บทที่ 819 ตอนนี้คุณอย่ามารบกวนผม
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ใบหน้าที่จิ้มลิ้มยังคงยิ้มจางๆ “ฉันไม่เป็นไร คุณอย่าได้เป็นห่วงเลย”
ทันใดนั้น เหมือนเธอคิดอะไรบางอย่างได้ จึงถามอย่างเป็นห่วงว่า “ซินซินล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง เธอปลอดภัยใช่ไหม”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เธอปลอดภัยดี…..”
มู่วี่สิงยังไม่ทันพูดจบ ก็มีคนมาเคาะประตูห้อง
ชายหนุ่มรูปงามขายาวก้าวเข้ามา มีหญิงสาวนิ่งสงบอ่อนโยนเดินตามหลัง
เวินซินถูกกอดไว้ในอ้อมแขนดวงตาสดใสกะพริบไปมา ที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นอะไร
เวินจิ้งมองคนทั้งสองที่เข้ามาหาอย่างกะทันหัน “พี่กับพี่สะใภ้ พวกพี่กลับมาแล้วหรอ”
เวยอานเดินไปที่ข้างเตียง ขมวดคิ้วขึ้น แล้วโน้มตัวไปดูบาดแผลบนร่างกายของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเป็นห่วง “พี่เธอรู้ว่าเธอเกิดอุบัติเหตุจึงรีบกลับมาดู เป็นยังไงบ้าง โอเคหรือเปล่า”
เวินจิ้งยิ้มขึ้นพูดว่า “หนูไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกหิวนิดหน่อย”
เวยอานจึงพูดขึ้นทันที “อย่างนั้นพี่จะไปซื้อโจ๊กร้อนๆมาให้เธอ”
หลินยี่วางเวินซินลงข้างๆเตียงผู้ป่วยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเป็นห่วง “เสี่ยวจิ้ง เกิดอะไรขึ้น”
เวินจิ้งยังไม่ทันได้ตอบ หลินยี่ก็ละสายตาไปทางอื่น แววตาเชือดเฉือนมองไปทางชายหนุ่มที่อยู่ข้างเตียง “มู่วี่สิง คุณปกป้องน้องสาวของผมแบบนี้เหรอ เธอเกิดอุบัติเหตุในอาณาเขตของคุณ คุณยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า
บรรยากาศรอบข้างอึมครึมขึ้นทันที ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับมู่วี่สิงแบบนี้มาก่อน เวินจิ้งจึงอ้าปากพูดขึ้นทันใด “พี่คะ ไม่เกี่ยวกับเขาเลยค่ะ”
เวยอานก็ค่อยๆดึงชายเสื้อหลินยี่เบาๆ ให้เขาสงบสติอารมณ์โกรธลง
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ความจำที่เลือนรางค่อยๆกลับคืนมาทีละนิดๆ “หนูรู้สึกว่าคนที่ชนหนูคือหลิงเหยา”
เธอจำได้ตอนที่รถคันสีขาวคันนั้นพุ่งชนเข้ามา เธอมองเห็นรางๆ
แม้ว่าหลิงเหยาจะใส่แว่นกันแดดผูกผ้าพันคอ แต่ว่าเขาทั้งสองเคยพักหอเดียวกัน สนิทกันอย่างพี่น้อง แวบแรกก็ดูออกได้ทันที
หลิงเหยา
สายตาหลินยี่เหยียดหยามด้วยความเยือกเย็น แววตาจ้องมองมู่วี่สิงอย่างเย็นชา “เธอยังติดอยู่ในคุกไม่ใช่เหรอ”
มู่วี่สิงเฉยชาต่อการกล่าวโทษและอารมณ์โกรธของหลินยี่ ทำเพียงก้มหน้าลงจูบหน้าผากเวินจิ้งอย่างอ่อนโยน ถามด้วยเสียงแหบพร่า “อยากทานอะไรเดี๋ยวผมไปซื้อให้”
เวินจิ้งเหลือบมองพี่ชายที่ยังคงโกรธ พูดเสียงเบาๆ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้พี่สะใภ้ซื้อโจ๊กให้ก็พอ”
