บทที่ 832 ห้วงฝัน
“ประธานลู่” น้ำเสียงของฉินซียังคงแฝงไปด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย “ขอบคุณค่ะ”
คิ้วที่ขมวดมาตลอดทั้งเช้าของลู่เซิ่นคลายลง พอคิดว่าครั้งนี้เขาใช้คอนเนคชั่นเพื่อแก้ปัญหาความรักครั้งเก่าของฉินซี คิ้วของเขาก็กลับมาขมวดอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น ฉันพอใจกับการแสดงออกของเธอมากพอแล้ว”
ฉินซีคล้ายกับถูกทำให้สำลัก เธอเงียบไปสักพักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นท่านประธานก็ทำงานต่อเถอะค่ะ ฉันไม่รบกวนคุณต่อแล้ว”
ลู่เซิ่นตอบกลับไปว่า ‘อืม’ ด้วยเสียงเรียบ ๆ หลังจากนั้นก็วางสายโทรศัพท์
ผู้ช่วยหยิบเสื้อนอกส่งให้เขา มองลู่เซิ่นที่ยังคงถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ แต่สีหน้ากลับดูดีกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งความสับสน แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป เขาช่วยลู่เซิ่นจัดการเสื้อผ้า จากนั้นก็เดินตามอีกฝ่ายไป
…
ฉินซีวางสายโทรศัพท์แล้วยกมือบิดขี้เกียจ จำได้ว่าอานหยันบอกเธอว่าช่วงนี้เธอไม่สามารถจัดการธุระของตัวเองได้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับไปนอนกลางวันต่อสักงีบ
เอวของเธอถูกใช้งานหนักเกินไป จนถึงตอนนี้ก็ยังคงปวดอยู่เลย
พ่อบ้านเปิดผ้าม่านเอาไว้ให้แล้ว ฉินซีเอนหลังอยู่บนเตียงนอนไม่หลับ จึงเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อก จึงพบว่าภาพหน้าจอยังค้างอยู่ที่ขั้นตอนการบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของหซู่หนาน
ฉินซีหัวเราะแล้วล็อกหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง
ความง่วงโถมทะลักเข้ามา ฉินซีจึงจมเข้าไปสู่ห้วงฝันที่ทำให้เธอทุกข์ทรมานใจมาช้านาน
กล่าวอีกนัยหนึ่งนี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความทรงจำเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า
ช่วงเวลาในความฝันก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนนั้นเธอยังเป็นคุณหนูใหญ่ของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็กเธอก็รู้มาตลอดว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นเธอรู้สึกสับสนและเสียใจ แต่หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ชินชากับสงครามเย็นที่อยู่อย่างต่อเนื่องนั้น
แต่ในความฝันนี้ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานั้นความขัดแย้งระหว่างพ่อกับแม่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น คนสองคนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า ในสายตาเต็มไปด้วยการเฝ้าระวังและหวาดระแวงกันและกัน ใช้ชีวิตกันแบบนั้นอยู่หลายปี
ฉินซีที่ถูกบีบให้อยู่ตรงกลางรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เธอจึงตอบรับคำขอไปเดทของหซู่หนาน
วันนั้นเหมือนจะเป็นวันศุกร์ แดดยังคงส่องแสงร้อนแรงในตอนเช้า ทว่าตอนบ่ายท้องฟ้ากลับมืดครึ้มเสียได้
ในความฝันเธอกับหซู่หนานจับมือกันเดินไปตามถนน หซู่หนานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากนั้นก็หันกลับมาถามเธอว่า “ดูเหมือนว่าฝนใกล้จะตกแล้ว พวกเราไปดูหนังกันดีไหม”
ฉินซีไม่ปฏิเสธ
พอทั้งสองคนไปถึงโรงหนัง ก็ซื้อตั๋วหนังที่เกี่ยวกับวรรณกรรมเรื่องหนึ่งมา
ตอนที่เข้าไปในโรงหนังเหมือนจะได้ยินเสียงฟ้าร้องดังมาจากข้างนอก ฉินซีขมวดคิ้วพลางสะดุ้งตกใจ ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจแพร่กระจายออกมา
ทว่าหลังจากที่ประตูบานหนาของโรงหนังปิดลง เสียงข้างนอกก็ถูกตัดขาดไปทันที
ฉินซีระงับความกังวลไว้ในใจ แล้วเดินตามหซู่หนานไปยังที่นั่ง
หนังวรรณกรรมเรื่องนี้มีคนดูน้อยมาก ทั้งโรงคล้ายจะมีแค่เธอกับเขาสองคน ดูเหมือนว่าหซู่หนานจะสนใจกับหนังเรื่องนี้มาก เมื่อหนังเริ่มฉายเขาก็ดูมันอย่างตั้งใจ แต่ฉินซีกลับรู้สึกอึดอัดอยู่ข้างในหัวใจตั้งแต่ต้นจนจบ
ความรู้สึกนี้ยากที่จะอธิบาย เหมือนกับมีเมฆดำปกคลุมหัวใจของเธอ
เธอเอาแต่จะกระสับกระส่าย และไม่สามารถตั้งใจกับการดูหนังได้ ทว่าหซู่หนานกลับจมดิ่งอยู่กับเนื้อเรื่อง เนิ่นนานกว่าที่จะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉินซีผิดปกติไปเล็กน้อย
“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” เขาเอนตัวเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
ฉินซีส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่สบาย เพียงแต่…”
หซู่หนานมองเธออย่างเป็นห่วง ทว่าทันใดนั้นฉินซีกลับพูดไม่ออก
