บทที่ 861 กระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา
ฉินหว่านกลับถึงบ้าน ก็ถูกหลี่เหวยขวางไว้ด้วยท่าทีที่กระหืดกระหอบ “เมื่อคืนแกไปไหนมา!ดึกๆดื่นๆทำไมไม่อยู่บ้าน!”
ฉินหว่านแค่หันไปยิ้มกับเธอ “แม่ หนูโตแล้วนะ ”
สีหน้าของหลี่เหวยเปลี่ยนไป “แกหมายความว่ายังไง ”
ฉินหว่านยิ้มไม่ได้ตอบอะไร เดินกลับเข้าไปในห้อง
หลี่เหวยมองท่าเดินที่ไม่เป็นธรรมชาติของเธอ หัวใจเธอหล่นวูบ
เธอไล่ตามไปไม่กี่ก้าวพลางคว้ามือของฉินหว่านและถามอย่างเคร่งขรึม “หว่านหว่าน พูดให้เคลียร์สิ เมื่อคืนแกไปทำอะไรมา!”
ฉินหว่านเหลือบมองเธอ พูดเสียงอ่อน “แม่ ยังดูไม่ออกอีกเหรอ”
หลี่เหวยเซไปด้านหลัง “แก…ทำไมถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้”
เธอโกรธจนตัวสั่น “ฉันจัดการหาคู่นัดดูตัวให้แกแล้ว ไม่นานแกก็จะได้แต่งงานกับคนรวยๆ แต่แกกลับ…ใคร?มันเป็นใคร”
ฉินหว่านส่ายหน้า ไม่พูดอะไรออกมา
แต่หลี่เหวยไม่ใช่คนโง่ เมื่อเธอค่อยๆนึกย้อนก็พอจะนึกออก “ใช่ไอผู้ชายคนนั้นที่มาบ้านเมื่อวันก่อนรึเปล่า”
สีหน้าของฉินหว่านดูลนลาน หันหลังกลับพลางจะเดินหนี “แม่ เลิกถามสักทีเถอะ”
แต่หลี่เหวยคว้าตัวเธอไว้แน่น เสียงแหลมดังขึ้น “ทำไมจะถามไม่ได้ กำลังปกป้องแฟนของแกอยู่รึไง แกไม่พูดแล้วคิดว่าฉันจะหาไม่เจอเหรอว่ามันเป็นใคร นอนกับลูกสาวฉันแล้วคิดจะไม่รับผิดชอบเหรอ ”
ฉินหว่านปิดปากสนิท ไม่เอ่ยอะไรออกมา
หลี่เหวยหายใจถี่ เธอคิดจะไปหาฉินซึ่งเทียน แต่ในขณะที่สถานการณ์กำลังวุ่นวายอยู่นั้น คนรับใช้ก็เคาะประตูและเดินเข้ามา “คุณนายคะ มีแขกขอเข้าพบค่ะ”
ในขณะนี้หลี่เหวยกำลังโกรธ จะให้มีใจอยากพบแขกได้อย่างไร เธอโบกมือไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ให้พบ!”
สาวรับใช้พูดอย่างระมัดระวัง “แขกบอกว่า มาพบ…คุณหญิงฉินค่ะ”
หลี่เหวยขมวดคิ้ว ตอบกลับอย่างเคยปาก “ฉันสนว่าเขามาหาใคร…”
เธอยังพูดไม่จบประโยคก็หยุดกะทันหัน
ใครกันที่มาหาฉินหว่านในเวลานี้
เธอโบกมือ “ให้คนพาไปที่ห้องรับแขก”
ฉินหว่านเองก็ตอบสนองทันที เธอตะโกนบอกสาวรับใช้ “ไม่ต้อง ให้เขากลับไป!”
