Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 939

ตอนที่ 939

บทที่ 939 สมบัติส่วนตัวของผม

สายตาของฉินซีมีรอยยิ้ม กวาดมองลู่เซิ่นที่นั่งตัวตรง

ลู่เซิ่นส่งบัตรเชิญมาให้เธอ ไม่น่าใช่เพราะมีเจตนาไม่ดีแน่ๆ

แต่เธอก็ยังอยากจะถามให้เข้าใจอยู่ดีว่า “คุณไม่ได้สั่งให้คนส่งบัตรเชิญมาให้ฉันจริงๆใช่ไหม?”

เมื่อฟังออกว่าน้ำเสียงของเธอมีแววหยอกเล่น ลู่เซิ่นจึงก้มหน้าตั้งใจกินข้าว ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ

ฉินซีหัวเราะ กว่าจะได้เห็นลู่เซิ่นมีท่าทีแบบนี้ในแต่ละครั้งมันยากเย็นนัก เธอจึงไม่ได้ไล่ถามอะไรเขาต่อ

“คนที่ได้รับรางวัลการถ่ายภาพในช่วงนี้งั้นเหรอ…….” ฉินซีใคร่ครวญอยู่สักพัก ในหัวก็มีชื่อของคนที่โด่งดังเด้งขึ้นมาหลายคน “หรือว่าพวกเขาก็จะไปด้วยเหมือนกัน?”

ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมามองเธอ “ถ้าคนพวกนั้นไป แล้วมันมีผลกับคุณยังไง?”

ฉินซีเม้มปากแล้วยิ้มออกมา “ก็จะทำให้ฉันยิ่งมุ่งมั่นอยากเอาชนะมากกว่าเดิมไง”

แววตาของเธอเป็นประกาย เต็มไปด้วยความมั่นใจและฮึกเหิม ถ้าหากเหยาหมิ่นยังอยู่ล่ะก็ ก็คงจะทอดถอนหายใจออกมาแล้ว ฉินซีที่จองหองเมื่อหลายปีก่อน ไม่เคยหายไปไหน ยังคงอยู่ในจิตวิญญาณตลอดมา

สายตาของลู่เซิ่นหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเธอเป็นเวลานาน

……

เมื่อทั้งสองทานข้าวเสร็จ ฉินซีก็ไม่ได้รีบร้อนขึ้นไปชั้นบน แต่กับลากลู่เซิ่นไปเดินเล่นที่สวน

ลู่เซิ่นทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนฉินซีแต่อย่างใด

เมื่อทั้งสองเดินเคียงคู่กัน ฉินซีถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอและเขาเดินเล่นไหล่ชนไหล่เลยก็ว่าได้

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว บนหัวมีดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ เมื่อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆได้สักพัก ฉินซีถึงได้เอ่ยปากพูดออกมาว่า

“ฉันเคยบอกคุณว่าตรงนี้เคยเป็นที่อยู่ของคุณปู่ฉันใช่ไหม?”

ฉินซีถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ลู่เซิ่นก็ยังพยักหน้าตอบกลับไป “ใช่ คุณเคยบอก”

ฉินซีชี้มือไปยังเบื้องหน้า “ตรงนี้เคยเป็นที่ดื่มน้ำชาของคุณปู่ ฉันเคยทำกาน้ำชาของเขาแตกตั้งสองใบแหนะ แต่เขาก็ไม่เคยดุฉันเลย”

เธอหันไปอีกทาง “ตรงนั้นเป็นสถานที่ที่คุณปู่สอนฉันถ่ายรูปเป็นครั้งแรก ฉันถ่ายเสร็จก็รีบร้อนอยากดูรูปจริงๆ จึงดึงฟิล์มทั้งม้วนออกมา”

และรูปภาพในม้วนฟิล์มก็ถูกแสงแดด จึงไม่สามารถใช้ได้อีก

ในน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความขบขัน “คุณปู่พูดอยู่นานสองนานฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่สามารถดูรูปที่ฉันเป็นคนถ่ายได้ ก็เลยร้องไห้ออกมา”

เสียงของเธอเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย เธอมองบรรยากาศรอบๆ แต่ละเรื่องที่พูดขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของเธอกับคุณปู่ทั้งนั้น

