บทที่ 894 ข้อสงสัยมากมาย
เพียงแต่ว่า ฉินซีรู้สึกว่าอารมณ์ของลู่เซิ่นมีความผิดปกติ
เธอคิดถึงโทรศัพท์สายนั้นที่ตัวเองได้โทรศัพท์ให้กับลู่เซิ่นนั้นไม่มีคนรับสาย
“คุณ……….”
“ผม………”
ทั้งสองคนเอ่ยปากขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
ลู่เซิ่นเป็นคนยกมือขึ้นมา “พูดเถอะ”
ฉินซีก็ไม่ได้ไม่ปฏิเสธ เธอคิดๆดู “ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
ลู่เซิ่นยกแขนขึ้นมาดู “เก้าโมงสี่สิบ”
ฉินซีนับดู ตอนเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณหกโมงครึ่ง เธอถึงกับสลบไปตั้งสามชั่วโมงเชียวเหรอ
เธอเอ่ยปากแบบลังเลเล็กน้อย” หลังจากฉันสลบไปเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง? ”
พยาบาลต่างบอกว่าลู่เซิ่นตามรถพยาบาลฉุกเฉินมา ถ้าอย่างนั้นเขาต้องเคยไปที่ที่เกิดเหตุแน่นอน
ลู่เซิ่นไม่มีอะไรน่าปิดบัง “ไม่มีอะไร ผมได้ยินเสียงจากที่เกิดเหตุของคุณทางโน้น แจ้งตำรวจ และเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน ตอนที่รถพยาบาลฉุกเฉินมาถึงคุณกับคนขับรถยังสบายดี แต่ว่าคนในรถยนต์อีกสองคันบาดเจ็บสาหัสกว่า ตอนนี้ยังช่วยเหลือชีวิตอยู่”
ฉินซีพยักหน้า ลังเลอยู่หลายวินาทีถึงถามคำถามต่อไป “คุณ……. ตรวจพบแล้วใช่มั้ย ใครสะกดรอยตามฉัน? ”
เริ่มตั้งแต่เข้ามาในห้องผู้ป่วย สีหน้าของลู่เซิ่นก็ซับซ้อน
ฉินซีดูยังไง ก็รู้สึกว่าเขามีเรื่องปิดบังตัวเองอยู่
ลู่เซิ่นกลับเงียบกริบ
ในใจฉินซีมีลางสังหรณ์ไม่ดี แต่ว่ายืนยันหนักแน่นมาก “ถ้าหากตรวจพบอะไร คุณอย่าปิดบังฉันนะ”
ลู่เซิ่นก็ยังไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่กลับถามไปคำนึง “คุณพูดกับผมอย่างละเอียดเลยนะ เรื่องราวก่อนหน้านี้ที่คุณโทรศัพท์ให้กับผม
ฉินซีรู้สึกงี่เง่าสิ้นดี แต่ก็ยังเล่าซ้ำอีกครั้ง
อยู่ตรงนั้นคนขับรถพบว่าถูกตามหลัง และถูกรถข้างๆชนยังไง
เธอข้ามสิ่งที่ตัวเองสงสัยว่าหซู่หนานเป็นคนให้ตัวเองจอดรถท่อนนั้นไม่ได้พูด แต่ว่าลู่เซิ่นกลับพบความผิดปกติอย่างฉลาด
“คุณบอกว่าคนขับรถของเราพบเห็นฝ่ายตรงข้ามก่อน และเร่งความเร็วล่วงหน้าเพื่อต้องการจะสะบัดฝ่ายตรงข้ามทิ้งไป ตามเทคนิคของเขาและรถยนต์ของเราน่าจะไม่ถึงขั้นถูกวิ่งตามมาอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ถึงจะถูก”
ฉินซีอ้าปาก ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี มือถือของลู่เซิ่นก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้ว
ฉินซีเหลือบมอง ผู้ที่โทรมาเหมือนจะเป็นหลินหยัง
เมื่อกี้หลินหยังยังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เลยไม่ใช่หรือ? มีเรื่องอะไรทำไมไม่เข้ามาพูดคุยกันตรงๆ ถึงกับต้องโทรศัพท์ให้ได้?
แต่ว่าชัดเจนมากที่ลู่เซิ่นไม่สังเกตเห็นความสงสัยของเธอ จับมือถือไว้และเดินมาในห้องผู้ป่วย
ฉินซีมองหลังของเขาไว้ ไม่รู้เพราะอะไรหนังตาได้กระตุก
ประตูอยู่ข้างหลังลู่เซิ่นและปิดสนิท ในที่สุดห้องผู้ป่วยทั้งห้องได้เงียบสงบลง
ฉินซีมีโอกาสจัดแต่งทรงผมให้กับตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
เธอสงสัยที่สุดก็คือรถยนต์ที่สะกดรอยตามคิดจะหาเรื่องตัวเอง หรือว่าคิดจะหาเรื่องลู่เซิ่นกันแน่?
ปกติลู่เซิ่นเป็นคนขับรถยนต์คันนี้ ถ้าจะพูดว่าต้องการชนเขามันก็สมเหตุสมผลมาก แต่ว่าถ้าหากมีคนต้องการทำร้ายตัวเอง เสียเวลาแค่นิดเดียวและมาสะกดรอยตามตัวเองในวันนี้ก็สามารถสะกดรอยตามจนพบรถยนต์คันนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ทั้งสองความคิดชกต่อยกัน เธอคิดจนหัวสมองจะระเบิด ตรงขมับก็ปวดจี๊ดขึ้นมา
ขณะที่ลู่เซิ่นผลักประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นก็คือสีหน้าที่ขมวดคิ้วและกำลังกดขมับไว้
“ไม่สบาย?” สีหน้าลู่เซิ่นตื่นตระหนกเล็กน้อย ยื่นมือไปกดเสียงกริ่งข้างๆ “ผมเรียกหมอมาดูหน่อย?”
ฉินซีกดมือของเขาไว้ “ไม่ต้อง เมื่อกี้ฉันก็แค่คิดเรื่องนิดหน่อย และเวียนหัวนิดหน่อยก็แค่นั้นเอง”
ลู่เซิ่นมองดูเธออย่างละเอียด ในที่สุดก็วางมือลง “ไม่สบายตรงไหน บอกผมทันที”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นมามองลู่เซิ่น ยังไงก็รู้สึกว่าหลังจากเขาออกไปสีหน้ายิ่งดูแย่ลง
“คุณตรวจพบอะไร…………..แล้วใช่มั้ย? ”
ฉินซีกลั้นคำพูดไม่ไหว อดใจไม่ได้จึงถามขึ้นมา
ลู่เซิ่นมองเธออย่างนิ่งๆสักพัก นั่งลงไปที่ข้างเตียงของเธอ
” คุณสนิทกับคนที่บ้านตระกูลฉินรึเปล่า?”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมถึงถามคำถามนี้? ”
ลู่เซิ่นกลับไม่ตอบ เพียงแค่ถามต่อไป” คุณคิดอย่างละเอียดอีกครั้งสิ”
ฉินซีไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ว่ายังคงนึกย้อนกลับไป
“บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเป็นคุณปู่ของฉันจัดตั้งขึ้นมาเอง คุณย่าเสียไปนาน เพราะฉะนั้นพวกเขาสองคนจึงมีพ่อฉันเป็นลูกคนเดียว ตั้งแต่เล็กฉันกับคุณปู่ ฉินซึ่งเทียนยังมีแม่ของฉันพักอาศัยอยู่ด้วยกัน กับญาติพี่น้องคนอื่นๆถือว่าไม่ค่อยสนิมกัน ก็แค่ถามไถ่ในทุกเทศกาลหรือตรุษจีน ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมหน่อย ก็มีแค่คุณน้ากับคุณลุงเท่านั้นเอง และมีแค่พวกเขาสองคนตอนนี้ยังอยู่ที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป”
” ตอนนี้คุณกับพวกเขายังติดต่อกันอยู่รึเปล่า? ” ลู่เซิ่นถามอย่างขมวดคิ้ว
ฉินซีส่ายหน้า” ตั้งแต่ฉันย้ายออกมาจากตระกูลฉิน และหลังจากฉันกับฉินซึ่งเทียนไม่ไว้หน้ากัน ก็ไม่ได้ติดต่อกับทุกคนในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปอีกเลย เจอกันครั้งล่าสุด ก็น่าจะเป็นการประชุมหุ้นส่วนตอนนั้นแล้ว”
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเธอตั้งใจคิดแต่ว่าจะจัดการกับฉินซึ่งเทียนยังไง แม้แต่หน้าของญาติสองคนนี้ก็เห็นไม่ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนที่ตัวเองเสนอว่าจะเข้าไปในห้องประชุมประธานนั้น พวกเขาได้เลือกตัวเองรึเปล่า
ลู่เซิ่นไม่เคยเกิดความแปลกใจอะไรกับครอบครัวของเธอเลย ทำไมจู่ๆคราวนี้ถึงได้ถามขึ้นมาตั้งเยอะแยะมากมายเช่นนี้?
ในใจฉินซีมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง เธอเงยหน้า เห็นลู่เซิ่นกำลังขมวดคิ้วอยู่ ถามไปอย่างตรงๆทีเดียว “คนที่บ้านตระกูลฉิน เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุครั้งนี้ของฉันรึเปล่า?”
เหมือนคาดไม่ถึงว่าฉินซีจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ ลู่เซิ่นเงียบไปสักพัก
แต่ว่าเวลาเช่นนี้ความเงียบและยอมรับแบบเงียบๆไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
หัวใจของฉินซีเหมือนถูกกดเข้าไปในน้ำเย็น
ถึงกับเป็นพวกเขาเชียว?
พวกเขาทำไปเพราะอะไร?
ขมับของฉินซีเริ่มปวดขึ้นมาอีกแล้ว ร่างกายก็อดไม่ไหวที่กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
เห็นสีหน้าของฉินซีเต็มไปด้วยความไม่สบาย สีหน้าของลู่เซิ่นเศร้าหมอง กดกริ่งทันที
ไม่นานนักคุณหมอก็เข้ามาแล้ว
” ตอนนี้ผู้ป่วยไม่ควรมีอารมณ์เคลื่อนไหวที่รุนแรง” น้ำเสียงของเขากำลังโทษตัวเองอยู่ แต่ก็ไม่กล้าทำสีหน้าที่ไม่เคารพนับถือต่อลู่เซิ่น ก็เลยหันไปทางฉินซี ก้มหน้าสั่งว่า “ตอนนี้เวลาก็สายแล้ว ผู้ป่วยพักผ่อนเร็วหน่อยจะดีกว่า”
ฉินซีพยักหน้าแบบเชื่อฟัง แต่ว่าพอคุณหมอเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย สีหน้าที่เชื่อฟังของเธอกลับหายไปจนหมดสิ้น หันหน้าไปทางลู่เซิ่นอีกครั้ง “เรื่องมันยังไงกันแน่?”
ลู่เซิ่นเห็นสีหน้าที่ฝืนทนความไม่สบายเอาไว้ของเธอ หยุดนิ่งไปหลายวินาที ส่ายหน้าเบาๆ “ตอนนี้ผมยังตรวจไม่พบหลักฐานที่แน่นพอ ไม่กล้าตัดสินแบบสุ่มสี่สุ่มห้า คุณพักผ่อนหนึ่งคืนก่อน ตื่นมาพรุ่งนี้เช้า เราค่อยว่ากันใหม่”
เซ้นส์ของฉินซีบอกว่าเขากำลังพูดโกหก แต่ว่าน้ำเกลือที่คุณหมอฉีดให้เหมือนมีส่วนผสมช่วยให้หลับสบาย ไม่นานนัก เธอก็หลับไปอีกแล้ว
ลู่เซิ่นฟังลมหายใจของเธอค่อยๆคงที่อย่างปกติ จึงค่อยๆยื่นมือห่มผ้าห่มให้กับเธอเรียบร้อย
พอเขาตั้งตัวตรง ความอ่อนโยนบนใบหน้าก็หายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือความร้ายกาจ
ในเมื่อกล้ามาแตะต้องคนของเขา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องชดใช้
………
เช้าวันที่สอง
ฉินซีค่อยๆฟื้นขึ้นมา แต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาทันที
หรืออาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา เมื่อคืนเธอหลับสบายมาก ขณะที่ลืมตายังเบลอๆและงงๆบ้าง คิดว่าอยู่บนเตียงที่บ้านตัวเอง
กำลังจะพลิกตัว กลับถูกกดเอาไว้
“คุณนายคะ ท่านตื่นแล้ว?”
เป็นเสียงของคนรับใช้ที่บ้าน
ฉินซีสงสัยเล็กน้อย ลู่เซิ่นไม่ชอบคนรับใช้เข้ามาในห้องนอนมาโดยตลอด พวกเขาเข้ามาได้ยังไง?
เธอลืมตาขึ้นมาอย่างสงสัย เห็นการแต่งกายของคนแปลกหน้ายังอึ้งไปตั้งหนึ่งวินาที ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเหมือนกับคลื่นทะเลพัดเข้ามาในหัวสมอง เธอถึงได้สติกลับมาอย่างกะทันหัน
ตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลนี่