บทที่ 939 สมบัติส่วนตัวของผม
สายตาของฉินซีมีรอยยิ้ม กวาดมองลู่เซิ่นที่นั่งตัวตรง
ลู่เซิ่นส่งบัตรเชิญมาให้เธอ ไม่น่าใช่เพราะมีเจตนาไม่ดีแน่ๆ
แต่เธอก็ยังอยากจะถามให้เข้าใจอยู่ดีว่า “คุณไม่ได้สั่งให้คนส่งบัตรเชิญมาให้ฉันจริงๆใช่ไหม?”
เมื่อฟังออกว่าน้ำเสียงของเธอมีแววหยอกเล่น ลู่เซิ่นจึงก้มหน้าตั้งใจกินข้าว ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
ฉินซีหัวเราะ กว่าจะได้เห็นลู่เซิ่นมีท่าทีแบบนี้ในแต่ละครั้งมันยากเย็นนัก เธอจึงไม่ได้ไล่ถามอะไรเขาต่อ
“คนที่ได้รับรางวัลการถ่ายภาพในช่วงนี้งั้นเหรอ…….” ฉินซีใคร่ครวญอยู่สักพัก ในหัวก็มีชื่อของคนที่โด่งดังเด้งขึ้นมาหลายคน “หรือว่าพวกเขาก็จะไปด้วยเหมือนกัน?”
ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมามองเธอ “ถ้าคนพวกนั้นไป แล้วมันมีผลกับคุณยังไง?”
ฉินซีเม้มปากแล้วยิ้มออกมา “ก็จะทำให้ฉันยิ่งมุ่งมั่นอยากเอาชนะมากกว่าเดิมไง”
แววตาของเธอเป็นประกาย เต็มไปด้วยความมั่นใจและฮึกเหิม ถ้าหากเหยาหมิ่นยังอยู่ล่ะก็ ก็คงจะทอดถอนหายใจออกมาแล้ว ฉินซีที่จองหองเมื่อหลายปีก่อน ไม่เคยหายไปไหน ยังคงอยู่ในจิตวิญญาณตลอดมา
สายตาของลู่เซิ่นหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเธอเป็นเวลานาน
……
เมื่อทั้งสองทานข้าวเสร็จ ฉินซีก็ไม่ได้รีบร้อนขึ้นไปชั้นบน แต่กับลากลู่เซิ่นไปเดินเล่นที่สวน
ลู่เซิ่นทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนฉินซีแต่อย่างใด
เมื่อทั้งสองเดินเคียงคู่กัน ฉินซีถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอและเขาเดินเล่นไหล่ชนไหล่เลยก็ว่าได้
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว บนหัวมีดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ เมื่อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆได้สักพัก ฉินซีถึงได้เอ่ยปากพูดออกมาว่า
“ฉันเคยบอกคุณว่าตรงนี้เคยเป็นที่อยู่ของคุณปู่ฉันใช่ไหม?”
ฉินซีถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ลู่เซิ่นก็ยังพยักหน้าตอบกลับไป “ใช่ คุณเคยบอก”
ฉินซีชี้มือไปยังเบื้องหน้า “ตรงนี้เคยเป็นที่ดื่มน้ำชาของคุณปู่ ฉันเคยทำกาน้ำชาของเขาแตกตั้งสองใบแหนะ แต่เขาก็ไม่เคยดุฉันเลย”
เธอหันไปอีกทาง “ตรงนั้นเป็นสถานที่ที่คุณปู่สอนฉันถ่ายรูปเป็นครั้งแรก ฉันถ่ายเสร็จก็รีบร้อนอยากดูรูปจริงๆ จึงดึงฟิล์มทั้งม้วนออกมา”
และรูปภาพในม้วนฟิล์มก็ถูกแสงแดด จึงไม่สามารถใช้ได้อีก
ในน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความขบขัน “คุณปู่พูดอยู่นานสองนานฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่สามารถดูรูปที่ฉันเป็นคนถ่ายได้ ก็เลยร้องไห้ออกมา”
เสียงของเธอเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย เธอมองบรรยากาศรอบๆ แต่ละเรื่องที่พูดขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของเธอกับคุณปู่ทั้งนั้น
ลู่เซิ่นใจเย็นอย่างที่นานๆทีจะใจเย็นได้แบบนี้ ฉินซีพูด เขาก็ฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยถามว่าทำไมฉินซีถึงพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา
จนเมื่อฉินซีพูดจบไปแล้วรอบหนึ่ง เธอก็นิ่งไป แล้วชี้ไปยังที่ไกลๆ “ตรงนู้น เป็นที่ที่เราได้เจอกันครั้งแรก”
สีหน้าของลู่เซิ่นเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ไฟตรงทางเดินไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่นัก ฉินซีจึงไม่สังเกตเห็น
“คุณคิดดูสิ เป็นสถานที่เดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันจดจำได้เสมอมาไม่ใช่ความสวยและความหรูหราของโคมไฟระย้าและเฟอร์นิเจอร์ไม้ในบ้านของคุณปู่ แต่กลับเป็นความทรงจำกับผู้คน”
ฉินซีมองตาของลู่เซิ่น แล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่นเข้าใจความหมายของเธอทันที “นี่คือประเด็นหลักของโฆษณาที่คุณคิดเอาไว้?”
ฉินซีหัวเราะออกมาเบาๆ พยักหน้าพร้อมพูดว่า “ใช่”
บริษัทลู่ซื่อเป็นบริษัทที่สร้างตัวมาจากธุรกิจน้ำมันปิโตรเลียม ทว่าหลายปีมานี้กลับเป็นที่รู้จักในนามของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ฉินซีจึงตั้งใจว่าจะนำเอาเรื่องอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเส้นเรื่องหลักในการดำเนินเรื่อง
“หลายปีมานี้ฉันชอบเดินรอบๆเมือง วิวถนนก็ถ่ายมาเยอะ เอามาใช้ได้พอดี” ฉินซีพูดอย่างจริงจัง “เดี๋ยวคงต้องเชิญใครสักคนมาคัดเลือกดูแล้วล่ะ ว่าจะยังใช้ได้ไหม”
นัยน์ตาของเธอมีแสงดาวสาดกระทบเข้ามา ลู่เซิ่นมองรอยยิ้มตรงมุมปากของเธอ จากนั้นก็เดินเข้าไปหา แล้วโอบกอดเธอเอาไว้
“หือ?” ฉินซีตกใจกับการกระทำของเขา “เป็นอะไรไป?”
ลู่เซิ่นไม่ปล่อยมือ รวบกอดเธอเอาไว้ในวงแขน “ผมก็แค่รู้สึกประทับใจกับเรื่องราวของคุณ”
ฉินซียิ้ม “งั้นก็แปลว่าพล็อตของฉันต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ”
อ้อมกอดของลู่เซิ่นอบอุ่นมาก เขากระชับกอดเธออย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังกอดปุยเมฆเอาไว้
ฉินซีเองก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแปลกๆจากอ้อมกอดนี้ เธอไม่ได้ผลักออกแต่อย่างใด แค่ปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้น จนเมื่อรู้สึกว่ายืนนานจนเมื่อย ถึงได้ดันเขาออกเบาๆ “กลับได้แล้ว”
ลู่เซิ่นผละอ้อมแขนออกอย่างไม่เต็มใจนัก
บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึกปานจะตัดขาดจากกันไม่ได้มาตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
แค่กอดเดียว ก็สามารถอธิบายได้มากกว่านั้น
……
เมื่อมีแนวทาง ระดับความก้าวหน้างานของฉินซีก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่วันต่อมา เธอก็คิดจะส่งพล็อตเรื่องฉบับสมบูรณ์ไปก่อนกำหนด
เดิมทีพล็อตเรื่องต้องผ่านการตรวจสอบโดยแผนกโฆษณาก่อน แต่เพราะฉินซีวางมันไว้บนโต๊ะในห้องนอน ลู่เซิ่นจึงเป็นคนแรกที่ได้ตรวจสอบ
ฉินซียังขาดประสบการณ์ในการเขียนพล็อตเรื่องอีกเยอะ ในด้านรายละเอียดปลีกย่อยยังถือว่าไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่พอลู่เซิ่นได้กวาดสายตาอ่านสารบัญ ก็รับรู้ว่าเธอเข้าใจกรอบเนื้อหาเป็นอย่างดี
เมื่อลองอ่านเนื้อหาอย่างละเอียด สมาธิของลู่เซิ่นก็ถูกเนื้อหาดึงดูดไปทั้งหมด
ประเด็นหลักของเรื่องคือการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง การเติบโตคือมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งก่อสร้าง ทั้งสองอย่างไหลไปตามกาลเวลาพร้อมๆกัน และร่วมเป็นพยานให้แก่การเปลี่ยนไปของกันและกัน
