บทที่ 919 งานข่าวกรอง
อานหยันยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่บังเอิญมีโทรศัพท์เข้ามาพอดี
คนที่โทรมาเหมือนจะพูดเกี่ยวกับเรื่องของนิตยสาร พอเห็นสีหน้าที่ยากลำบากของอานหยันแล้ว ฉินซีก็โบกมือเป็นสัญญาณว่าเธอจะไปรอที่ห้องนั่งเล่น
ฉินซีนั่งลงบนโซฟา จากนั้นก็ถือโอกาสเปิดทีวี ทว่าความคิดของเธอกลับล่องลอยไปไกล
ดูเหมือนว่า…เธอจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลลู่แล้วจริง ๆ
ไม่ใช่แค่เติมเต็มความต้องการของชีวิตในด้านวัตถุเท่านั้น
ลู่เซิ่นยังใช้หนี้แทนเธอ ทั้งยังไม่ได้เร่งรัดให้เธอรีบคืนเงิน อาชีพของฉินซีเป็นเหมือนงานอดิเรกมากกว่าการทำงานเสียอีก
ลู่เซิ่นจะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉินซีต้องการ ขอแค่เธอเอ่ยปากพูด บางครั้งไม่จำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากขอด้วยซ้ำ เรื่องทั้งหมดก็ได้รับการจัดการแล้ว
ตอนที่เธอเซ็นสัญญาสิบปีกับลู่เซิ่น ในหัวใจของฉินซีลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความคั่งแค้น เธอต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการแผนลอบทำร้ายแม่ของเธอให้ได้โดยเร็วที่สุด ให้ฉินซึ่งเทียนได้ชดใช้
ทว่าตลอดหนึ่งปีมานี้การสืบหากลับพบแต่ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเองก็ถูกเรื่องหยุมหยิมแบ่งความสนใจไปไม่น้อย ความกล้าได้กล้าเสียในตอนนั้นค่อย ๆ จางลงไปมาก
สภาพแวดล้อมที่สบายเกินไปทำให้คนเกียจคร้าน สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นพวกที่ชอบพึ่งพาอาศัยผู้อื่น
ดูเหมือนว่าเธอจะเคยชินกับการมองว่าการที่ลู่เซิ่นคอยช่วยเหลือเธอนั้นเป็นเรื่องปกติโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันก็ไม่ใช่ชีวิตที่เธอต้องการ
หลังจากอานหยันกลับมาจากการคุยโทรศัพท์ ก็เห็นฉินซีทำหน้าตากลัดกลุ้มพลางพลิกรีโมตในมือไปมา
“เป็นอะไรไป” อานหยันนั่งลงอีกด้านของโซฟาแล้วสะกิดฉินซี
ฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันกำลังคิดว่าตัวเองพึ่งพาลู่เซิ่นเกินไปหรือเปล่า”
อานหยันเลิกคิ้ว “พึ่งพาได้ก็ควรพึ่งพา ถึงยังไงเขาก็เป็นสามีของเธอ”
ฉินซีขมวดคิ้ว เอนหลังพิงโซฟา แล้วถอนหายใจยาว
“เร็วเข้า รีบกินตอนที่กับข้าวยังร้อน ๆ ” อานหยันใช้ปลายเท้าผสานกันแล้วหันไปทางฉินซี “ขอเชิญคุณนายลู่ผู้สง่าผ่าเผยยอมลดเกียรติมาทานอาหารเดลิเวอรี่ร่วมกันกับฉัน ฉันทะนุถนอมมากจริง ๆ นะ”
…
หลังจากที่ยืนยันเรื่องเป้าหมายของภารกิจเป็นครั้งสุดท้าย ฉินซีก็ออกมาจากบ้านของอานหยัน
เธอไม่รีบขึ้นรถ แต่เดินตรงไปที่รถของตระกูลลู่ที่จอดอยู่ตรงหัวมุม
พอบอดี้การ์ดรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสี่คนเห็นเธอเดินเข้ามา ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าควรจะวิ่งหนีหรือควรจะหยุดตรงอยู่ที่เดิมดี ได้แต่จ้องหน้ากันอย่างงงงวย
ฉินซีรีบเดินไปที่ข้างรถแล้วเอื้อมมือไปเคาะกระจกรถ
ชายทั้งสี่คนที่อยู่ข้างในลดกระจกรถลง “คุณนาย”
“ลู่เซิ่นให้พวกคุณมาอย่างนั้นเหรอ” ฉินซีถามตรง ๆ โดยไม่พูดเรื่องไร้สาระ
พวกบอดี้การ์ดไม่รู้ว่าเวลาแบบนี้ควรจะขายเจ้านายดีหรือเปล่า จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบ ๆ
เพียงแต่ความเงียบก็ไม่ต่างอะไรจากการยอมรับ
ฉินซีจุ๊ปาก ยืดหลังตรง จากนั้นก็เดินกลับไปที่รถของตัวเอง ทิ้งให้พวกบอดี้การ์ดจมอยู่กับความสับสน
นี่จบแล้วเหรอ
แล้วพวกเขายังต้องติดตามเธอต่อไปหรือเปล่า
ท้ายที่สุดก็เป็นหัวหน้าที่ตบต้นขาแล้วพูดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็ถูกพบแล้ว แค่รายงานไปที่ประธานลู่สักหน่อย พวกเราเองก็เลิกซ่อนแล้วคอยให้การติดตามอย่างเปิดเผยเถอะ!”
…
เมื่อฉินซีกลับไปถึงตระกูลลู่ เธอก็พูดกับพ่อบ้านคำหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องมืด
หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน ลู่เซิ่นก็สั่งให้คนเปลี่ยนห้องว่างเป็นห้องมืดให้ฉินซีใช้เป็นพิเศษ
ของที่อยู่ในห้องมืดไม่ถูกกับแสงสว่างเป็นอย่างมาก คนอื่น ๆ ในตระกูลลู่ไม่เข้าใจเรื่องการถ่ายภาพ จึงไม่เข้ามาในห้องมืดโดยง่าย
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป มันจึงกลายเป็นฐานที่มั่นเล็ก ๆ ของฉินซีในตระกูลลู่
คนอื่น ๆ ในตระกูลลู่ทุกคนล้วนไม่มีใครรู้ สิ่งที่อยู่ในห้องมืดไม่ได้มีเพียงแค่ม้วนฟิล์มของฉินซีเท่านั้น แต่ยังมีข้อมูลข่าวกรองอีกจำนวนไม่น้อยที่ฉินซีแอบถ่ายมาให้อานหยัน
ที่ฉินซีสามารถติดต่อกับหน่วยข่าวกรองได้นั้น แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับอานหยัน
ถึงแม้ว่าเธอกับอานหยันจะเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี แต่เธอก็คิดมาตลอดว่าอานหยันแค่ทำงานเป็นหัวหน้าบรรณาธิการของนิตยสารเท่านั้น
จนกระทั่งตอนที่เธอออกมาจากตระกูลฉินเมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งยังต้องแบกรับเงินกู้อีกจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำงานอย่างเร่งด่วน เลยจำใจต้องไปหาอานหยัน
สีหน้าของอานหยันดูซับซ้อนเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามว่า “เธอแน่ใจจริง ๆ ใช่ไหมว่าจะทำงานนี้”
ฉินซีพยักหน้าอย่างแน่วแน่
อานหยันก้มหน้าลงแล้วตอบตกลง
ในตอนแรกฉินซีคิดว่าเป็นแค่งานปาปารัสซี่ คอยถ่ายรูปข่าวซุบซิบของพวกคนดังสักสองสามรูป แต่ภายหลังกลับพบว่าดูเหมือนมันจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
บางครั้งเธอก็ได้รับงานถ่ายภาพแปลก ๆ เป้าหมายที่ต้องถ่ายไม่ใช่ดารา แล้วก็ไม่ใช่พวกคนที่มีชื่อเสียง ทั้งหลังจากถ่ายเสร็จ อานหยันยังขอให้เธอส่งข้อมูลสำรองทั้งหมดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ยอมให้เก็บไว้
ในช่วงแรกฉินซีก็ยอมทำตามความต้องการของฉินซี แต่พอหลายครั้งเข้า ฉินซีก็อดที่จะถามอานหยันไม่ได้
อานหยันก้มหน้าลงและนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะบอกความจริงกับเธอ
“เรียกได้ว่าเธอเป็นคนของหน่วยข่าวกรอง รูปที่ให้ฉันถ่ายพวกนั้นก็เป็นรูปที่หน่วยข่าวกรองจะนำไปใช้อย่างนั้นใช่ไหม”
อานหยันพยักหน้าเบา ๆ “บางคนเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอาญา บางคนเป็นนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย พวกเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ลากพวกเขาเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย”
ฉินซีใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการสรุปข้อเท็จจริงนี้ จากนั้นเธอจึงได้รู้สึกตัวภายหลังว่าความลังเลตอนที่อานหยันถามว่าเธออยากจะทำงานนี้จริง ๆ เหรอมีที่มาจากไหน
ฉินซีแปลกเล็กน้อย “ช่างภาพคนอื่น ๆ ในสำนักงานตีพิมพ์นิตยสารของเธอทำงานให้หน่วยข่าวกรองหมดเลยเหรอ”
อานหยันส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ช่างภาพส่วนใหญ่ที่นิตยสารจ้างมาเป็นงานธรรมดา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับงานแบบเดียวกับเธอ”
ฉินซีรู้สึกสงสัยเล็กน้อย“ แล้ว…ทำไมถึงเป็นฉัน”
อานหยันยื่นมือออกมาและตบไหล่เธอ “หน่วยข่าวกรองจะเป็นคนกำหนดตัวผู้ถูกคัดเลือก ช่างภาพทุกคนทุกคนที่ฉันรับเข้ามาจะต้องถูกรายงานไปยังเบื้องบน พวกเขาต้องพิจารณาก่อนว่าเธอสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ จากนั้นจึงค่อยให้ฉันมอบหมายงานให้เธอ”
“ถ้าอย่างนั้นรูปที่ฉันถ่ายไปก่อนหน้านี้ ก็นับได้ว่าพวกเขากำลังตรวจสอบฉันอยู่ใช่ไหม” ฉินซีถาม
อานหยันพยักหน้า
“แล้วตอนนี้ฉันผ่านการประเมินรึยัง” ฉินซีถามอีกครั้ง
“ครั้งก่อนที่ให้เธอไปติดตามนักธุรกิจต่างชาติคนนั้นเป็นการประเมินครั้งสุดท้ายของเธอแล้ว” อานหยันตอบไปตามความจริง
ฉินซีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ถ้าอย่างนั้น…ทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่พูดให้มันชัดเจนล่ะ”
อานหยันแสดงสีหน้าลังเล “ช่างภาพทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือก ดังนั้นตอนที่เธอบอกว่าอยากจะเข้ามาทำงานที่นิตยสาร ฉันถึงได้รู้สึกลังเลนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกเลือก ดังนั้นจึงต้องทำตามข้อตกลงในการรักษาความลับ ฉันไม่สามารถบอกให้เธอรู้ล่วงหน้าได้”
ฉินซีพอจะเดาได้ว่ามาตรการรักษาความลับในหน่วยข่าวกรองของพวกเขาน่าจะซับซ้อน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิอานหยัน เพียงแค่เอื้อมมือไปตบ ๆ เธอ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอบอกกฎข้อบังคับให้ฉันฟังได้ไหม”
อานหยันพยักหน้า “ในเมื่อเธอได้รับการคัดเลือกแล้ว ความจริงแล้วฉันก็ควรที่จะบอกเธอ ถึงอย่างไรแม้ว่าภารกิจส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนกับเรื่องที่เธอเคยทำมาก่อนหน้า ไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่ก็ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่ว่า ในอนาคตอาจจะมีภารกิจที่อันตรายมากกว่านี้ ดังนั้นจึงควรบอกให้เธอรู้ถึงสถานการณ์ของตนเองโดยเร็วที่สุด แต่ฉันแค่…หลายวันมานี้ฉันก็ยังคงสองจิตสองใจอยู่ เลยไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง