บทที่ 868 ไม่ถึงกับจะเป็นจะตาย
หลี่เหวยประหลาดใจพลางเอื้อมมือไปลูบหน้าผากของเธอ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉินหว่านยังคงนั่งขดตัวคุดคู้อยู่อย่างนั้น ราวกับว่าวิญญาณของเธอถูกถอดออกไป
หลี่เหวยรีบลุกขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้น! ทำไมหลังจากกินข้าวเสร็จไม่นานถึงเป็นแบบนี้ เพราะไอหซู่หนานรังแกแกเหรอ ฉันจะโทรไปถามไอ้บ้านั่นเอง! ”
เธอพูดไปด้วยพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา
ฉินหว่าน เหมือนถูกคำว่า “หซู่หนาน” ปลุกให้ตื่นออกจากภวังค์ของตัวเอง เธอกลับมาได้สติอีกครั้ง ฉินหว่านคว้าชายเสื้อของหลี่เหวยไว้ “แม่ อย่านะ”
สุดท้ายแล้วนั่นก็คือลูกสาวของตัวเอง หลี่เหวย มองไปในดวงตาแดงก่ำของเธอหัวใจคนเป็นแม่ช่างเจ็บปวด “บอกแม่มาสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ฉินหว่านยิ้มเนือยๆ “หซู่หนานเขา…จะเลิกกับหนู”
ฉินหว่านพูดคำว่า “เลิกกัน” ออกมาอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าเธอทนไม่ได้ที่จะพูดคำคำนี้ออกมาจากปากของตัวเอง เธอหลับตาลงหลังจากพูดจบเหมือนพยายามหลีกเลี่ยงบางอย่าง
“อะไรนะ” ดวงตาของหลี่เหวยเบิกกว้างขึ้น “หซู่หนานจะเลิกกับแกเหรอ”
ฉินหว่านฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือของเธอ หลังจากนั้นก็ส่งเสียง “อืม” ออกมาเบาๆ
หลี่เหวยลืมความโกรธไปจนหมดพลางลดตัวลงข้างเธอ โอบกอดเธอไว้ “ไม่ต้องร้องนะ แม่อยู่ตรงนี้แล้ว มีอะไรค่อยๆบอกแม่มา”
ฉินหว่านร้องสะอื้นอยู่พักใหญ่ เป็นเรื่องยากที่จะเห็น หลี่เหวย อดทนอยู่กับเธอเป็นเวลานานอย่างนี้พลางใช้มือลูบหลังเธอเบาๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุด ฉินหว่านก็สงบสติลง “แม่ หนูไม่เป็นไรแล้ว”
หลี่เหวยมองเข้าไปในดวงตาที่ว่างเปล่าของเธอ ในใจยังคงรู้สึกกังวล “จริงเหรอ”
ฉินหว่านพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “จริงสิ แม่ เลิกกันมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ไม่ทำให้หนูจะเป็นจะตายหรอกนะ”
หลี่เหวยสงสัยที่ความคิดของเธอเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเสียเวลาอยู่ที่นี่กับฉินหว่าน มากเกินไปแล้ว
นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนความคิดของฉินซึ่งเทียน หลี่เหวย ได้ตัดสินใจแล้ว เธอจะใช้ประโยชน์จากการที่ฉินซีแย่งชิงหุ้นไปอย่างหน้าตาเฉย ทำให้ฉินซึ่งเทียนรู้สึกผิดหวังในตัวของฉินซีและเอามาเป็นของตัวเองตามที่ต้องการ
แม้ว่าจะมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่หลี่เหวยก็ลุกขึ้น “ใช่แล้ว มันก็แค่เลิกกัน อย่าไปคิดมาก อาจเป็นแค่การทะเลาะเล็กๆน้อยๆของพวกแกสองก็ได้ ฉันจะไปดูพ่อแกก่อน ส่วนแกก็สงบสติอารมณ์อยู่ตรงนี้ อย่าเป็นลมไปล่ะ ”
