใช้วิธีไหน หลังจากวันนั้น เธอก็ไม่ได้เข้าไปในสถานีตำรวจอีกเลย แถมสามารถอยู่ในการ์เด้นมูเจียวานได้อย่างปลอดภัย
ไม่อ่านหนังสือก็ดูหนังอยู่อย่างนั้น
บ่ายวันนี้ ในช่วงต้นฤดูหนาวข้างนอกอากาศหนาวมาก มีเพียงแสงแดดอ่อนๆเท่านั้นที่สาดเข้ามาในบ้าน ทำให้พอมีความอบอุ่นน้อยๆ
เธอหยิบหนังศิลปะสไตล์ยุโรปมาดูผ่านๆ เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ เวินจิ้งเกือบจะหลับไปแล้ว แต่ก็มีเสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นข้างหลังเธอ
เธอคุ้นเคยกับการปรากฏตัวของมู่วี่สิง ที่มักจะมาได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นเธอก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเลย
เขายกร่างกายท่อนบนของเธอขึ้น แล้ววางตามท่าที่ตัวเองถนัด นิ้วเรียวของเขาสอดเข้าไปในเส้นผมของเธอแล้วลูบไปมาเบาๆ พลางพูดตามที่คิดว่า “จิ้งจิ้ง ช่วงนี้พวกเราย้ายกลับบ้านเก่ากันเถอะ”
“อะไรนะ” เวินจิ้งที่ตอนแรกพักสายตาอยู่ แต่ถูกเขาปลุก ถามด้วยเสียงต่ำ
“โรงหนังที่นั่นกว้างขวาง และสะดวกสบายกว่าที่นี่” เขายังคงเอนกายอยู่บนโซฟาอย่างสบายๆ ปลายนิ้วของเขาลูบไล้ไปตามเส้นผมของเธอเบาๆ
“สิ่งที่คุณตัดสินใจไปแล้ว คงไม่ต้องการความคิดเห็นของฉันหรอกมั้ง” เวินจิ้งหัวเราะหยัน พร้อมพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง และเดินไปที่ห้องนอน
หลังจากก้าวไปเพียงก้าวเดียว เธอก็ถูกมู่วี่สิงจับไว้
เธอหยุดเดิน และยืนนิ่งอย่างเชื่อฟัง
น้ำเสียงของมู่วี่สิงหม่นหมองเล็กน้อย “ผมบังคับให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการรึเปล่า ตอนนี้”
น้ำเสียงของเขาอาจไม่เป็นที่พอใจเล็กน้อย แต่เวินจิ้งไม่สนใจ เธอเพียงแค่ยิ้มจางๆ พร้อมกับประชดในดวงตาของเธอ “ใช่ ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนคุณจะไม่ได้ทำเยอะขนาดนี้นะ”
เขามองลงไปที่เธอดวงตาเธอ ดวงตาของเขาซับซ้อนมาก ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือลง
เวินจิ้งเดินกลับไปที่ห้องนอน และเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเธอออกมาอีกครั้ง ก็เห็นเขายืนอยู่หน้าหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งห้องนั้นเงียบสงบ มีเพียงแสงของดวงอาทิตย์ส่องกระทบลงบนร่างโปร่งของเขาอย่างโดดเดี่ยว
“ฉันนัดกับอั้ยเถียนไว้” เธอลังเลสักพัก จากนั้นก็หันกลับมา “ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว งั้นก็ย้ายกลับไปเถอะ”
“วันนี้อากาศหนาว” เขาเดินไปวางเสื้อกันลมบนไหล่ของเธอ พร้อมยิ้มและจูบเธอที่แก้มของเธอ “เที่ยวให้สนุกนะ”
วันนี้เป็นวันที่อั้ยเถียนจะกลับไปเมืองเป่ยเฉิง เวินจิ้งจึงมาส่งเธอ
“จิ้งจิ้ง เธอวางแผนจะอยู่ที่หนานเฉิงจริงๆหรือ” อั้ยเถียนพูดอย่างเป็นห่วง
ตอนนี้เวินจิ้งดูผอม และซีดมาก ราวกับว่าเธอไม่มีวิญญาณ
เธอทุกข์ใจมาก แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี
“อืม ตั้งใจจะทำอย่างนั้น”
“เธออยากอยู่กับมู่วี่สิงจริงๆหรือ” อั้ยเถียนจับมือเล็กๆ ที่เย็นเฉียบของเธอไว้
เวินจิ้งยิ้ม “มันสำคัญด้วยหรอ”
“มันไม่สำคัญเหรอที่มู่วี่สิงบังคับเธอ”
เวินจิ้งไม่ได้ส่ายหัวหรือพยักหน้า
มู่วี่สิงปกป้องเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่เคียงข้างเขามันคือ …การตอบแทน
เช่นเดียวกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว ที่พวกเขาแต่งงานกัน ก็เป็นการตอบแทนเหมือนกัน
ทุกอย่างเหมือนกลับไปสู่จุดเดิมอีกครั้ง
“อั้ยเถียนฉันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ต้องกังวล”
“ฉันจะมั่นใจได้ยังไง …”
“รีบไปเช็คอินเถอะ” เวินจิ้งเตือนสติ
อั้ยเถียนเม้มริมฝีปากและถอนหายใจออกมา
เธอทำได้เพียงกอดเวินจิ้ง และปลอบเธอ “ถ้าเธอมีอะไรเธอต้องบอกฉัน ฉันรออยู่ตลอด”
เมื่อออกจากสนามบิน คนขับรถก็มารับเวินจิ้ง และขับตรงไปที่บ้านเก่าของตระกูลมู่
แม่บ้านเก่ายืนอยู่ที่ประตูโค้งคำนับให้เวินจิ้งเล็กน้อย
เวินจิ้งกล่าวอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ”
“คุณชายยังไม่กลับ ฉันจะพาคุณไปที่ห้องนอนก่อน”
เวินจิ้งมองไปในบ้านอย่างระมัดระวัง ก่อนจะรู้ว่าบ้านได้รับการปรับปรุงใหม่ และแม้แต่ใบหน้าของคนรับใช้ก็ดูแปลกไป ยกเว้นแม่บ้านเก่าที่อยู่ตรงหน้าพวกเธอ
จากนั้นเธอก็เริ่มสนใจขึ้นมา “คุณช่วยพาฉันไปทัวร์ที่นี่ได้ไหม”
ห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งของบ้าน ได้รับการตกแต่งในสไตล์สมัยเก่าสีแดงเข้ม และมีรูปถ่ายอยู่แถวเตาผิง
เวินจิ้งหยิบขึ้นมาหนึ่งใบ และหนึ่งคนในรูปนั้นคือมู่วี่สิงอายุประมาณสิบขวบ ยืนอยู่ข้างๆมู่เฉิง พร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้า
เธอรีบวางมันลง และมองไปที่เตาผิงที่ว่างเปล่าด้วยความสนใจ “อันนี้ถ้าอากาศอีกนิดนึงใช้ได้ไหมคะ”
“ฉันเกรงว่ามันจะใช้ไม่ได้ ตอนนี้ปล่องไฟด้านบนปิดสนิทแล้ว” แม่บ้านคนเก่าชะงัก แล้วพูดด้วยความลำบากใจ “บ้านติดตั้งระบบทำความร้อนใต้พื้นแล้ว มันจะไม่หนาวในฤดูหนาว”
เวินจิ้งตอบรับไปเบาๆ
“ถ้าคุณต้องการใช้ ฉันจะเรียกคนมาทำให้ทันที มันเปิดใหม่ได้ไม่ยาก” แม่บ้านเก่าแก่พูดออกมา “คุณชายต้องการให้คุณที่นี่อย่างสบาย ถ้าคุณต้องการอะไรเรียกฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
เวินจิ้งโบกมือเบาๆ “ไม่ค่ะ ฉันแค่ถามไปแบบนั้นแหละ ใครจะรู้ว่าฉันจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
แม่บ้านเงยหน้าขึ้นมองเธอความประหลาดใจ ในดวงตาของเธอเป็นประกาย ก่อนจะหายเป็นปกติในเวลาไม่นาน
มีระเบียงขนาดใหญ่ที่ชั้นสาม และที่นี่มีห้องไม่มาก ห้องแรกทางซ้ายถูกปิดอย่างแน่นหนา เมื่อเวินจิ้งเดินผ่านเธอก็หยุดทันที “ที่นี่คือ”
เธอยังจำได้ว่าตอนที่เธอมาที่นี่ครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน ห้องนี้เป็นห้องของผู้หญิง
“คุณเวินจิ้ง ขอโทษด้วยค่ะ นี่คือที่ที่คุณผู้หญิงอาศัยอยู่ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต คุณชายไม่ต้องการให้ใครเข้าไปค่ะ”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เวินจิ้งพยักหน้า “ขอบคุณนะคะ”
ตกดึก ประตูห้องนอนก็ค่อยๆเปิดออก และมู่วี่สิงก็เดินเข้าไปยืนข้างโซฟามองลงไปที่เวินจิ้ง
แม้ว่าเธอจะหลับไป แต่คิ้วของเธอก็ยังขมวดอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปลูบแก้มของเธอด้วยปลายนิ้ว
เวินจิ้งมักจะนอนหลับไม่ลึก และตื่นขึ้นมาในทันที
เธอลุกขึ้นนั่ง และถามด้วยประหม่าว่า “คุณกำลังจะทำอะไร”
มู่วี่สิงยื่นมือออกไปเพื่อเปิดไฟ และนั่งข้างเธอพร้อมยิ้มเบาๆ “ทำไมไม่ไปนอน”
ตอนนี้เวินจิ้งตื่นเต็มตาแล้ว เธอได้กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยมา เธอจึงขมวดคิ้ว และขยับหลีกเบาๆ “คุณดื่มมาหรอ”
เขาไม่ยอมให้เธอขยับห่าง แต่กลับดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และพูดยอมรับไปเบาๆ
“ไปไกลๆมันเหม็น” เวินจิ้งดิ้นรน และดันมือของเธอไว้บนหน้าอกของเขา
“จิ้งจิ้ง คุณแข็งแรงขึ้นเยอะเลย” มือของมู่วี่สิงโอบรอบตัวเธอไว้ และใช้เวลาไม่นานชุดนอนของเธอก็ถูกถอดออก ริมฝีปากบางของเขาจากที่เย็นอยู่เสมอ ตอนนี้กลับจูบกันอย่างเร่าร้อน เขาค่อยๆไล่จูบมาที่ไหล่ของเธอและกดตัวเธอไว้
เวินจิ้งต้องการจะร้องออกมา แต่มู่วี่สิงกลับปิดกั้นเสียงทั้งหมดของเธอไว้จนหมด
ทักษะการจูบของเขาดีมาก จนทำให้อาการขัดขืนของเธอหยุดไป เขาเรียกเธอเบาๆ “จิ้งจิ้ง