สาวรับใช้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นว่าหลี่เหวยกำลังจ้องเธออยู่ จึงตัดสินใจเพิกเฉยต่อคำพูดของฉินหว่านและหันหลังกลับไปพาคนเข้ามา
“แม่!หนูบอกแล้วไงว่านี่มันเรื่องของหนู ทำไมแม่ต้องเข้ามายุ่งด้วย!” ฉินหว่านจ้องเขม็ง
หลี่เหวยทั้งโกรธทั้งหัวเราะ “เรื่องของแก? แกคิดว่าแกจะได้แต่งงานกับใครก็ตามที่แกอย่างแต่งด้วยอย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าใครมันทำให้แกหลงหัวปักหัวปำได้ขนาดนี้ ”
ในขณะที่ฉินหว่านยังอยากพูดอะไรออกมา คนรับใช้ก็พาคนเข้ามาแล้ว
ไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นคือหซู่หนาน
หซู่หนานไม่ได้ตกใจกลัวที่เห็นหลี่เหวย เขาพยักหน้าทักทาย “สวัสดีครับคุณป้า”
สีหน้าของหลี่เหวยยังคงโกรธอยู่ “เมื่อคืนเธออยู่กับลูกสาวฉันใช่ไหม”
หซู่หนานพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ “ครับผมเอง แต่คุณป้าครับ ให้เวลาผมได้คุยกับฉินหว่านก่อนสักเล็กน้อย ผมจะรับผิดชอบครับ”
หลี่เหวยมองไปที่ฉินหว่านอย่างสงสัย ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรออกมา เธอตอบด้วยเสียงราบเรียบ“แบบนี้คงดีที่สุด”
เธอหันหลังกลับเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น
“ฉินหว่าน ฉันรู้ว่ามันค่อนข้างจะเร็วเกินไปที่จะพูดแบบนี้ แต่ฉันคิดมาตลอดทางและก็คิดออกแล้วด้วย”
หซู่หนานไม่รอให้ฉินหว่านเอ่ยปาก เขาพูดเองเออเองอยู่คนเดียว
“ในเมื่อฉินซีใจร้ายขนาดนี้ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพลวงตาอะไรให้กับเธออีก ฉันอาจจะถอนใจจากเธอไม่ได้ทันที แต่ฉันตัดสินใจว่าจะไม่ชอบเธอแล้วและจะไม่มองย้อนกลับไปอีก
ฉินหว่านเงยหน้าสบตาเขาและก็กลับไปก้มหน้าอีกครั้ง แต่สีหน้าของเธอไม่ทำให้รู้สึกถึงการต่อต้านแล้ว
หซู่หนานเดินเข้ามาใกล้เธอ “ฉันรู้ว่าการที่ฉันพูดกับเธอแบบนี้มันอาจไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ แต่ฉันทำเหมือนกับว่าเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรอกนะ ฉันอยากจะรับผิดชอบเธอ ถ้าเธอไม่ชอบฉัน พวกเราค่อยๆทำความคุ้นเคยกันก็ได้ ฉันจะตามจีบเธอจนกว่าเธอจะใจอ่อน ”
ฉินหว่านพูดเสียงเรียบ “นายไม่จำเป็นต้องฝืนใจ”
หซู่หนานส่ายหัว “ที่ฉันทำให้เธอ ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความรู้สึกนะ”
ฉินหว่านเงยหน้าขึ้นทันที
ดวงตาของหซู่หนานแน่วแน่มาก “เพราะงั้นแล้ว เธออย่าปฏิเสธฉันเลยนะ”
ฉินหว่านเม้มริมฝีปากของเธอและพยักหน้าอย่างช้าๆ
หซู่หนานเดินไปหยุดด้านข้างเธอ “ขอกอดหน่อยได้ไหม”
ฉินหว่านไม่อนุญาตแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“ฉันถือว่าได้นะ” หซู่หนานเอื้อมมือออกไปกอดเธอไว้
ฉินหว่านฝังหน้าของเธอลงบนไหล่ของหซู่หนาน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง
ตอนแรกเธอทำเพื่อแก้แค้นฉินซีแต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ชดใช้ด้วยชื่อเสียงของตัวเอง
ตั้งแต่ที่ตัดสินใจมีหซู่หนานเข้ามา เธอก็ไม่สามารถปล่อยให้หซู่หนานคิดถึงคนอื่นได้อีกต่อไป
เธอต้องการให้หซู่หนานเป็นฝ่ายไล่ตามเธอและต้องการให้หซู่หนานชอบเธอจริงๆ
ทั้งหลี่เหวยและหซู่หนาน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนของเธอ
สำหรับเรื่องเมื่อคืน จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น มีแค่ตัวเธอที่รู้ก็เพียงพอแล้ว
……
ลู่เซิ่นและฉินซีไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยตลอดทางหลังจากที่ออกจางโรงพยาบาลจนมาถึงบ้าน
ฉินซีไม่รู้จริงๆว่าลู่เซิ่นกำลังโมโหเรื่องอะไรอยู่อีกทั้งยังขี้เกียจเกินกว่าจะหาเหตุผล เธอนึกย้อนถึงผลงานของตัวเองในเดือนนี้
เดือนนี้เธอ…ดูเหมือนจะไม่ได้ถ่ายอะไรเลย
อาชีพช่างภาพของฉินซีเพิ่งเริ่มต้น เธอส่งบทความไปยังนิตยสารอย่างไม่หยุดหย่อนและอาจไม่ได้รับการว่าจ้างด้วยซ้ำ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีนี้ เพราะเหตุนี้เธอจึงช่วยถ่ายภาพให้นิตยสารของอานหยัน
ตอนที่ออกจากบ้าน เธอตัดขาดกับตระกูลลู่ เธอจากมาด้วยความโกรธเคืองโดยไม่เอาเงินของฉินซึ่งเทียนเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อมาแม่ของเธอก็ฆ่าตัวตายหลังจากที่เข้าโรงพยาบาลโดยทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้เธอ อุปสรรคมากมายถาโถมเข้ามา แต่เธอก็บังเอิญได้พบกับลู่เซิ่น…
เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดถึงเขา ฉินซีก็เบ้ปากพลางขยับตัวของเธอให้ห่างจากลู่เซิ่นเล็กน้อย
แน่นอนว่าจากหางตาของลู่เซิ่นแล้ว เขาเห็นการเคลื่อนไหวของเธอทั้งหมด จากเดิมที่เต็มไปด้วยความโกรธ ในขณะนี้กลับหายไปไม่น้อย
คนขับจอดรถและเปิดประตูให้ทั้งสองคน ฉินซีเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่รอเขา
…ไม่เคยมีใครปฏิบัติกับลู่เซิ่นเช่นนี้มาก่อน
หลินหยังมองลู่เซิ่นด้วยความตกใจ แต่กลับพบว่าในดวงตาของลู่เซิ่นเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
ในหัวของหลินหยังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ??
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะยุ่งเรื่องครอบครัวของเจ้านาย เดินตามลู่เซิ่นไปตามระเบียบ ไม่เอ่ยถามอะไรมากความ
เดินไปได้ไม่นานลู่เซิ่นก็หยุดกะทันหัน หันกลับมาพูดกับเขาว่า “นายไปที่ห้องหนังสือก่อนเถอะ”
หลินหยังพยักหน้ารับพลางจะเดินออกก็ต้องชะงัก “เอายาให้ฉัน”
หลินหยังรีบหยิบยารักษาบาดแผลที่เขาเพิ่งนำมาจากโรงพยาบาลออกมา
ลู่เซิ่นรับไป เขาสั่งอีกครั้ง “นายไปรอที่ห้องหนังสือก่อน”
หลินหยังมองไปตามทิศทางที่เขากำลังเดินไป ในใจรู้สึกโล่งอก
บางทีการโกรธอาจเป็นวิธีกระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็เป็นได้
……
ลู่เซิ่นเดินไปที่ประตูห้อง เขาเคาะประตูพอเป็นสัญญาณและผลักเข้าไป
ฉินซีหันหลังให้เขาโดยที่เสื้อคลุมของเธอถอดเหลือครึ่งหนึ่ง เธอหันหน้าไปเพราะได้ยินเสียง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็หันหน้ากลับ
โมโหอยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วจะเดินตามเข้ามาทำไมอีก