บทที่ 763 เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลา
มู่วี่สิงยังคงกอดเวินจิ้งไว้ตลอด และเขามองไม่เห็นสีหน้าของเธอ
เขาคิดว่าเธอนั้นไม่ได้ไร้จิตใจหรือขาดมโนธรรมแต่อย่างใด เพียงแต่แค่หมดความรู้สึกไปแล้ว ก็เหมือนกับเธอที่ไม่แม้แต่อยากจะโกหกเขา และไม่แม้แต่อยากจะยั่วโมโหเขาเช่นกัน
ฝ่ายชายที่มือหนักนิดๆ ถูเข้าคางและแก้มนุ่มๆของเธอ ทิ้งน้ำเสียงเศร้าพร้อมด้วยอารมณ์น้อยใจ “ไม่คิดว่าคุณอยู่ที่ห้องขังนี้จะดูอึดอัดใจน้อยกว่าการอยู่ข้างๆผมเสียอีก”
หัวใจของเขากำลังสั่นอย่างรุนแรง และเขาที่เพิ่งทราบในตอนนี้
ถึงกับบางทีมีความคิดแวบเข้ามาหัวสมอง ถ้า…..หลังจากที่เธอออกมาแล้วล่ะ
เขายิ้มขึ้น “จิ้งจิ้ง หลังจากที่คุณออกมาแล้ว หากคุณยังรู้สึกว่าการอยู่ข้างๆผมมันอึดอัดลำบากใจ อย่างนั้นก็อย่าได้ปกปิดความเจ็บปวดและความลำบากใจนั้นอีก”
ฝ่ามือเรียวใหญ่ของเขาได้ลูบผมเธอที่นุ่มสลวย พูดเสียงเบาๆขึ้น “ไม่แน่คุณอาจจะจากผมไปก่อนก็ได้”
ในตอนแรกเธอตั้งใจจะตอบโต้ หาทุกวิถีทางเพื่อจะไปจากเขา เขาที่รู้สึกหมดหวัง แต่ด้วยความดื้อรั้นจึงยังคงรั้งเธอไว้ข้างกาย
เมื่อเธอต้องการจะจากไปเขาก็รั้งเธอไว้ทุกที ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม นี่คือปฏิกิริยาลึกๆที่อยู่ภายใต้จิตใจของเขา
ตอนนี้เธอเฉยๆแล้ว ไม่แยแสไม่ใส่ใจใดๆอีก เธอเหมือนกับลูกระเบิดที่ทำให้เขาถึงกับตาสว่าง
เวินจิ้งขมวดคิ้วขึ้น พูดช้าๆว่า “ฉันไม่ได้หมายความเช่นนี้ คุณอย่าคิดแบบนี้สิ”
เธอเพียงแต่คิดว่าสองสามวันที่อยู่ที่นี่ ไม่มีคนรบกวน ไม่ต้องคิดมากเรื่องพี่ชาย อีกทั้งไม่ต้องคิดมากว่าการที่เธอรักเขานั้นเป็นเรื่องที่ผิด แม้แต่การที่เขารักเธอมากเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่เธอไม่อาจจะยอมรับได้เช่นกัน
ตอนนี้เธอผ่อนคลายมาก
เวินจิ้งกะพริบตา น้ำเสียงอ่อนลง “ตอนนี้ฉันเพิ่งถูกขังไม่กี่วัน อยู่ที่นี่ทุกคนต่างก็ดีกับฉันเพราะเห็นแก่หน้าคุณ ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่ามันก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คุณช่วยฉันออกไป เพราะการอยู่ที่นี่คนเดียวนานๆ โดยไม่มีเพื่อนคุยสักคนก็จะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย”
เขาต้องการเป็นที่พึ่งพาสำหรับเธอ รอเขาช่วยเธอออกมาได้ เธอจะเข้าใจทุกอย่างได้เอง
“อืม” เขาตอบด้วยเสียงต่ำๆ พร้อมกับหอมไปที่แก้มของเธอซ้ำๆ
สุดท้ายก็อดไม่ได้จึงพูดขึ้นด้วยเสียงแหบๆว่า “เวินจิ้ง ท่าทางความเมตตาของคุณในตอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นทั้งใจร้ายทั้งน่าสงสารมาก”
เวินจิ้งเงยหน้ามองเขา พึมพำ “คุณอย่าเป็นแบบนี้สิ”
ระหว่างพวกเขาสองคนไม่ได้มีอะไรติดค้างกันอีก เธอไม่ได้โทษเขาและก็ไม่ได้เกลียดเขา และยิ่งไม่ต้องการให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับเงาในอดีต
“อืม” น้ำเสียงของเขาสงบลงทันที คำพูดที่น้อยใจหรืออารมณ์ที่ดิ่งลงเมื่อสักครู่ได้หายไปแล้ว
“ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้คนข้างนอกมาบอกผมนะ รู้ไหม”
“ฉันทราบแล้วค่ะ”
เธอทราบดีว่าไม่มีเรื่องเกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอน และก็ไม่มีไปทางรบกวนเขา
เขามองท่าทีเมินเฉยของเธอ และรู้ดีแก่ใจทุกอย่าง
มู่วี่สิงอยู่ที่นี่เพียงครู่เดียว เพราะว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย แม้แต่การมาเจอเวินจิ้งแค่เพียงชั่วครู่ เขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาเหลือเกิน
…..