ฉินหว่านเงยหน้าขึ้นพลางส่งยิ้มให้เธอ “นี่แม่กลายเป็นคนพูดเยอะแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบไปเถอะค่ะ”
หลี่เหวย เห็นรอยยิ้มของฉินหว่านดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นก็เบาใจลง เธอพูดปลอบอีกสองสามคำจากนั้นก็เดินกลับไปยังห้องทำงาน
แต่เมื่อเธอเดินไปถึงประตู ก็นึกถึงคำพูดของฉินหว่าน ขึ้นมาได้
จะเป็นจะตาย หมายความว่าอะไรกันแน่
หลี่เหวยยังคงรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย เธอหันกลับไปบอกกับแม่บ้าน “คอยดูแลหว่านหว่านดีๆนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นรีบบอกฉันทันที”
แม่บ้านพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเธอก็เดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก
……
คฤหาสน์ตระกูลลู่
ฉินซีรู้สึกว่าลู่เซิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆเธอนั้นหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
เธอแอบหัวเราะอยู่ในใจ สงสัยว่าฉันจะแสดงได้ไม่ดีสินะ! ฉันจะทำให้นายเห็นเอง!
แต่ไม่คาดคิดว่าวินาทีต่อมา ลู่เซิ่นจะเอื้อมมือออกมาคว้าตัวเธอ ราวกับจะโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
“คุณนายลู่ อยู่ใกล้ฉันไว้”
ลู่เซิ่นก้มลงแล้วกระซิบข้างหู ลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหูของเธอ
ฉินซีถอนหายใจในใจ ยังอ่อนหัดเกินไปนะ
แต่เพราะพ่อบ้านตระกูลฉินกำลังยืนอยู่ข้างๆ เธอจึงทำได้เพียงเงยหน้าส่งยิ้มให้ลู่เซิ่น “อืม!”
ลู่เซิ่นโอบเอวของเธอแล้วพาเธอเดินเข้าไปในบ้านตระกูลลู่ ทั้งสองคนดูเหมือนจะสนิทกันมากจนแทบจะตัวติดกัน
พวกเขาสองคนไม่ค่อยได้ทำตัวสนิทสนมแบบนี้กันเท่าไหร่ ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งน้อยครั้ง ฉินซีรู้สึกอึดอัด เธอลดศีรษะลงและพยายามเคลื่อนตัวออกห่างจากลู่เซิ่น แต่ลู่เซิ่นก็สังเกตเห็นได้ทันที
ลู่เซิ่นก้มหัวลงแล้วพูดด้วยโทนเสียงที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “มีพ่อบ้านยืนอยู่ข้างหลังเรา”
ฉินซียืดตัวตรง
การถูกตระกูลลู่ขับไล่ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอะไร อย่างมากก็เป็นแค่เรื่องที่น่าอับอายขายหน้า
หากคุณนายลู่ยืนยันที่จะให้พวกเขาหย่ากัน มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก อันที่จริง…เธอเพิ่งได้รับหุ้นมาวันนี้ ประกอบกับความเป็นไปได้ที่จะได้รับส่วนแบ่งหลังจากการหย่าตามคำพูดของทนายความจ้าวที่พูดเมื่อเช้า เธอจึงไม่ต้องการให้การแต่งของเธอกับลู่เซิ่นเกิดปัญหา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ล้มเลิกความคิดที่จะเคลื่อนตัวออกห่างจากลู่เซิ่น แถมยังเต็มใจโน้มตัวเข้าใกล้ลู่เซิ่นพลางกระซิบตอบ “ฉันรู้ หนทางนี้ยังอีกยาวไกล”
นี้คือครั้งแรกที่ที่ฉินซีได้มาบ้านตระกูลลู่ มันแตกต่างจากที่เธอคิดไว้เล็กน้อย สไตล์การตกแต่งของบ้านตระกูลลู่นั้นแตกต่างกับที่รีสอร์ทชิงหยวน โดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของลู่เซิ่นจะชอบการตกแต่งแบบสไตล์จีนดั้งเดิม ภายในคฤหาสน์เต็มไปด้วยฉากกั้นและงานแกะสลักจากไม้มะฮอกกานี
ฉินซีมองไปรอบๆ โปรยปรายความสนใจไปทั่ว ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไปอย่างช้าๆ
สถานที่พวกเขาลงจากรถคือประตูด้านหน้า แต่ว่าคฤหาสน์ตระกูลลู่นั้นใหญ่เกินไป จึงทำให้พวกเขาทั้งสองต้องเดินไปสักพัก ถึงจะเจอกับห้องอาหาร
“คุณชาย รอสักครู่นะครับ” พ่อบ้านเฝ้าดูท่าทีที่สนิทสนมพวกเขาตลอดทางจากด้านหลัง แต่ดูเหมือนพ่อบ้านจะไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย รอยยิ้มของพวกเขายังคงสุภาพเหมือนเดิม
ลู่เซิ่นพยักหน้า คนรับใช้ก็เปิดประตู ในที่สุดเขาก็ปล่อยแขนที่โอบกอดฉินซีมาตลอดทาง แล้วเปลี่ยนไปเป็นจับมือของฉินซีแทน
นิ้วมือของทั้งสองคนประสานกัน
ฉินซีไม่รู้ว่าเคยเห็นคำพูดแบบนี้มาจากที่ไหน กล่าวว่าปลายนิ้วนั้นอยู่ใกล้กับหัวใจมากที่สุด
เมื่อก่อนเธอไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ในขณะที่นิ้วของคนทั้งสองประสานกัน เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แพร่ซ่านค่อยๆคืบคลานเข้ามาในหัวใจของเธอ
….ลู่เซิ่นช่างทุ่มเทจริงๆ
ลู่เซิ่นจับมือของเธอแล้วพาเธอเข้าไปในห้องอาหาร คนรับใช้ปิดประตูลง
ไม่มีใครอยู่ในห้องอาหารนั้น มีเพียงแค่พวกเขาสองคน
ฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางชักมือกลับ “เหนื่อยมากเลย”
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นจะไม่ค่อยพอใจเธอ แต่เขากลับยิ้มเยาะเย้ย “เดินแค่นี้ทำเป็นเหนื่อย แล้วเดี๋ยวกินข้าวจะทำยังไง”
ฉินซีไม่สามารถตอบโต้กับคำเยาะเย้ยได้ เธอหันไปหาเขาพลางเลิกคิ้วขึ้น “เหนื่อยก็คือเหนื่อย ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่ากินข้าวไม่ได้!”
ลู่เซิ่นยิ้มมุมปาก “ทีหลังฉันจะคอยดูท่าทีเธอไว้และอย่าคิดจะอยู่ห่างจากฉันอีกล่ะ ชัดเจนขนาดนี้ พ่อแม่ฉันดูไม่ออกก็บ้าแล้ว ”
ฉินซีจ้องมองเขา “ครั้งนี้ฉันไม่ทันได้เตรียมตัว! คอยดูได้เลย! นายอย่าพลาดบ้างก็แล้วกัน!”
ลู่เซิ่นยักไหล่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ประตูที่อยู่ด้านหลังก็เปิดออก
ฉินซีและลู่เซิ่นหันกลับไปพร้อมกัน แต่คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่พ่อแม่ของลู่เซิ่น กลับเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
เธอดูอายุยังน้อย สวมชุดเดรสสีเหลืองเหมือนลูกเป็ด มัดผมทรงบัน มีใบหน้าเล็กราวกับตุ๊กตา
ทันทีที่เธอเดินเข้ามาแล้วเห็นลู่เซิ่น เธอก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “พี่ลู่!”
ลู่เซิ่นกับฉินซีขมวดคิ้วพร้อมกัน