บทที่ 995 ไม่เต็มใจ
ทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารเช่นนี้ เป็นเวลากว่าปีเศษ
ลู่เซิ่นเป็นคนระเบียบจัดเสียกว่าฉินซี
เป็นประธานเหมือนกัน แต่เขาและฉินซึ่งเทียนกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ชอบออกงาน นอกเสียจากงานเลี้ยงที่จำเป็น เขาจะรับประทานอาหารค่ำที่บ้านซะส่วนใหญ่
เวลาอาหารค่ำ จึงเป็นเวลาที่ฉินซีและลู่เซิ่นได้อยู่ด้วยกันนานที่สุด
เพียงแค่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน ทั้งคู่ไม่ค่อยได้มีบทสนทนาร่วมกันเท่าใดนัก
ในอดีตฉินซีกลับชอบในความนิ่งขรึมของเขา ลู่เซิ่นไม่ค่อยพูด เธอเองก็ไม่ต้องปวดหัวตอบคำถามของเขา
แต่ความเงียบงันในตอนนี้และอดีตกลับแตกต่างกัน ราวกับหนองบึง ที่ค่อยๆดูดกลืนเธอให้หายลับไป
ทั้งคู่บดเคี้ยวอย่างเชื่องช้า กระทั่งทานมื้อค่ำเสร็จ
ในตอนที่ฉินซีดื่มน้ำซุป ที่สุดลู่เซิ่นก็ยอมเอ่ยปาก
“การประชุมคณะกรรมการในวันนี้ เธอว่าอย่างไร?”
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างประสานเข้าด้วยกัน พร้อมสายตาแกมสืบสวน
ฉินซีกลืนน้ำซุปลงคอ ก่อนเอ่ยอย่างราบเรียบ : “คุณ…..รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วขึ้น : “ผมรู้?”
ฉินซีเพียงเอ่ยสองพยางค์สั้นๆ : “เส้นสาย”
ลู่เซิ่นชะงักเล็กน้อย ก่อนกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว : “เจ้าหน้าที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อฉัน รู้ว่าเธอจะเข้าร่วมคณะกรรมการ ผมจึงขอให้เขาช่วยดูแลคุณเป็นพิเศษ เขาไม่ใช่สายของผม”
ฉินซีประหลาดใจในประโยคของเขา : “อย่างงั้นหรือ?”
ลู่เซิ่นพยักหน้า : “ผมไม่มีเหตุผลต้องโกหกคุณ หากเขาเป็นสายผม คงไม่แสดงตนโจ่งแจ้ง อีกอย่าง ผมไม่จำเป็นต้องมีสายลับอยู่บนชั้นบนสุดของบริษัทคู่แข่ง”
ฉินซีไร้คำพูด
จริงนั่นแหละ เขาคนนั้นเพียงแค่บังเอิญแสดงตนแค่สองครั้ง แต่เขาไร้ความกังวลว่าคนอื่นจะรู้ตัวตนของเขา หากเป็นลู่เซิ่น คงไม่โจ่งแจ้งเช่นนี้
ฉินซีเม้มริมฝีปาก : “แต่ว่า…..สำหรับข่าวกรองของคุณ ต้องรู้ตั้งนานแล้วสิ ว่าการประชุมเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
ลู่เซิ่นจับจ้องฉินซี : “ฉันอยากได้ยินจากปากเธอเอง”
ฉินซีตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเธอเลือกที่จะปริปาก อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ประชุม
ปฏิกิริยาของลู่เซิ่นสงบกว่าอานหยันหลายเท่าตัวนัก เขารู้ได้ทันทีว่าฉินซีต้องการอะไร
กระทั่งทีท่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพียงแค่นัยน์ตาที่ฉายแววความรู้สึกที่ต่างออกไป
“เธอ…..เริ่มวางแผนการนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ฉินซีประหลาดใจในคำถามของเขา : “ทำไมคุณถึงแคร์เรื่องนี้ล่ะ?”
ลู่เซิ่นเพียงแค่จ้องเธอนิ่ง ก่อนถามขึ้นอีกครั้ง : “ตอนไหน?”
ฉินซีหวนคำนึงพักหนึ่ง หรี่ตาลง : “น่าจะ…..ตอนที่แม่คุณอยากให้เราหย่ากันมั้ง”
ลู่เซิ่นนิ่งอยู่นาน ก่อนเอ่ย : “เธอ…..กว่าที่ฉันคิด”
เขาไม่เอ่ยต่อ พลางลุกขึ้นยืน
คำตอบนั้นหายไปกับเสียงเสียดสีของเก้าอี้ ฉินซีเหงื่อผุดไปทั่วร่าง
กว่าที่คิดอะไร?
ลู่เซิ่นจะรู้หรือไม่ การพูดแค่ครึ่งเดียว สามารถทำให้คนอื่นขาดใจตายได้
เธอโมโห ผุดลุกขึ้นยืน ไล่ตามหลังลู่เซิ่นไป : “เธอว่ายังไงนะ?”
