บทที่ 887 ไม่ควรติดต่อกับเขาอีก
ลู่เซิ่นไม่ได้บังคับเธอ แต่เพียงแค่ยักไหล่ “ผมแค่เสนอวิธีทางอื่นเท่านั้น ส่วนจะเลือกทำอะไรนั้น อยู่ที่ตัวคุณจะตัดสิน”
ฉินซีพยักหน้าแล้วเงียบ
อาหารมาเสิร์ฟในไม่นาน ฉินซีกลับไม่มีอารมณ์กินเลย
เธอเข้าใจความหมายของลู่เซิ่น
ตามสถานการณ์ทางธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป แม้จะได้มาอยู่ในกำมือแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว แต่ถ้าจะทำลายกลับง่ายกว่าเยอะ เอาแค่เรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องให้เธอมาทำให้สำเร็จ ก็สามารถทำให้เครือข่ายทุนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปพังได้
นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วก็จริง แต่……เธอกลับไม่สามารถตัดสินใจได้
เพราะอย่างไรก็ตามบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็เป็นความพยายามของปู่ของเธอ แม้ว่าความรู้สึกระหว่างเธอกับพ่อของเธอจะไม่มีอีกแล้ว แต่เธอก็ยังจำได้ว่าปู่เป็นคนใจดีกับเธอมาเสมอ
เธอไม่สามารถโหดร้ายไปเป็นคนร้ายนี่ได้
ทั้งสมองเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนไปหมด ฉินซีเพียงแค่กินไปสองสามคำก็รู้สึกกินไม่ลงแล้ว วางตะเกียบลงและหันหน้าไปดื่ม และดวงตาก็กวาดออกไปนอกหน้าต่างพอดี
หซู่หนานกำลังเดินออกจากประตูของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เส้นทางเป็นกลาง ดูเหมือนว่ามุ่งหน้ามายังภัตตาคารแห่งนี้
ฉินซีขมวดคิ้ว
เธอไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับหซู่หนานแบบตัวต่อตัว แต่เธอรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
เธอไม่มีความรู้สึกกับหซู่หนานมานานแล้ว แต่หซู่หนานดูเหมือนจะไม่เชื่อ พูดยังไงก็ไม่รู้เรื่อง ตามตื้อตัวเองอยู่เรื่อย
นอกจากนี้เธอยังจำได้ว่าเธอเคยสัญญากับลู่เซิ่นไว้ว่าเธอจะเจอกับหซู่หนานอีก แต่ทั้งสองคนได้พบกันหลายครั้งตั้งแต่นั้นมา
ลู่เซิ่นดูเหมือนจะใส่ใจตัวเธอเกี่ยวกับการติดต่อกับหซู่หนานมาก ถ้าพวกเขาพบกันอีกครั้ง คาดว่าฉากนี้คงไม่น่าดูสักเท่าไหร่
เธอเบ้ปาก เก็บสายตาหันมา และภาวนาในใจให้หซู่หนานไปทานข้าวกลางวันที่อื่น
แต่การภาวนาของฉินซีนั้นไม่มีผลอย่างเห็นได้ชัด
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆลู่เซิ่นก็เงยหน้าขึ้น
ฉินซีมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ เธอค่อยๆหันหน้ากลับไปพร้อมกับสายตาที่จ้องมองของลู่เซิ่น
สีหน้าของหซู่หนานก็ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่นัก สายตาของเขาวนเวียนระหว่างฉินซีและลู่เซิ่น ท่าทีว่าอยากจะทักแต่ก็ไม่กล้าทักเพราะศักดิ์ศรีของตน
ฉินซีหันหน้ากลับอย่างเรียบเฉย ไม่มองเขาอีก
ลู่เซิ่นก็หันหน้ากลับมา
หซู่หนานยังคงยืนอยู่ที่เดิม
นี่คือร้านอาหารที่อยู่ใกล้กับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป พนักงานเสิร์ฟอาจคุ้นเคยกับหซู่หนานบ้าง เมื่อเห็นว่าเขาหยุดไม่ขยับเลยจึงเดินไปข้างหน้าและถามว่า “คุณหซู่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
หซู่หนานไม่กล้ามีเรื่องที่นี่ ทำได้เพียงกลั้นไว้ แล้วส่ายหัว “ไม่มีอะไรครับ”
พนักงานเสิร์ฟสีหน้างุนงง แต่ก็นำทางไปตำแหน่งที่เขาจองต่อ
เมื่อฟังเสียงฝีเท้าของหซู่หนานที่ลอยออกไปไกล ฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอกำลังจะดื่ม แต่กลับได้ยินลู่เซิ่นพูดขึ้นช้าๆว่า “วันนี้คุณไปที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เพื่อหาเขา?”