เธอยังเลือกใช้รูปภาพมาเน้นเนื้อหาให้เห็นภาพชัดเจน สำหรับประสบการณ์ของแต่ละคนเธอเลือกใช้วิธีการสัมภาษณ์
เธอเลือกสถานที่มาหกสถานที่ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง ศูนย์กลางทางธุรกิจ เขตชานเมือง สวนสาธารณะ มหาวิทยาลัย รวมถึง…..รีสอร์ทชิงหยวน
เมื่อลู่เซิ่นอ่านมาถึงชื่อสถานที่สุดท้าย ก็มุ่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ไม่ทันที่เขาจะได้เปิดหน้าถัดไป ฉินซีก็เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน
“คุณอ่านหมดแล้วเหรอ?” ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น
ลู่เซิ่นพยักหน้า แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ทำแค่ชี้ไปยังชื่อสถานที่สุดท้าย “คุณจะถ่าย…..รีสอร์ทชิงหยวน?”
เมื่อฉินซีเหลือบมองท่าทางของเขา จึงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป จึงพูดหยั่งเชิงขึ้นมาว่า “คุณ….ไม่อยากให้ถ่าย?”
ถึงอย่างไรรีสอร์ทชิงหยวนก็เป็นของลู่เซิ่น เขามีสิทธิ์ปฏิเสธได้อย่างไม่ต้องมีข้อแม้ใดๆ
ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าควรส่ายหน้าหรือพยักหน้าดี ครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าว่ากันอย่างจริงจัง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของบริษัทลู่ซื่อ แต่เป็นสมบัติส่วนตัวของผม”
ฉินซีส่ายหน้า “กลุ่มเป้าหมายที่คุณอยากจะนำเสนอเป็นคนหมู่มาก พวกเขาไม่น่าจะสนใจเรื่องพวกนี้หรอก”
ลู่เซิ่นรู้ถึงเจตนาของฉินซีดี นับตั้งแต่ที่เขาซื้อรีสอร์ทชิงหยวนมาเป็นของตัวเอง ก็มักจะมีสารพัดข่าวถูกตีพิมพ์ออกมา ความอยากรู้อยากเห็นที่ผู้คนมีต่อรีสอร์ทชิงหยวนก็ยังคงมีอยู่มากมาย ถ้าเลือกรีสอร์ทชิงหยวนมาทำเป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ ก็จะไม่ต้องเสียแรงอะไรมาก ทั้งยังได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้คนอีกด้วย
แต่สิ่งที่ต้องใช้เพื่อแลกกับความสนใจเหล่านี้ ก็คือความทรงจำในอดีตของฉินซีและความทรงจำในตอนนี้ของทั้งสองคน
ลู่เซิ่นไม่อยากให้ฉินซีนำความทรงจำเหล่านี้เผยสู่สาธารณะ
เขาอยากให้มันเป็นความทรงจำเฉพาะของเขาและเธอ
เมื่อเห็นว่าลู่เซิ่นเงียบไป ฉินซีก็รับรู้ความหมายของเขา
ที่หยิบยกรีสอร์ทชิงหยวนมาเป็นหนึ่งในตัวอย่างเดิมทีเธอก็แค่หยั่งเชิงไปอย่างนั้น
เธอยังจำที่เจ้าของร้านกาแฟพูดในตอนนั้นได้ ว่าลู่เซิ่นไม่ชอบให้ใครมาถามถึงรีสอร์ทชิงหยวน ตอนแรกเธอคิดว่ายังไงลู่เซิ่นก็ต้องยอมเสียสละเพื่อการงานของตัวเอง
นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นความเสียสละที่เขาไม่ได้เต็มใจ