บทที่ 769 หากเข้มแข็งอีกหน่อย
สักพัก เวินจิ้งทนไม่ไหวกับความเงียบแบบนี้ได้อีก จึงเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน “วันนี้หนูจะไปแล้วนะคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร ก็เหมือนกับการพบปะกับคนแปลกหน้าทั่วไป มีความเกรงใจและห่างเหิน
มู่เฉิงมองดูเวินจิ้งด้วยความตกใจ “เธอจะไปไหน”
เขาจึงพูดขึ้นว่า “วี่สิงเพิ่งจะเกิดเรื่อง ตอนนี้เธอก็จะไปจากเขาเหรอ”
เวินจิ้งก้มหน้า ยิ้มอย่างเย็นชา “ค่ะ คิดแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
ในเมื่อตัดสินใจที่จะจากไป คนอื่นจะมองอย่างไรก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีก
มู่เฉิงที่จ้องมองเธออยู่นาน แล้วเงียบไปสักพัก จากนั้นถอนหายใจลึกแล้วถามขึ้นว่า “วี่สิงเห็นด้วยกับเรื่องนี้แล้วเหรอ”
“เห็นด้วยแล้วค่ะ” เวินจิ้งยิ้ม
เขาทราบดีว่าตัวเองนั้นไม่สามารถกล่าวโทษเวินจิ้งได้แม้แต่คำเดียว ต่อให้ทราบว่าการที่เธอจากไปในตอนนี้ ก็เหมือนกับการใช้มีดทิ่มแทงลงหัวใจของหลานชายของเขาก็ตาม
ท่าทีมู่เฉิงดูจริงใจ แบบว่าจริงใจสุดๆ “สามารถรอให้วี่สิงไม่เป็นอะไรก่อน…..แล้วเธอค่อยไปได้ไหม”
ขนตาเวินจิ้งกะพริบขึ้น แล้วยิ้มจางๆ“หนูจะไปวันนี้แล้วค่ะ”
เรื่องบางเรื่องหากพลาดไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปได้ มู่เฉิงตอนนี้ไม่ได้คิดร้ายต่อเธออีก แต่ว่าเวินจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจแล้ว
ลู่เซิ่นยังคงนั่งอยู่ที่โซฟา ร่างกำยำออร่าแรงดึงดูดสายตาผู้คนให้เหลียวมอง
มู่เฉิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น “เขาคือใคร”
“เอ่อ” เวินจิ้งตอบอย่างเบาๆ “เพื่อนค่ะ”
“เธอจะจากไปกับเขาเหรอ”
“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้า
มู่เฉิงที่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขานั้นก็กลั้นไว้
เวินจิ้งพูดอย่างสุภาพ “คุณปู่มู่มีอะไรที่อยากจะกำชับก็บอกกับป้าหลี่ได้เลยนะคะ หนูต้องไปเก็บของก่อน ขอตัวนะคะ”
เมื่อพูดจบ ก็หมุนตัวและหายไปจากสายตาของเขา
……
เรือนจำระดับสูง
ชายหนุ่มรูปหล่อนั่งอยู่เงียบๆ เหยียดขายาว เงยหน้ามองที่ท้องฟ้าสีครามด้านนอก
“เธอไปแล้วหรอ”
เกาเชียนยืนอยู่ตรงหน้าของเขา พยักหน้าอย่างลังเล “คุณเวินจากไปพร้อมกับลู่เซิ่นแล้วครับ และผมได้เช็คแล้วครับว่าหลินยี่นั้นอยู่บ้านตระกูลลู่จริงๆ
มู่วี่สงตอบรับเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรใดๆอีก
เกาเชียนติดตามเขามาหลายปี มู่วี่สิงอารมณ์ขุ่นมัวแบบนี้ ก็เป็นเพราะเวินจิ้ง
“ประธานมู่คุณจะยอมให้คุณนายจากไปจริงหรือ……แล้วจะไม่เสียใจภายหลังหรอครับ”
“ทำไมต้องเสียใจ”
“ถ้าท่านคิดถึงเขา……คิดถึงๆมากๆ จะทำอย่างไร”
มู่วี่สิงรู้สึกเกาเชียนพูดจาตรงไปตรงมา ตรงจนสามารถแทงทะลุเข้าไปในหัวใจของเขาได้
ถ้าคิดถึงเขา……ก็ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำอย่างไรดี
เธอไม่กลับมาแล้ว
หนึ่งเดือนต่อมา
การขึ้นศาลครั้งนี้ คนที่เข้าร่วมนอกจากมีบ้านหลิงที่ทราบข่าวแบบกะทันหันแล้ว ก็มีคนบ้านตระกูลมู่เท่านั้น ไม่มีผู้อื่นเข้าร่วมอีก
พักนี้บ้านหลิงเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายทางธุรกิจที่ร้ายแรง มีคนไม่น้อยที่แทบจะเอาตัวไม่รอดจากคลื่นลูกนี้ ดังนั้นการขึ้นศาลครั้งนี้จึงค่อนข้างเงียบ นอกจากคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ก็ไม่มีผู้อื่นทราบเรื่องอีก
บ้านหลิงกับหลิงเหยาเหมือนกับแทบจะไม่ได้เตรียมตัว คลิปวิดีโอของจริงที่เดิมทีควรอยู่ในมือของหลิงอี้นั้น ได้ถูกปล่อยออกมา ลูกน้องของหลิงอี้ที่รับผิดชอบในการจัดการเก็บร่องรอยในพื้นที่เกิดเหตุ ได้พูดสารภาพเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนั้น
มู่วี่สิงที่ยังคงเงียบตลอด ใบหน้าเย็นชา ราวกับทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ก็จริง ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขาจริงๆ
ตอนนี้บริษัทตระกูลหลิงถูกพายุลมซัดโหมกระหน่ำ และมู่วี่สิงอาศัยจังหวะที่หลิงอี้แทบจะเอาตัวไม่รอด ชวนพรรคพวกของเขามาเป็นพรรคพวกของตัวเอง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้วางแผนก่อนที่เขาจะเข้าไปในเรือนจำ ทำให้หลิงอี้หรือบ้านหลิงไม่มีโอกาสแม้แต่จะพลิกชีวิต
คลิปวิดีโอของจริงที่ผ่านการวิเคราะห์จากช่างเทคนิค และพยานจากปากลูกน้องคนที่คอยจัดการร่องรอยต่างๆ ทนายพูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ในคลิปวิดีโอนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคุณหนูรองตระกูลหลิงได้ทำการแย่งพวงมาลัยรถ ถ้าหากคลิปวิดีโอนี้เป็นคลิปที่ถ่ายขึ้นมาใหม่ อย่างนั้นคุณหนูรองตระกูลหลิงก็คงไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมในการถ่ายคลิปด้วย แต่ว่าใบหน้าของคุณนั้นชัดเจนมากปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิด”
ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่วี่สิงไม่มีการมองเธอแม้แต่แวบเดียว ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่ได้สบตามองใครเลยด้วยซ้ำ
เขาคือคนที่ถูกพิพากษา แต่เมื่อผลการพิพากษาได้กระจ่างขึ้น เขาจึงเหมือนเป็นคนผู้เข้าชมมากกว่า
ลี่หนานเฉิงได้ยินผลการพิพากษาแล้วได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่ามู่วี่สิงจะไม่เคยแสดงอาการกังวลออกมา แต่ว่าเขาก็ยังคงเป็นกังวล
ผู้ชายค่อยๆยืนขึ้น กุญแจมือถูกปลดออก มู่วี่สิงรูปหล่อที่ยังคงไม่มีอาการใดๆ ยกเท้าขึ้นแล้วก้าวออกไป
มู่เฉิงคว้าไม้เท้าแล้วรีบตามไป “วี่สิง พักนี้แกคงเหนื่อยมาก รีบกลับบ้านกันเถอะ ฉันได้ให้เชฟทำอาหารที่แกชอบไว้แล้ว…..”