จะให้พูดว่าอยู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาได้ยังไง
นอกจากนั้นดูเหมือนว่าหซู่หนานจะชอบหนังเรื่องนี้มาก เธอจึงไม่อยากจะรบกวนเขา
ฉินซีกลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับเข้าไป หลบสายตาแล้วพูดว่า “อาจแค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ เมื่อกี้ข้างนอกร้อนมาก”
หซู่หนานเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเธอ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกของตัวเองคลุมลงบนไหล่ของฉินซี “ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังเองว่าหนังเรื่องนี้พูดเรื่องอะไรบ้าง”
ฉินซียิ้มแล้วพยักหน้า
หซู่หนานหันกลับไปดูหนังต่อ ฉินซีปิดตาลงเพื่องีบหลับ ทว่าจังหวะหัวใจของเธอกลับยังคงเต้นอย่างรุนแรงอยู่ตลอด
ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งหัวใจ
จนกระทั่งในตอนนั้นเองอยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น…
ฉินซีก็ลืมตาขึ้นมาแล้วลุกขึ้นนั่ง
ลืมไปแล้วว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความฝันนี้มักจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มักจะเริ่มจากการเดินซื้อของ และตื่นขึ้นมาก่อนที่จะรับโทรศัพท์เสมอ
แน่นอนว่าเธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหลังจากนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ห้วงฝันจึงมักจะสิ้นสุดลงก่อนที่เธอจะรับโทรศัพท์เสมอ
ฉินซียิ้มสมเพชตัวเอง
เธอคิดว่าตัวเองสามารถเผชิญหน้ากับเรื่องที่ฉินซึ่งเทียนทำได้ตั้งนานแล้ว ทว่า ภาพในความฝันได้บอกกับเธอแล้วว่าเธอทำไม่ได้
เธอยังคงโกรธอยู่ บางทีอาจจะยังหวาดกลัวเล็กน้อย
ความจริงแล้วการที่ฝันถึงหซู่หนานนั้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ในตอนแรกฉินซีก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอมีความรู้สึกกับเขาจริง ๆ หรือไม่ แต่แล้วหลังจากนั้นเธอก็คิดออก อาจเป็นเพราะหซู่หนานปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลานั้นพอดี ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาอยู่กับเธอในช่วงเวลาแบบนั้น เธอก็คงไม่ได้ฝันถึงหซู่หนาน
ทว่าคำพูดนี้ นอกจากฉินซีแล้วเกรงว่าคงจะไม่มีใครเชื่อ
ตัวอย่างเช่น…
“เธอเพิ่งจะละเมอออกมา”
ฉินซีตกใจจนแทบจะกระโดด เธอหันไปมองก็พบว่ายังมีใครอีกคนอยู่ข้างในห้อง
แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลู่เซิ่น
แววตาของลู่เซิ่นดำมืด สีหน้าเหมือนฝนที่กำลังตั้งเค้า เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วกดฉินซีลงบนหัวเตียง
“รู้ไหมว่าเมื่อกี้นี้เธอเรียกชื่อของใครออกมา”
การพูดความจริงในเวลาแบบนี้เป็นเรื่องที่โง่เง่ามาก ถึงแม้จะรู้ดีว่าบางทีเธออาจจะพูดละเมออะไรออกมา ฉินซียังคงทำสีหน้าสับสน “ฉันพูดอะไรออกไปเหรอคะ”
ลู่เซิ่นไม่ใช่คนที่จะสามารถถูกหลอกได้ง่ายขนาดนั้น เขาบีบคางของฉินซีด้วยแรงที่ไม่เบา ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นกับชัดเจนเป็นอย่างมาก “เมื่อกี้เธอเพิ่งเรียกชื่อหซู่หนานออกมา”
ฉินซีลอบด่าว่าลู่เซิ่นไม่มีเหตุผลอยู่ในใจ เธอหันหน้าหนีมือของลู่เซิ่น “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณกำลังพูดความจริง”
ลู่เซิ่นไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด เขาดึงมือกลับมา ยืดหลังตรง แล้วมองไปที่ฉินซีอย่างเหนือกว่า “ฉินซี เธอรู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นใคร”
ฉินซีเงยหน้ามองเขา “ฉันคือฉินซี”
ลู่เซิ่นหัวเราะเบา ๆ “เธอไม่ใช่แค่ฉินซีเท่านั้น เธอยังเป็นคุณนายลู่”
เขาโน้มตัวลง “อย่าได้ลืมสถานะของตัวเองโดยเด็ดขาด”
พูดจบก็เดินออกไปทันทีโดยไม่ดูปฏิกิริยาตอบสนองของฉินซี
ฉินซีมองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างตกตะลึง
อาจจะเป็นเพราะท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างกำลังค่อย ๆ มืดลง ไม่ก็อาจเพราะฉินซียังไม่ตื่นดี ถึงได้รู้สึกว่าเงาแผ่นหลังที่เดินออกไปของลู่เซิ่นนั้นแฝงไปด้วยความโดดเดี่ยวอยู่หลายส่วน
“คิดอะไรของเธออยู่น่ะ!” เธอรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ฉินซีก็สะบัดหัวอย่างเย้ยหยันตัวเอง ก่อนจะลุกออกจากเตียง
เธอนอนกลางวันไปค่อนข้างนาน พริบตาเดียวก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เมื่อตอนบ่ายฉินซีไม่ได้ขยับตัวอะไรนะ ดังนั้นเธอจึงยังไม่รู้สึกอยากอาหาร เดิมทีก็ไม่ได้คิดจะลงไปกินข้าวแล้ว แต่พอนึกถึงภาพแผ่นหลังนั้นของลู่เซิ่น เธอจึงเดินลงไปที่ห้องอาหารข้างล่างราวกับถูกผีสางเทวดาชักจูง