เวยอานหันหลังลุกขึ้นเพื่อจะออกไป แต่เธอก็โอ๋เวินซินก่อนที่จะออกไป
เวินจิ้งมองเวยอานแวบหนึ่ง และก็หันมามองพี่ชาย ไม่ทราบว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคน เวยอานดูเหมือนจะเอ็นดูเวินซินมากกว่าเดิม
มู่วี่สิงลุกยืนขึ้นแล้วมองหลินยี่เบาๆ แล้วก็เดินออกไปก่อน สายตาคู่นั้นสื่อความหมายให้อย่างชัดเจน
หลินยี่กำชับเวยอาน “พวกเรามีเรื่องที่ต้องจัดการ คุณอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวจิ้งก่อนนะ”
เวยอานยิ้มรับ “ได้สิ ไม่ต้องเป็นห่วง”
สายตามองพี่ชายที่ออกไปแล้ว สีหน้าเวินจิ้งดูไม่ค่อยดี พูดด้วยความเป็นห่วง “พี่สะใภ้คะ พวกเขาคงไม่ทะเลาะกันใช่ไหม”
สองคนนี้ดูไม่ลงรอยกันมาไหนแต่ไร ยังเคยถึงขึ้นเอาชีวิตกันเลย
เวยอานกลับไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เนื่องด้วยมีเวินจิ้งคั่นอยู่ระหว่างตรงกลาง เธอยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าได้เป็นห่วงเลย พี่เธอรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
เวินจิ้งมุ่ยปาก การขยับบางครั้งก็ส่งผลให้บาดแผลได้รับความเจ็บปวด เธอจ้องมองไปที่ประตูห้องผู้ป่วยตลอดเวลา แล้วพูดขึ้นด้วยความพะวงว่า “เมื่อกี้หนูเพิ่งบอกกับเขาไปว่า ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไรก็จะไปจดทะเบียนสมรสทันที ถ้าหากหนูหายดีแล้ว แต่มู่วี่สิงกลับต้องได้รับบาดเจ็บมีบาดแผล ทีนี้จะทำยังไงดี”
เวยอานชะงัก สักพักก็ยิ้มออกมา “อย่างนั้นพี่จะออกไปหาพี่ชายเธอ บอกให้เขาออมมือหน่อยดีไหม”
เวินจิ้งกัดริมฝีปากตัวเอง แล้วส่ายหน้าทันที “ช่างเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ก็ต้องหาว่าหนูนั้นลำเอียงอีก”
“พี่จะไปซื้อโจ๊กมาให้เธอ เธออยากกินโจ๊กอะไร”
“หนูหิวจะตายแล้ว โจ๊กอะไรก็ได้ค่ะ” เวินจิ้งที่หน้าตาน่าสงสาร “ขอบคุณพี่สะใภ้นะคะ”
ชายหนุ่มรูปงามทั้งสองคนยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน คนหนึ่งดูมีออร่าแต่เย็นชา อีกคนใบหน้าอ่อนโยนแต่น่ากลัว ภายใต้รอยยิ้มที่แอบแฝงด้วยความเยือกเย็น
ทันใดนั้น เสียงสั่นของโทรศัพท์ได้ดังขึ้น หลินยี่เหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเปิดอ่านข้อความล่าสุด : เสี่ยวจิ้งบอกไม่อยากไปจดทะเบียนสมรสโดยที่มู่วี่สิงมีบาดแผลบนตัว คุณคิดเองว่าควรทำอย่างไรต่อดี
เสียงฮึอุทานขึ้นอย่างเย็นชา หลินยี่ทั้งขำทั้งโกรธ น้องสาวคนนี้ช่างแน่นัก เขาโกรธขนาดนี้ก็เพราะเป็นห่วงเธอไม่ใช่หรือ แต่ไฉนเธอยังกล้าคิดถึงแต่มู่วี่สิง
เมื่อวางโทรศัพท์ลง เขาจึงพูดขึ้นช้าๆ “คุณต้องให้คำตอบเรื่องนี้กับผม”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว พูดเบาๆ “ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้ได้”
ความหมายก็คือไม่ต้องการให้หลินยี่เข้ามาแทรกแซง
มู่วี่สิงพูดต่ออย่างสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ “เธอตอบตกลงจะแต่งงานใหม่กับผมอีกครั้ง เมื่อเธอออกจากโรงพยาบาลพวกเราก็จะจดทะเบียนสมรสแล้วจัดพิธีแต่งงาน ต่อไปผมจะรับผิดชอบชีวิตเธอ คุณแค่ดูแลลูกสาวตัวเองให้ดีๆแล้วมาเข้าร่วมพิธีงานแต่งของพวกเราก็พอ”
เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไป ราวกับว่าที่เรียกเขาออกมาก็เพื่อจะพูดเรื่องนี้เท่านั้น
หลินยี่ยิ้มเยาะขึ้น “มู่วี่สิง คนที่คุณจะแต่งงานด้วยคือน้องสาวของผมนะ”
หยิบไฟแช็กออกมาจากร่างกาย แล้วจุดบุหรี่ ใบหน้าหล่อเหลาถูกปกคลุมด้วยควันบุหรี่ หลินยี่พูดอย่างช้าๆ “คุณเชื่อไหมว่าถ้าไม่ได้รับการเห็นด้วยจากผม เธอไม่มีวันจะแต่งงานกับคุณ”
มู่วี่สิงชะงักหยุดเดิน แล้วหมุนตัวกลับด้วยสายตาเย็นชามากถึงมากที่สุด
หลินยี่พ่นควันบุหรี่ออกมา ยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา มุมปากเต็มไปด้วยความแดกดันประชดประชัน “คุณน่าจะรู้ว่าเคยได้ทำร้ายเธอมาแล้วกี่ครั้ง ผมไม่สนด้วยข้ออ้างหรือเหตุผลอะไร เพียงเธอได้รับความเจ็บปวดผมจะถือว่าเป็นความผิดของคุณ คุณไร้ซึ่งความสามารถ ตั้งแต่เล็กผมไม่ได้อยู่เคียงข้างน้องสาวคนนี้ ต่อไปในวันข้างหน้า ผมจะไม่มีวันให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆและไปแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง”
มู่วี่สิงที่ยังคงมองเขาด้วยความเย็นชา ใบหน้ายังคงนิ่งไม่มีการขยับใดๆ ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจคำพูดของหลินยี่
“เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณอย่ามารบกวนผม”
แววตาลุ่มลึกของเขาราวกับสระน้ำลึก “ถ้าคุณว่างขนาดนั้นก็จัดการเรื่องผู้หญิงของลู่เซิ่นให้เรียบร้อยดีกว่า หรือคุยเป็นเพื่อนเวินจิ้งเพื่อฆ่าเวลา สำหรับเรื่องอื่น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง”
เรื่องของเวินจิ้งเป็นเรื่องของเขาเพียงคนเดียว ถึงแม้จะเป็นพี่ชาย ก็ไม่จำเป็นต้องมาแทรกแซง
หลินยี่ยิ้มอย่างดูแคลน ทิ้งเพียงคำพูด “มู่วี่สิง เรื่องแบบนี้ เกิดได้แค่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นผมจะไม่รับประกันว่าผมจะทำอะไรลงไป”
…..
“มู่วี่สิง ฉันไม่นั่งรถเข็นได้ไหม” เวินจิ้งกะพริบตา มองดูชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าที่กำลังผูกผ้าพันคอให้เธอ “อีกทั้ง เรื่องที่ฉันออกจากโรงพยาบาลก่อนคุณไม่ได้บอกพี่ชายของฉันใช่ไหม”
พี่ชายและพี่สะใภ้ยังอยู่ที่เมืองหนาน หากเธอออกจากโรงพยาบาลพวกเขาจะต้องมาแน่นอน
“พี่ชายเธอมีธุระถูกลู่เซิ่นเรียกไป ส่วนพี่สะใภ้เธอผมให้เธอกลับไปแล้ว”
มู่วี่สิงโค้งตัวลง แล้วอุ้มเวินจิ้งวางลงเก้าอี้เข็นอย่างระมัดระวัง ใบหน้าหล่อเหลาแนบใกล้ชิดเธอ จากนั้นพูดขึ้นเบาๆ “วันนี้พวกเราไปจดทะเบียนสมรสกัน ไม่จำเป็นต้องมีพวกเขา”