“ไม่เป็นไรครับ” ผู้ชายพูดอย่างเย็นชา “ผมจะกลับการ์เด้นมูเจียวาน พวกท่านกลับไปเถอะ”
มู่เฉิงชะงัก สักพักก็ถอนหายใจขึ้น “ก็ได้ แกอยู่เงียบๆคนเดียวก็ดีเหมือนกัน”
มู่เฉิงมองดูร่างหลานชายตัวเองจากไป ร่างสูงตรงเผยให้เห็นถึงความเหงาที่หนักหน่วง ภายในใจของนั้นแสนเจ็บปวด “เวินจิ้งไม่ได้อยู่การ์เด้นมูเจียวานแล้ว เขากลับไปคนเดียวยิ่งไม่เจ็บปวดทรมานหรอ…..”
ณ การ์เด้นมูเจียวาน
มู่วี่สิงยืนอยู่ที่ประตูอยู่นาน อยู่ๆสมองก็คิดย้อนไปเมื่อสี่ปีก่อน ที่แห่งนี้ยังเป็นเพียงบ้านว่างเปล่าๆ หรือพูดอีกอย่างว่าบ้านที่กำลังรอการตกแต่ง เป็นช่วงที่เขาพาเวินจิ้งเข้ามา
สี่ปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เขาสูญเสียไปลึกๆแล้วคืออะไรกันแน่…..
ในที่สุดเขาก็สูญเสียเธอไปอีกครั้ง ในเวลานี้เพิ่งสังเกตเห็นว่า มันคือความเจ็บปวดที่ชีวิตไม่อาจจะรับได้
แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ริมฝีปากบางของมู่วี่สิงยิ้มเชิงเย้ยเยาะตัวเอง ต่อไปต้องอยู่คนเดียวแล้วใช่ไหม
วันเวลาที่ไม่มีเธออยู่เคียงข้าง ชีวิตที่มีแต่ความคิดถึงเธอ
เขาเริ่มรู้สึกเสียใจ…..
เสียใจที่ทำไมยอมปล่อยให้เธอจากไป หากเข้มแข็งอีกหน่อย…..บางทีอาจจะรั้งเธอ…..ให้อยู่นานกว่านี้ได้
เขาไม่ได้ให้เกาเซียนตามเข้ามา เพียงแค่รับสั่งเบาๆว่า “นายก็เหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”
เกาเซียนมองออกว่าเวลานี้มู่วี่สิงต้องการที่จะอยู่คนเดียว จึงได้พยักหน้ารับ
“ส่วนบริษัทหลิงซื่อ ผมจะทำให้ล้มละลายไปเลย”
…..
ในบ้านมีเพียงป้าหลี่ เมื่อเห็นนายตัวเองกลับมาก็ดีใจจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา “นายท่านฉันคิดว่าคุณจะไม่กลับมาอีกแล้ว…..”
เนื่องด้วยคุณนายจากไปแล้ว ที่นี่เป็นบ้านของพวกเขา มู่วี่สิงอยู่ที่นี่คนเดียว ก็คงจะเจ็บปวดกับการคิดถึงคนที่จากไป
มู่วี่สิงก้มหน้าแล้วปลดกระดุมตัวเอง ใบหน้ารูปงามสงบนิ่งราวกับน้ำ “ต่อไปผมจะอยู่ที่นี่ คุณสามารถทำงานได้จนเกษียณหรือไม่อยากจะทำต่อ”
เขาถอดเสื้อโค้ตออกทิ้งลงโซฟา แล้วก้าวเท้ายาวไปที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือที่ว่างเปล่าและเงียบสงบ ดวงตาของเขาเบิกโพลงขึ้นเล็กน้อย ตรงหน้ามีภาพปรากฏของเธอที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้ หรือคว่ำหน้านอนอยู่บนโต๊ะอย่างสงบ
แต่ว่าตอนนี้บนโต๊ะได้เก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนเป็นการเตือนให้เขารู้ว่าเวินจิ้งนั้นได้จากไปแล้ว เธอชอบหนังสือที่วางกระจัดกระจายไปทั่ว บอกว่าแบบนี้ให้ความรู้สึกถึงการมีบรรยากาศ
เขากวาดสายตาไปมา แล้วมาหยุดอยู่ที่โคมไฟ
กระดาษบางๆแผ่นนั้นที่ถูกทับไว้ได้หายไปแล้ว
หัวใจเหมือนสลายขึ้นในทันใด ทั้งๆที่รู้บทสรุปอยู่แล้ว แต่ยังคงแอบหวังเล็กๆ