เพียงแค่พริบตาเวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือน
ณ บ้านใหญ่ตระกูลมู่
มู่เฉิงมองดูหลานชายตัวเองอย่างเวทนาสงสาร พูดขึ้นเบาๆ “วี่สิง พักนี้ยุ่งมากหรอ ทำไมแกดูซูบผอมเช่นนี้”
ใบหน้ามู่วี่สิงที่ไร้ซึ่งความรู้สึก นั่งทานซุปอย่างเย็นชา “ไม่มีอะไรครับ”
เขามักจะมีลักษณะท่าทางเฉยชาและห่างเหิน ไม่มีความอบอุ่นสักนิดเดียว
ถ้าหากมู่เฉิงไม่มาหาเขาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง เขาก็คงจะไม่มีทางกลับบ้านใหญ่ตระกูลมู่ แม้จะแค่ไปทานข้าวเพียงมื้อเดียวก็ตาม
ลูกตามู่ซีกลอกไปมา “คุณชายกำลังคิดหาวิธีช่วยพี่สะใภ้ คุณชายลองบอกคุณปู่ดูสิคะ บางทีพวกเราอาจจะสามารถช่วยอะไรได้”
ผู้ชายไม่มีการพูดจาใดๆ สีหน้ามู่ซีจึงอึดอัดใจ
เมื่อทานอาหารเสร็จ มู่วี่สิงก็จากไป เวลาที่เขาอยู่ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
มู่เฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากจะรั้งให้เขาอยู่ต่อแต่ก็ไม่ทราบว่าจะเอ่ยปากอย่างไร และก็ทราบดีว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางที่จะอยู่ต่อ
มู่ซีพูดกับคุณปู่ว่า “เดี๋ยวหนูจะไปดูคุณชายนะคะ รู้สึกว่าเขาทานอาหารไม่เยอะเลย”
มู่เฉิงครุ่นคิด “ฉันได้ข่าวจากคนรอบข้างของเขาว่าเขาแทบจะไม่มีเวลากลับการ์เด้นมูเจียวานเลย เธอไปดูสิเขากลับไปหรือไม่”
มู่ซีพยักหน้าแล้วลุกขึ้นตามออกไป
อาศัยช่วงจังหวะผู้ชายไปเอาของที่ห้องนอน เธอไปหารถที่มู่วี่สิงขับมาจอดอยู่ในลานจอดรถจนเจอ จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ท้ายรถดังกล่าว
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้น แล้วทำการปิดเสียงโทรศัพท์เพื่อเป็นการป้องกัน จากนั้นก็ค้นหาหมายเลขหนึ่งที่อยู่ในโทรศัพท์
ตอนนี้หลักฐานชัดเจน อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่โจษจันกันทั่วบ้านทั่วเมือง เธอก็อยากจะทราบว่ามู่วี่สิงจะช่วยเวินจิ้งให้พ้นผิดได้อย่างไร
จนกระทั่งเสียงรอบข้างได้เงียบสงบลงมู่ซีถึงได้ค่อยๆโผล่ออกมาจากท้ายรถ
ที่นี่เป็นที่ว่างเปล่ารกร้างและหนาวเยือกเย็น
เธอหันหน้าแล้วเงยขึ้น ภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นโรงงานร้าง ผนังกำแพงเริ่มมีรอยด่างดำขาวซีดแล้ว ด้านนอกมีรถสีดำประมาณสิบกว่าคันจอดอยู่
เธอลงจากรถอย่างเงียบๆ ฝีเท้าของเธอมุ่งหน้าไปที่โรงงาน
ค่อยๆย่างเท้าเข้าใกล้โรงงาน มีเสียงต่างๆดังมาจากด้านใน เธอเจอหน้าต่างที่มีรูผุพัง เธอจึงแอบมองทะลุผ่านเข้าไป
ตาเธอเบิกกว้างฉับพลัน เธอแทบจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา และหัวใจก็เต้นขึ้นลงอย่างรุนแรง
ผ่านไปสักพักเธอถึงได้สงบสติลง หยิบโทรศัพท์ที่ติดอยู่ในตัวออกมาแล้วเปิดกล้องขึ้น
หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป
ผู้ชายรูปหล่อรูปร่างสูงใหญ่สองคนเดินออกมา เสียงลมคำรามพัดหนาวเย็นอยู่ด้านนอก “ผมคิดว่าน่าจะประมาณสามวันก็จะซ่อมแซมลานจอดรถให้คืนสู่สภาพเดิมครับ”
มู่วี่สิงตอบรับเบาๆ และวินาทีต่อมาสีหน้าก็ขรึมขึ้น
เขาหรี่ตาแล้วพูดอย่างเย็นชา “มีคนมา”
“ใคร เป็นคนบ้านหลิงเหรอ”
ด้านนอกโรงงานร้างที่พื้นคอนกรีตที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เนื่องด้วยฝนตกหนักเมื่อวาน ดังนั้นจึงทำให้สามารถมองเห็นรอยเท้าได้จางๆ
“เป็นผู้หญิง”
ผู้หญิง?
มู่วี่สิงเดินตามรอยเท้าที่อยู่บนพื้น จนมาถึงหน้าต่างที่ไม่สูงไม่ต่ำ ชะงักขึ้น แล้วก็หมุนตัวกลับอย่างเร็ว
“หนานเฉิง รีบขับรถตามไป เธอจากไปประมาณสิบนาที มีเพียงถนนเส้นนี้ที่จะสามารถเข้ามาได้”
“ครับ” ลี่หนานเฉิงจากไปในทันที
มู่วี่สิงยืนหนาวเหน็บอยู่คนเดียวภายใต้แสงจันทร์ เงาสะท้อนร่างสูงยาวอย่างเลือนราง
เหมือนดังที่มู่วี่สิงพูดไว้ไม่มีผิด ที่นี่มีเพียงถนนเส้นเดียว ลี่หนานเฉิงขับเพียงไม่นานก็ตามทันผู้หญิงที่กำลังวิ่งอยู่ไม่ไกล
เขาสบถคำด่าออกมา พร้อมกับเร่งความเร็วรถมู่ซีถูกแสงไฟหน้ารถส่องจ้าจนแยงตาเธอ เธอตกใจจนหน้าขาวซีด
เธอวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามอง เพียงแต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็โซเซแล้วล้มลง ด้านหน้าเธอมีบึงน้ำเล็กๆ เธอนิ่งอยู่สักพัก จากนั้นเธอก็โยนโทรศัพท์ที่อยู่ในมือนั้นทิ้งไป
ลี่หนานเฉิงคว้าแขนเรียวยาวของเธอจากด้านหลัง “คุณเองเหรอนี่”
เขามองมู่ซีที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย น้ำเสียงที่ชวนน่าสะพรึงกลัว “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้”
และเมื่อสักครู่ทำไมเธอถึงโยนโทรศัพท์ทิ้งไป
มู่ซีอธิบายด้วยความตกใจ “คุณปู่ให้ฉันตามพี่วี่สิงมา……มาดูว่าช่วงนี้พี่เขายุ่งอยู่กับอะไร ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดี…..”
“คุณอธิบายกับผมมันไม่มีประโยชน์หรอก ไปอธิบายกับพี่น้องผมดีกว่า”
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสุภาพสตรี นอกจากหญิงสาวที่ชื่อโจวหย่านคนนั้น เขาก็ไม่เคยเอ็นดูใครอีก เขาโยนมู่ซีเข้าไปในรถ แล้วรีบเลี้ยวรถกลับทันที