ลู่เซิ่นไม่คาดคิดว่าเธอจะไล่ตามมา เขาตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฉินซียืนอยู่ด้านหลังตน
หากแต่เขาไม่ได้เฉลยประโยคของตนเมื่อครู่ เพียงแค่ส่ายหน้าไปมา
ฉินซีผิดหวังขึ้นมา
ทำไมวันนี้ทุกคนเป็นแบบนี้กันหมดเลยนะ อานหยันก็ดี ลู่เซิ่นก็ดี พูดจากำกวม
เธอนึกถึงประโยคอานหยันเมื่อบ่าย
หากอยากจะรู้ บอกลู่เซิ่นไปตามตรง เธอจะย้ายออก แค่นี้พอ
แบบนี้…..ใช้ได้จริงหรือ?
ฉินซีจ้องมองลู่เซิ่นด้วยความสงสัย
แต่ลู่เซิ่นยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยใดๆ
ฉินซีสูดหายใจเข้าลึก เธอตัดสินใจ เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งจับแขนเสื้อเขาเอาไว้ : “ลู่เซิ่น ฉัน…..”
ไม่คาดคิดลู่เซิ่นกลับเอ่ยขึ้นในเวลาเดียวกัน : “ฉินซี เธอ…..”
ทั้งคู่ปริปากพร้อมกัน ก่อนปิดปากในเวลาเดียวกัน
“คุณก่อน…..”
“คุณก่อน…..”
พร้อมกันอีกครั้ง
ฉินซีอดกลั้นไม่ให้ตนขำออกมากับสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนปิดปากแน่น พร้อมส่งสัญญาณ ให้ลู่เซิ่นเริ่มก่อน
ลู่เซิ่นไม่เกรงใจแต่อย่างใด เขาเอ่ยขึ้น : “ฉินซี ผลลัพธ์เช่นนี้ เธอพอใจกับมันไหม?”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น : “แน่นอน ฉันพอใจกับมัน”
ประโยคไร้ที่มาที่ไป ฉินซีรู้สึกว่ามีคำถามในคำถาม แต่กลับเดาไม่ถูกว่าเขาจะพูดอะไรกันแน่
“ก็ดี” ลู่เซิ่นไม่ประหลาดใจในคำตอบ เพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ “หากไม่พอใจ ก็คงไม่นัดอานหยันไปทานหม้อไฟด้วยกัน”
ฉินซียกยิ้มมุมปาก : “ทำไมคุณถึงแคร์หม้อไฟขนาดนี้….ครั้งหน้าฉันจะชวนคุณไปกินด้วยกัน โอเคไหม? จะได้เลิกบ่นพึมพำสักที”
ลู่เซิ่นตาลุกวาว : “ตรงไหนที่เธอเห็นว่าฉันแคร์ขนาดนั้น?”
ฉินซีนึกในใจ คำว่าแคร์เขียนอยู่บนหน้านั่น
แต่หากเอ่ยประโยคนี้ออกมา เขาต้องโมโหมากเป็นแน่
เธอทำได้เพียงตามน้ำไป “เปล่า ฉันแค่คิดว่าคุณอาจจะแคร์”
ลู่เซิ่นนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว : “แต่หากคุณอยากเลี้ยงผม ผมจะสละเวลาอันมีค่าของผมไปก็ได้”
คราวนี้ฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา : “ได้”
ยังบอกว่าไม่แคร์อีก!
ลู่เซิ่นเหมือนว่าจะถูกรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินซีแทงใจดำ เขาหันขวับถลึงตาใส่ฉินซี : “เมื่อกี้เธอจะพูดว่าอะไร?”
การเปลี่ยนคำถามที่แข็งกร้าว ฉินซียังคงตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขของการเยาะลู่เซิ่น บางทีอาจเป็นบรรยากาศความรู้สึกจะน้อยนักที่จะเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง เมื่อครู่ยังทำใจอยู่นาน บัดนี้ฉินซีกลับเอ่ยอย่างง่ายดาย : “ฉันไม่เพียงแค่ไปกินหม้อไฟกับอานหยัน ช่วงบ่าย…..ฉันไปดูที่พักมา”
ไม่ทันที่จบประโยคดี ลู่เซิ่นสีหน้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ทั้งสองที่เข้ากันได้ดีเมื่อครู่ เงียบสงัดราวไร้ตัวตน
“ดูห้อง?” ลู่เซิ่นทวนคำเสียงแผ่ว แต่ฉินซี กลับรู้สึกถึงน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
“ใช่” ฉินซีพยักหน้า “อพาร์ทเม้นแถวบ้านอานหยัน เอ่อ…..เซ็นสัญญาแล้ว”
จบประโยค ฉินซีรู้สึกถึงอุณหภูมิรอบตัวที่ลดลง
“เซ็นสัญญาแล้วด้วย” ลู่เซิ่นยกแขนขึ้นกะทันหัน ก่อนเชยคางเธอขึ้น “เธอรีบร้อนมากหรือ ในการไปจากที่นี่?”
ฉินซีจับจ้องนัยน์ตาที่ปนไปด้วยไฟลุกโชน ชั่วครู่เธอทำอะไรไม่ถูก
แม้จะเป็นฉันเองที่ต้องการหย่า แต่สัญญาหย่าร้างเขาก็เซ็นเองนี่นา?
ตอนนี้…..ทำไมถึงแสดงกิริยาไม่ยอมรับว่าทั้งสองได้หย่าร้างกันเรียบร้อยแล้ว
ลู่เซิ่น ตกลงคุณ…..คิดอะไรอยู่กันแน่?