ลู่เซิ่นใจเย็นอย่างที่นานๆทีจะใจเย็นได้แบบนี้ ฉินซีพูด เขาก็ฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยถามว่าทำไมฉินซีถึงพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา

จนเมื่อฉินซีพูดจบไปแล้วรอบหนึ่ง เธอก็นิ่งไป แล้วชี้ไปยังที่ไกลๆ “ตรงนู้น เป็นที่ที่เราได้เจอกันครั้งแรก”

สีหน้าของลู่เซิ่นเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ไฟตรงทางเดินไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่นัก ฉินซีจึงไม่สังเกตเห็น

“คุณคิดดูสิ เป็นสถานที่เดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันจดจำได้เสมอมาไม่ใช่ความสวยและความหรูหราของโคมไฟระย้าและเฟอร์นิเจอร์ไม้ในบ้านของคุณปู่ แต่กลับเป็นความทรงจำกับผู้คน”

ฉินซีมองตาของลู่เซิ่น แล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

ลู่เซิ่นเข้าใจความหมายของเธอทันที “นี่คือประเด็นหลักของโฆษณาที่คุณคิดเอาไว้?”

ฉินซีหัวเราะออกมาเบาๆ พยักหน้าพร้อมพูดว่า “ใช่”

บริษัทลู่ซื่อเป็นบริษัทที่สร้างตัวมาจากธุรกิจน้ำมันปิโตรเลียม ทว่าหลายปีมานี้กลับเป็นที่รู้จักในนามของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ฉินซีจึงตั้งใจว่าจะนำเอาเรื่องอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเส้นเรื่องหลักในการดำเนินเรื่อง

“หลายปีมานี้ฉันชอบเดินรอบๆเมือง วิวถนนก็ถ่ายมาเยอะ เอามาใช้ได้พอดี” ฉินซีพูดอย่างจริงจัง “เดี๋ยวคงต้องเชิญใครสักคนมาคัดเลือกดูแล้วล่ะ ว่าจะยังใช้ได้ไหม”

นัยน์ตาของเธอมีแสงดาวสาดกระทบเข้ามา ลู่เซิ่นมองรอยยิ้มตรงมุมปากของเธอ จากนั้นก็เดินเข้าไปหา แล้วโอบกอดเธอเอาไว้

“หือ?” ฉินซีตกใจกับการกระทำของเขา “เป็นอะไรไป?”

ลู่เซิ่นไม่ปล่อยมือ รวบกอดเธอเอาไว้ในวงแขน “ผมก็แค่รู้สึกประทับใจกับเรื่องราวของคุณ”

ฉินซียิ้ม “งั้นก็แปลว่าพล็อตของฉันต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ”

อ้อมกอดของลู่เซิ่นอบอุ่นมาก เขากระชับกอดเธออย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังกอดปุยเมฆเอาไว้

ฉินซีเองก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแปลกๆจากอ้อมกอดนี้ เธอไม่ได้ผลักออกแต่อย่างใด แค่ปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้น จนเมื่อรู้สึกว่ายืนนานจนเมื่อย ถึงได้ดันเขาออกเบาๆ “กลับได้แล้ว”

ลู่เซิ่นผละอ้อมแขนออกอย่างไม่เต็มใจนัก

บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึกปานจะตัดขาดจากกันไม่ได้มาตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

แค่กอดเดียว ก็สามารถอธิบายได้มากกว่านั้น

……

เมื่อมีแนวทาง ระดับความก้าวหน้างานของฉินซีก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ไม่กี่วันต่อมา เธอก็คิดจะส่งพล็อตเรื่องฉบับสมบูรณ์ไปก่อนกำหนด

เดิมทีพล็อตเรื่องต้องผ่านการตรวจสอบโดยแผนกโฆษณาก่อน แต่เพราะฉินซีวางมันไว้บนโต๊ะในห้องนอน ลู่เซิ่นจึงเป็นคนแรกที่ได้ตรวจสอบ

ฉินซียังขาดประสบการณ์ในการเขียนพล็อตเรื่องอีกเยอะ ในด้านรายละเอียดปลีกย่อยยังถือว่าไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่พอลู่เซิ่นได้กวาดสายตาอ่านสารบัญ ก็รับรู้ว่าเธอเข้าใจกรอบเนื้อหาเป็นอย่างดี

เมื่อลองอ่านเนื้อหาอย่างละเอียด สมาธิของลู่เซิ่นก็ถูกเนื้อหาดึงดูดไปทั้งหมด

ประเด็นหลักของเรื่องคือการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง การเติบโตคือมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งก่อสร้าง ทั้งสองอย่างไหลไปตามกาลเวลาพร้อมๆกัน และร่วมเป็นพยานให้แก่การเปลี่ยนไปของกันและกัน

เธอยังเลือกใช้รูปภาพมาเน้นเนื้อหาให้เห็นภาพชัดเจน สำหรับประสบการณ์ของแต่ละคนเธอเลือกใช้วิธีการสัมภาษณ์

เธอเลือกสถานที่มาหกสถานที่ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง ศูนย์กลางทางธุรกิจ เขตชานเมือง สวนสาธารณะ มหาวิทยาลัย รวมถึง…..รีสอร์ทชิงหยวน

เมื่อลู่เซิ่นอ่านมาถึงชื่อสถานที่สุดท้าย ก็มุ่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว

ไม่ทันที่เขาจะได้เปิดหน้าถัดไป ฉินซีก็เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน

“คุณอ่านหมดแล้วเหรอ?” ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น

ลู่เซิ่นพยักหน้า แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ทำแค่ชี้ไปยังชื่อสถานที่สุดท้าย “คุณจะถ่าย…..รีสอร์ทชิงหยวน?”

เมื่อฉินซีเหลือบมองท่าทางของเขา จึงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป จึงพูดหยั่งเชิงขึ้นมาว่า “คุณ….ไม่อยากให้ถ่าย?”

ถึงอย่างไรรีสอร์ทชิงหยวนก็เป็นของลู่เซิ่น เขามีสิทธิ์ปฏิเสธได้อย่างไม่ต้องมีข้อแม้ใดๆ

ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าควรส่ายหน้าหรือพยักหน้าดี ครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าว่ากันอย่างจริงจัง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของบริษัทลู่ซื่อ แต่เป็นสมบัติส่วนตัวของผม”

ฉินซีส่ายหน้า “กลุ่มเป้าหมายที่คุณอยากจะนำเสนอเป็นคนหมู่มาก พวกเขาไม่น่าจะสนใจเรื่องพวกนี้หรอก”

ลู่เซิ่นรู้ถึงเจตนาของฉินซีดี นับตั้งแต่ที่เขาซื้อรีสอร์ทชิงหยวนมาเป็นของตัวเอง ก็มักจะมีสารพัดข่าวถูกตีพิมพ์ออกมา ความอยากรู้อยากเห็นที่ผู้คนมีต่อรีสอร์ทชิงหยวนก็ยังคงมีอยู่มากมาย ถ้าเลือกรีสอร์ทชิงหยวนมาทำเป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อ ก็จะไม่ต้องเสียแรงอะไรมาก ทั้งยังได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้คนอีกด้วย

แต่สิ่งที่ต้องใช้เพื่อแลกกับความสนใจเหล่านี้ ก็คือความทรงจำในอดีตของฉินซีและความทรงจำในตอนนี้ของทั้งสองคน

ลู่เซิ่นไม่อยากให้ฉินซีนำความทรงจำเหล่านี้เผยสู่สาธารณะ

เขาอยากให้มันเป็นความทรงจำเฉพาะของเขาและเธอ

เมื่อเห็นว่าลู่เซิ่นเงียบไป ฉินซีก็รับรู้ความหมายของเขา

ที่หยิบยกรีสอร์ทชิงหยวนมาเป็นหนึ่งในตัวอย่างเดิมทีเธอก็แค่หยั่งเชิงไปอย่างนั้น

เธอยังจำที่เจ้าของร้านกาแฟพูดในตอนนั้นได้ ว่าลู่เซิ่นไม่ชอบให้ใครมาถามถึงรีสอร์ทชิงหยวน ตอนแรกเธอคิดว่ายังไงลู่เซิ่นก็ต้องยอมเสียสละเพื่อการงานของตัวเอง

นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นความเสียสละที่เขาไม่ได้เต็มใจ

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท