บทที่ 984 อย่าโง่ไปหน่อยเลย
แม้ว่าคนที่เข้าร่วมการประชุมจะไม่ใช่คนตระกูลฉินก็ตาม แต่ส่วนใหญ่จะมีความใกล้ชิดกับตระกูลฉิน ดังนั้นจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะของตระกูลฉินเป็นอย่างดี
ตัวอย่างเช่น หซู่หนานที่เคยคบหากับฉินซีมาก่อน
แม้ว่าทุกคนจะมีสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉินซีและหซู่หนาน แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
อย่างไรก็ตามพวกเขาอิงจากสายตาของหลี่เหวย ทุกคนต่างก็เห็นว่าเธอรักและเอ็นดูฉินหว่านมาก
หากพูดถึงคนรักของฉินหว่านหรือเรื่องของฉินซีขึ้นมาล่ะก็ แน่นอนว่ามีจุดจบที่ไม่สวยแน่
แต่ในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าหซู่หนานคว้าแขนของฉินซีไว้ สีหน้าของทุกคนดูไม่ดีนัก
ฉินซีไม่แคร์ปฏิกิริยาของคนอื่น แต่เธอเบื่อหน่ายกับการกระทำของหซู่หนาน เธอจึงสะบัดแขนออกจากเขาและพูดขึ้นอย่างเย็นชา “คุณผู้จัดการหซู่ มีธุระอะไรเชิญพูดตอนนี้ได้เลยค่ะ”
หซู่หนานมองไปรอบๆ เมื่อเห็นท่าทีแน่วแน่ของฉินซีก็ลดเสียงพูดลง “เรื่องสูหวั่นก่อนหน้านี้ ฉันผิดเองที่ไม่ได้บอกเธอก่อน ฉันรู้พวกเขาต้องการทำให้เธอกับลู่เซิ่นหย่ากัน วันนั้นที่ฉันไปหาเธอก็เพราะจะลองใจเธอเท่านั้น…”
“ค่ะ” ฉินซีพูดขัดจังหวะด้วยเสียงที่หนักแน่น “คุณไม่จะเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”
หซู่หนานรีบพูดตอบ “ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ ฉินซี ถ้าตอนนั้นฉันบอกกับเธอ อย่างน้อยๆเธอจะได้เตรียมตัว ไม่ต้องถูกหักหน้าแบบนั้น”
ฉินซีหัวเราะออกมาเบาๆ “เตรียมตัวแล้วมันมีประโยชน์อะไรเหรอคะ”
หซู่หนานยังอยากตอบกลับ แต่ฉินซึ่งเทียนขัดจังหวะเสียก่อน
“สองคนมัวยืนทำอะไรกันอยู่ จะเริ่มประชุมกันแล้ว!”
หซู่หนานไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่เดินกลับไปที่นั่ง
ฉินซีเองก็หันกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เสียใจ
ครั้งแรกที่ได้รู้จักกับหซู่หนานนั้น เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
แต่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ใบหน้าซีดเซียว ก้มหัวลงและคดตัวอย่างคนไม่มั่นใจ เมื่อฉินซึ่งเทียนพูดอะไร เขาจะก้มหัวเพื่อเป็นการตอบสนองราวกับว่าเขากลัวการทำให้ฉินซึ่งเทียนไม่พอใจ
แต่มันคือสิ่งที่เขาเลือกเองหซู่หนานเลือกใช้ฉินหว่านเป็นทางลัดเพื่อปีนขึ้นไป อีกทั้งยังเลือกชีวิตที่ต้องคอยจับตาดูฉินซึ่งเทียน แน่นอนว่าเมื่อมีกำไรก็ต้องมีขาดทุนและนี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
“เงียบหน่อย เตรียมเริ่มประชุม”
ฉินซึ่งเทียนนั่งลงบนที่นั่งของตนเองเขากระแอมออกมาพลางเปิดไมโครโฟน จากนั้นหันไปมองเลขาต่ง
เลขาต่งพยักหน้ารับ เขาหยิบต้นฉบับขึ้นมาและเริ่มกล่าวเปิดการะประชุม “อรุณสวัสดิ์ทุกท่าน…”
ฉินซีไม่ชอบฟังคำพูดที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ เธอมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกเบื่อ
และแน่นอนว่าหลี่เหวยยังคงไม่ปรากฏตัว ฉินหว่านเองก็เช่นกัน
เธอเหลือบมองไปที่ประตูห้องรับรองเล็กๆที่อยู่ด้านหลังของห้องประชุม รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นตรงมุมปาก
หลี่เหวยพยายามอย่างมากจนในที่สุดก็เข้าไปอยู่ในตระกูลฉินได้ แต่ในที่สุดก็ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆอย่างนั้นเหรอ
หลังจากที่รอยยิ้มของเธอปรากฏขึ้นได้ไม่นาน ความสนใจของเธอก็ถูกดึงกลับมาโดยคำพูดของเลขาต่ง
“เอาล่ะ จากนี้เราจะเข้าสู่วาระแรกของการประชุม นอกจากนี้ยังเป็นหัวข้อหลักของการประชุมคณะกรรมการอีกด้วย นั่นก็คือการเสนอถอดถอนตำแหน่งของท่านกรรมการผู้บริหารฉินซี”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ระเบียบวาระการประชุมของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเป็นเหมือนกับบุคลิกของฉินซึ่งเทียน ที่ทั้งคร่ำครึและน่าเบื่อ เพราะอย่างนั้นจะต้องมีพูดเปิดที่ยาวนานและไร้ประโยชน์อยู่เสมอ จนเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เวลาพูดเปิดถึง 10 นาที
แต่ตอนนี้กลับใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็รีบตัดเข้าวาระการประชุมเลย ทำให้เห็นว่าฉินซึ่งเทียนกังวลเกี่ยวกับการขับไล่ตัวเองออกจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมากแค่ไหน
เมื่อสิ้นเสียงของเลขาต่ง ฉินซึ่งเทียน ก็ลุกขึ้นและเดินไปโพเดียม
“ทุกท่าน” น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูสง่าผ่าเผย “คงเป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาฉินซีได้รับช่วงต่อหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปและเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหาร ช่วงนี้ทางเราจึงจำเป็นต้องรบกวนทุกท่านเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการฉินซื่อกรุ๊ปหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า วันนี้จะสามารถจบปัญหาเรื่องนี้ได้”
เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆแก่ฉินซี ทันทีที่มาถึงก็โยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่เธอ ทุกสายตาของกรรมการต่างจับจ้องมาที่เธอ
แต่ราวกับว่าฉินซีไม่สะทกสะท้านต่อสายตาที่ดูจะสับสนของคนอื่นๆ สีหน้าของเธอนิ่งสงบโดยการแสดงออกยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ฉินซึ่งเทียนดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการมาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นจึงไม่ใช่คนไม่มีความสามารถ เขามีวิธีพูดที่ทำให้คนฟังคล้อยตามได้ “จากการประชุมครั้งก่อน ผมได้กล่าวไปแล้วว่าเพราะฉินซีมีความเกลียดชังส่วนตัวต่อตัวผม เธอใช้ประโยชน์จากการใช้บริษัทลู่ซื่อมากดดันบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป และหลังจากการประชุมครั้งล่าสุดก็ยังคงไม่กลับตัวกลับใจ มิหนำซ้ำกลับทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องที่ฉินซื่อกรุ๊ปจะประมูลโครงการตึกแฝดให้แก่บริษัทลู่ซื่อ เป็นผลให้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปต้องสูญเสียโอกาสในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าการที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตกต่ำนั้นเป็นผลมาจากความต้องแก้แค้นของฉินซี ดังนั้นผมจึงขอเสนอการถอนฉินซีออกจากตำแหน่ง เพราะคณะกรรมการของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไม่ต้อนรับกรรมการที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ อย่างแน่นอน และตอนนี้ก็ถึงเวลาโหวตแล้ว…”
“ดิฉันมีอะไรจะพูดสักเล็กน้อย” ทันใดนั้นฉินซีก็ค่อยๆยกมือขึ้นในระหว่างที่ฉินซึ่งเทียนกำลังพูดอยู่
ดูเหมือนว่าฉินซึ่งเทียนจะไม่แปลกใจกับการกระทำของเธอ เขามองเธออย่างเย็นชา “ฉินซี เธอยังจะเล่นลิ้นอะไรอีก”
ฉินซียิ้มมุมปาก “ประธานฉิน การที่กรรมการถูกถอดถอนไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีสิทธิ์พูดใช่ไหมคะ”
ฉินซึ่งเทียนขมวดคิ้วเป็นปม แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
ตอนนี้ถือได้ว่าบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่พายุโหมกระหน่ำ แม้จะมีความน่าเชื่อถือของเขาแต่เขาก็ค่อยๆได้รับคำถามต่างๆทีละนิด เขาต้องการใช้วิธีการถอดถอนตำแหน่งของคณะกรรมการเพื่อขับไล่ฉินซี เพราะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการกำจัดคนที่เห็นต่าง โดยการโยนความผิดทั้งหมดไปที่ฉินซี เพื่อรักษาตำแหน่งของเขาในบริษัท
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร ฉินซีจึงลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน เธอหันหน้าไปทางผู้ถือหุ้นด้วย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสงบ “ทุกท่านไม่สงสัยอะไรเลยเหรอคะ หากสิ่งที่ประธานฉินพูดเป็นความจริง ที่ว่าฉันทุจริตและเผยแพร่ความลับทางธุรกิจ แล้วทำไมเขาไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตํารวจให้มาจับฉันเข้าคุกไปเลยล่ะคะ ทำไมต้องเสียเวลาจัดการประชุมเพื่อถอนตำแหน่งฉันด้วย”
“เธอ!” ฉินซึ่งเทียนอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “ฉินซี อย่าโง่ไปหน่อยเลย ฉันเห็นแก่ความเป็นพ่อลูกของเราเลยไม่อยากทำอะไรแบบนั้น เธอนี่มันรนหาที่จริงๆ ฉันปราณีเธอแล้วนะ!”
ฉินซีสีหน้าเรียบเฉย เธอหันหน้าไปมองฉินซึ่งเทียนด้วยสายตาเย้ยหยัน “ประธานฉินคิดว่า การครอบครองมรดกที่แม่ทิ้งไว้ให้ฉันไปจนหมด ไม่ให้เงินปันผลกับฉันแม้แต่น้อย จากนั้นยังถอนฉันออกจากตำแหน่งในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปในที่สาธารณะอีก เป็นวิธีที่ปราณีแล้วเหรอคะ”
ใบหน้าของฉินซึ่งเทียนแดงก่ำ “ก็ใช่น่ะสิ!ฉันก็ไม่ได้โหดร้ายถึงขนาดส่งเธอไปกินข้าวแดงในคุก