แม้ว่าลู่เซิ่นจะไม่ได้ระบุว่า “เขา”คือใคร แต่การอ้างอิงก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ฉินซีไม่มีเจตนาที่จะโกหกเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบอย่างเรียบง่าย “ใช่”
ท่าทีที่ไม่ปิดบังของเธอทำให้ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ดังนั้นน้ำเสียงของเขายังฟังดูเย็นชา “ผมจำได้ว่าเคยบอกคุณ ไม่ควรติดต่อกับเขาอีก”
ฉินซีทำอะไรไม่ถูก
เธอรู้ว่าลู่เซิ่นจะถามเรื่องนี้
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะติดต่อกับเขา แต่แค่ฉันไปบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เจอเขาพอดีแค่นั้น”
ฉินซีพูดตามความจริงก็จริง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องราวที่หซู่หนานมาขวางรถเธอเมื่อวานนี้เท่านั้น ท่าทีใจกว้างมาก
ลู่เซิ่นก็หาคำที่จะตำหนิในขณะนั้นไม่ได้ เงียบไปสักพัก พูดอย่างเย็นชาว่า “คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพบกับเขาได้ก็จริงๆถ้าคุณไปที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป หรือว่า เป็นเพราะเหตุผลนี้คุณเลยจะกลับไป?”
เขาพูดแบบนี้มากเกินไปแล้ว ฉินซีขมวดคิ้วทันที “นายหมายความว่าไง? ทำไมฉันถึงกลับไปที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป นายยังไม่รู้หรือไง?”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองเข้าใจผิด แต่กลับไม่ยอมง่ายๆ “แน่นอนผมรู้ว่าคุณต้องการล้างแค้นให้แม่ของคุณเลยกลับไป แต่ยังสามารถพอเจอกับหซู่หนาน สำหรับคุณแล้วคงเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ?”
ฉินซีแสยะยิ้ม “แล้วแต่ละกัน ถ้านายจะคิดอย่างนั้น ฉันก็ช่วยไม่ได้”
เดิมทีถ้าฉินซียอมพูดคำที่อ่อนข้อให้หน่อย ลู่เซิ่นก็สามารถหายโกรธได้ แต่ฉินซีวันนี้ดันอารมณ์ไม่ดี สมองก็สับสนไปหมด ดังนั้นจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้ลู่เซิ่น
แน่นอนว่าลู่เซิ่นจะไม่ขอโทษก่อน ดังนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็อึดอัดขึ้นมา
ยังดีที่ฉินซีทานจะหมดแล้ว รอลู่เซิ่นทานอาหารในถ้วยเขาเสร็จ ทั้งสองก็เดินออกจากภัตตาคารไปตามลำดับ
ระยะห่างราวกับว่าเป็นคนไม่รู้จักกัน
หลินหยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เซิ่นไม่ดี ก็สามารถเดาได้ว่าทั้งสองคนน่าจะทะเลาะกันอีกแล้ว เลยถามฉินซีเสียงเบา “ หลังจากส่งประธานลู่กลับไปที่บริษัทลู่ซื่อแล้ว คุณนายจะกลับไปที่บริษัทลู่ซื่อด้วยกัน รอประธานลู่เลิกงานเลยไหมครับ?”
ฉินซีมองไปที่แผ่นหลังที่ปฏิเสธคนเข้าหาเป็นกิโลของลู่เซิ่น จึงส่ายหัว “ส่งฉันกลับไปที่รีสอร์ทชิงหยวน”
หลินหยังพยักหน้า ช่วยลู่เซิ่นและเธอเปิดประตูรถ
ร้านอาหารอยู่ไม่ไกลจากบริษัทลู่ซื่อมากนัก ฉินซีว่าจะอดทนรอสักครู่ก็จะอิสระแล้ว แต่โทรศัพท์กลับดังขึ้นกลางทาง
สายโทรเข้าคืออานหยัน
อานหยันไม่ค่อยโทรหาตัวเองก่อน นอกจากว่ามีเรื่องธุระด่วนอะไร……
ฉินซีกลัวว่าอานหยันจะมีธุระด่วนอะไรติดต่อตัวเอง ก็ไม่สนว่าตัวเองอยู่บนรถ รับโทรศัพท์ขึ้นมา “อานหยัน?”
น้ำเสียงของอานหยันเร่งรีบ ดูท่าจะกังวลมาก “ฉินซี ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
ในรถเงียบเกินไป เสียงในโทรศัพท์ก็ฟังได้อย่างชัดเจน ฉินซีเหลือบมองไปที่ลู่เซิ่นทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนหลังไม่ได้แสดงสีหน้าว่าถูกรบกวน เลยตอบไปอย่างลวกๆ “ฉันอยู่ตรงใจกลางเมือง มีอะไรเหรอ?”
อานหยันกระวนกระวาย “นิตยสารมาถ่ายปก ช่างภาพติดธุระมาไม่ได้ แต่ดาราเขามารออยู่ที่นี่แล้ว เวลากะทันหันไป ฉันไม่สามารถติดต่อช่างภาพฝีมือดีได้ในเวลาสั้น เธอแวะมาถ่ายให้หน่อยได้ไหม?”
ฉินซีขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ “ฉัน……แต่เธอรู้ใช่ไหม ฉันไม่ใช่ช่างภาพบุคคลมืออาชีพ ถ้าให้ฉันถ่าย ไม่ค่อยดีมั้ง……
อานหยันปฏิเสธทันที “ฉินซี ถึงแม้ว่าปกติเธอจะไม่ได้ถ่ายภาพบุคคล แต่ภาพที่เธอถ่ายเป็นครั้งคราวก็ดีไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ฉันคนที่เหมาะสมไม่ได้แล้วจริงๆ งานด่วนช่วยฉันหน่อยนะ……ช่วยฉันนะ……”
น้ำเสียงของอานหยันดูจริงจังมาก ฉินซีจะปฏิเสธก็รู้สึกไม่ดี “งั้นฉันจะลองดู……เธออย่าคาดหวังมากเกินไปนะ”
น้ำเสียงของอานหยันดูผ่อนคลายขึ้นเยอะในทันที “ฉันรู้ว่าเธอเชื่อถือได้! ถึงเวลาสำคัญมีเธออยู่ดีที่สุด! เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ไปให้เธอ เธอไปเองได้ไหม หรือว่าจะให้ฉันไปรับ?”
ฉินซีมองคนขับรถของลู่เซิ่นไปทีหนึ่ง “ฉันไปเองได้”
อานหยันตอบเสร็จว่าจะวางสาย ฉินซีเหมือนนึกเรื่องสำคัญได้ขึ้นมาทันที “ดาราที่มาถ่ายปก คือใคร?”
อานหยันชะงักไปสักพัก ตอบอย่างลังเลว่า “คือ……หซู่เป่ย”
ท่านั่งของฉินซีเกรงไปทีหนึ่ง
แต่ลู่เซิ่นที่นั่งอยู่ข้างเธอดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด