บทที่ 872 ขายเพื่อนร่วมทีม
น้ำตาของสูหวั่นยังติดอยู่บนใบหน้า มองไปที่ลู่เซิ่นอย่างน่าสงสาร แล้วพูดเบาๆ ว่า“ถ้าหากว่าพี่ลู่ลำบากใจล่ะก็……”
ลู่เซิ่นไม่ต้องการที่จะรังแกเด็กผู้หญิง แต่ไม่ต้องการที่จะทำตามข้อตกลงของสูหยิงมากนัก หลังจากที่มองไปรอบๆ ก็ตะโกนเรียกออกมาทันที“ฉินซี”
ฉินซีที่กำลังทานแตงโมอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหัน ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง“หา?”
ลู่เซิ่นขยิบตาให้เธอ
มันยากสำหรับตัวเขาที่จะปฏิเสธ และไม่อยากจะถูกพูดว่ารักแกเด็กผู้หญิง แต่เรื่องแบบนี้ เป็นการดีที่สุด ที่จะให้ฉินซีเป็นคนจัดการ
เนื่องจากเธอเป็นภรรยาของเขา ก็ต้องรู้ว่าจะต้องพูดอะไร……
ลู่เซิ่นเหลือบมองไปที่ฉินซีอย่างมั่นใจ หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้ แล้วยิ้มกว้าง“ที่คุณแม่พูดก็ถูก ลู่เซิ่น เด็กผู้หญิงที่เพิ่งเรียนจบ การได้มีประสบการณ์ในระดับล่างสุด มันไม่ดี ถ้าได้เป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ คุณ คุณก็ยังจะได้ดูแลเธออีกด้วย”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วขึ้นแน่นทันที“……”
“ยังดีที่ฉินซีรู้ถึงสถานการณ์”สูหยิงมองไปที่ฉินซีเป็นครั้งแรกในคืนนี้ และพยักหน้าให้เธอ“ถ้าหากว่าความอดทนเพียงแค่นี้ยังไม่มี งั้นก็ไม่ควรที่จะแต่งงาน สูหวั่น ป้าได้ตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว หนูไม่ต้องกังวลนะ”
สีหน้าของลู่เซิ่นมืดมน ราวกับก้นหม้อ ไม่คาดคิดว่าฉินซีจะทรยศแบบนี้ แล้วจ้องมองเธออย่างเย็นชา
ฉินซีกระพริบตามองเขา อย่างไร้เดียงสา แต่เนื่องจากที่โต๊ะยังมีคนอื่นอยู่ จึงไม่สามารถพูดอย่างอื่นได้
ในที่สุด ก็มีเพียงแค่สูหวั่นที่ยิ้มออกมา บิดตัวอย่างเขินอายมองไปที่สูหยิง แล้วก็มองไปที่ฉินซี ด้วยสายตาที่ขอบคุณ“ขอบคุณคุณป้าสะใภ้ค่ะ ขอบคุณ……ฉินซี”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เฮ้ พี่สะใภ้ก็ไม่แม้แต่จะเรียก
ดูเหมือนจะเป็นการท้าประลองแล้วจริงๆ
เธอเหลือบมองไปที่ลู่เซิ่น ลู่เซิ่นกลับก้มหน้าลง กำลังกดโทรศัพท์
หลังจากนั้นไม่นาน หน้าจอโทรศัพท์ของฉินซีก็สว่างขึ้น
เธอถือขึ้นมาแล้วดูมัน ก็เห็นว่าเป็นข้อความของลู่เซิ่น
“เดี๋ยวคุณค่อยหาคำอธิบายดีๆ ให้ผม”
ฉินซีตอบกลับด้วยอิโมติคอน แล้ววางโทรศัพท์คว่ำลงบนโต๊ะ และไม่มองมันอีก
ลู่เซิ่นตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรต่ออีก แล้วก็เริ่มก้มหน้าทานอาหาร
สูหยิงเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าเขาตกลง และจะไม่ปฏิเสธอีก ในที่สุดอารมณ์ก็ดีขึ้น กล่าวทักทายทุกคน และเริ่มทานอาหารด้วย“มาๆ เสี่ยวหวั่น ลองชิมอันนี้สิ นี่เป็นอาหารพิเศษของเชฟตระกูลพวกเราจ๊ะ”
เห็นได้ชัดว่าฉินซีก็นั่งอยู่ข้างๆ เธอ แต่สูหยิงกลับมองว่าเธอไม่มีตัวตนอีกแล้ว แล้วพูดกับสูหวั่นที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอีกฟากหนึ่ง
สูหวั่นตอบรับ เมื่อตักใส่ชามของตัวเองได้เล็กน้อย หลังจากคิดไปคิดมา ก็ตักใส่ชามเปล่าที่อยู่ข้างๆ แล้วผลักไปทางลู่เซิ่น “พี่ลู่คะ พี่……ก็ลองชิมอันนี้ด้วย……”
ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วก็มองไปที่ตะเกียบที่อยู่ในมือของเธอ
สูหวั่นรีบอธิบาย“ฉันใช้ตะเกียบกลางค่ะ!”
ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฉินซี เมื่อเห็นว่ากำลังก้มหน้าจดจ่อกับการดื่มซุป ไม่ได้สนใจทางฝั่งนี้เลย
เขาก็หัวเราะอย่างเย็นชา รับชามของสูหวั่น แล้วพูดเสียงแข็งว่า“ขอบคุณ”
เดิมทีฉินซีที่กำลังจดจ่ออยู่กับการกิน แต่เมื่อได้ยินเสียงของลู่เซิ่น ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
อืม……ตรงหน้าของลู่เซิ่นมีชามเพิ่มขึ้นมา และสูหวั่นกำลังมองไปที่เขาอยู่ตลอดเวลา
เธอใช้นิ้วเท้าคิด ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เดิมทีเธอต้องการที่จะทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และก้มหน้าก้มตาที่จะทานต่อ แต่ว่า……สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่ลู่เซิ่น ที่เอื้อมมือออกมา และขมวดคิ้วอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ลู่เซิ่นที่ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ จึงเงยหน้าขึ้น
ทั้งสองคนประสานสายตากันไม่กี่วินาที ฉินซีก็ก้มหน้าลงก่อน
อาจเป็นเพราะ บนใบหน้าของเธอปรากฏความไม่พอใจ อย่างเห็นได้ชัดจนเกินไป จึงทำให้สีหน้าของลู่เซิ่นมีท่าทีที่ดีขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วเขาก็ผลักชามที่สูหวั่นส่งมาให้ คืนกลับไป“ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ชอบทานอันนี้”
สูหวั่นมองเขาด้วยความสับสน ตั้งแต่เล็กเธอก็อยู่ในครอบครัว และเป็นคุณหนูที่ร่ำรวย แต่เพื่อลู่เซิ่น เธอก็วางตำแหน่งของเธอไว้ต่ำมาก เกินกว่าจะต่ำได้แล้ว
แต่เขาก็ยังเป็นแบบนี้ ไม่ไว้หน้าเธอแม้แต่น้อย
สูหยิงและลู่เหวยกำลังคุยกัน และพลาดกับเหตุการณ์คลื่นใต้น้ำ ที่พลุ่งพล่านทางนี้ไป แล้วก็บังเอิญได้ยินลู่เซิ่นพูด จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วขมวดคิ้ว“ลูกไม่ใช่ชอบอาหารจานนี้มากที่สุดเหรอ?แม่ยังสั่งให้เชฟทำไว้ให้ลูกเป็นพิเศษ ไม่ชอบมันตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วล่ะ?”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วขึ้น“เพิ่งจะตัดสินใจไม่ชอบมันแล้ว”
สูหยิงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แล้วพูดอย่างหมดความอดทน“โตขนาดนี้แล้วยังจะเลือกกินอีก”
มีเพียงแค่สูหวั่นที่มีสีหน้าซีดลงเล็กน้อย
ฉินซียังคงมีท่าทีที่เป็นเหมือนคนนอก ก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อ
หนึ่งมื้ออาหารที่ทานอย่างเหนื่อยใจเหนื่อยกาย ในที่สุดก็ผ่านพ้นไป ลู่เซิ่นลุกขึ้นยืน ฉินซีก็ลุกขึ้นตาม
“พวกเรากลับก่อนนะ”ลู่เซิ่นพยักหน้าไปทางลู่เหวย
สูหยิงก็พูดแทรกขึ้น“จะรีบไปกันทำไม?ในบ้านก็ไม่ใช่ไม่มีห้อง อยู่ที่บ้านพักสักหนึ่งคืน พรุ่งนี้ก็ค่อยตรงไปที่บริษัท พอดีกับที่สูหวั่นเพิ่งจะกลับมาจากประเทศM ลูกก็คุยอยู่เป็นเพื่อนน้องก่อน”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง“ผมไม่มีเวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนคุยได้หรอก แม่กระตือรือร้นขนาดนี้ ก็คุยกับเธอเองแล้วกันครับ”
สูหยิงยื่นมือออกมาตบเขา“ทำไมถึงพูดอย่างนี้!เสี่ยวหวั่นเธอเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน และอยากที่จะเจอลูกมาตลอด ก่อนทานข้าวก็รอพวกเราลงมาอย่างยินยอม ให้ตัวเองได้ลงก่อน เพื่อที่จะได้มาคุยกับลูก”
สูหวั่นที่ถูกจับได้ ก็หน้าแดง แล้วพูดเสียงเบาว่า“คุณป้าคะ……”
สูหยิงยิ้ม แล้วมองไปที่เธอ“ทำไมถึงเขินขึ้นมาล่ะ?ไม่เป็นอะไร หนูก็แค่ลากพี่ลู่ของหนูมาคุยด้วย เขาคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ที่นี่ดี มีอะไรก็ถามเขาได้”
ลู่เซิ่นที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย“แม่ แม่ฟังที่ผมพูดหน่อยได้ไหมครับ?คืนนี้ผมต้องกลับ ผมยังมีธุระที่ต้องจัดการ”
สูหยิงกลับไม่ได้สนใจกับคำคัดค้านของเขาเลย“ธุระอะไร อยู่จัดการที่นี่ก็ได้”
ฉินซีที่ยืนอยู่อีกด้าน ราวกับภาพพื้นหลัง
ช่างเป็นภาพที่ปรองดองกันมากๆ ไม่มีตัวเธอก็สมบูรณ์แบบได้
เดิมทีเธอไม่ควรที่จะมีความผันผวนเกิดขึ้นในใจ แต่กลับรู้สึกขึ้นเล็กน้อย……ไม่ดีเลย
ลู่เซิ่นดูเหมือนจะพูดไม่ออก กับการกระทำของสูหยิง เขากลอกตา แล้วขมวดคิ้วขึ้น“อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ไม่ได้……”
ในที่สุดเมื่อเห็นเขาปล่อยอ่อนข้อให้ สูหยิงและสูหวั่นทั้งคู่ก็ดูมีความสุข
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ทำลายภาพลวงตาของทั้งสองคน“ผมจะให้ผู้ช่วยนำของมาให้จัดการ ส่วนเรื่องเป็นเพื่อนคุย จะให้ฉินซีเป็นคนคุย วันนี้เธอค่อนข้างจะว่าง”
ฉินซีได้รับการเสนอชื่อเป็นครั้งที่สองในคืนนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง แล้วหันหน้ามองไปทางลู่เซิ่น
แต่ดวงตาที่เหลือบมองมาของลู่เซิ่น……ไม่ได้เป็นมิตรแม้แต่น้อย
ฉินซีจำได้ว่า คืนนี้ตัวเธอเองถูกเพื่อนร่วมทีม ขายบนโต๊ะอาหารไปแล้วหนึ่งครั้ง ถ้าถูกขายอีกครั้ง เกรงว่าอาจจะไม่สามารถรับผลที่จะตามมาได้
เธอทำได้เพียงแค่ยิ้มบนใบหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับสูหวั่น“ลู่เซิ่นยุ่ง เธอมีเรื่องอะไร ถามฉันก็เหมือนๆ กันนะ”
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของสูหวั่นและสูหยิง ไม่มีใครคิดว่า ข้อเสนอแนะของเธอนั้นดี
มีเพียงการแสดงออกของลู่เซิ่นเท่านั้น ที่ดูน่าพอใจ
ฉินซีถอนหายใจอย่างหงุดหงิดอยู่ภายในใจของเธอ