บทที่ 1068 ฐานะที่ต่างกัน
แต่ว่าความประหลาดใจของฉินซีในคืนนี้ ไม่ได้มีแค่โครงการนี้เท่านั้น
ขณะที่เธอรีบตอบอีเมล์ให้กับสปอนเซอร์ หลังจากแสดงท่าทีของตัวเองว่าจะเข้าร่วมงานนิทรรศการ จู่ๆมือถือก็ดังขึ้นมา
ผู้ที่โทรศัพท์มากลับทำให้ฉินซีคาดไม่ถึง
เป็นผู้รับผิดชอบจุดชมวิวคนนั้นที่เธอถ่ายภาพเมื่อก่อนหน้านี้
เมื่อหลายวันก่อนฉินซีไปที่เมืองหลินซื่อใช้เวลาว่างเพื่อตกแต่งรูปภาพพวกนั้นจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ส่งไป ผู้รับผิดชอบฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมาอย่างรวดเร็วรวดเร็ว และแสดงท่าทีที่พอใจมาก
เหตุการณ์โดยปกติ การร่วมงานกันครั้งนี้ถือว่าเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว น่าจะไม่มีการติดต่อแล้วถึงจะถูก
ทำไมจู่ๆถึงได้โทรศัพท์มาหล่ะ?
ฉินซีคอยระมัดระวัง แต่ก็รับสายขึ้นมาจนได้
ฝ่ายตรงข้ามได้ยินว่ามีคนรับสายแล้ว รีบเอ่ยปากออกมาอย่างเป็นกันเองว่า:” คุณหนูฉินใช่มั้ยคะ?
” ฉันเองค่ะ มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” น้ำเสียงฉินซีเกรงอกเกรงใจมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นกันเอง
ผู้รับผิดชอบกลับไม่ได้ถูกความเย็นชาของเธอกระทบกระเทือน น้ำเสียงเป็นกันเองมากเลยทีเดียว :” อย่างนี้นะคะ เจ้านายใหญ่ของเราเห็นรูปถ่ายโฆษณาที่คุณถ่ายให้กับเราที่จุดชมวิว สนใจรูปถ่ายผลงานของคุณมาก อยากสนับสนุนคุณเปิดนิทรรศการภาพถ่าย”
ทีนี้ฉินซีประหลาดใจมากจริงๆ:” นิทรรศการภาพถ่าย?”
ผู้รับผิดชอบยิ้มแย้ม:” ใช่แล้วค่ะ นิทรรศการภาพถ่ายถึงแม้จะกะทันหันไปหน่อย แต่ว่าเจ้านายของเราสนใจผลงานของคุณมาก เพราะฉะนั้นจึงให้ฉันติดต่อคุณอย่างเร่งรีบ”
ในชั่วขณะหนึ่งฉินซีไม่รู้จะตอบกลับยังไงดี
เปิดนิทรรศการที่เป็นของตัวเอง ภาพถ่ายที่สำเร็จ สำหรับช่างภาพทุกคนแล้ว ล้วนเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ฉินซีก็ไม่ยกเว้น
แต่ว่าเธอกลับไม่มีความคิดแบบนี้อย่างจริงๆจังๆในที่ผ่านมา
แตกต่างจากช่างภาพทั่วไป เธอไม่ขาดสนเรื่องเงิน หากอยากได้จริงๆ เธอสามารถเปิดนิทรรศการหอศิลป์ที่ดีที่สุดในประเทศF
ที่ขัดขวางเธอเปิดนิทรรศการ มีแค่เหตุผลเดียว——เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์
ตั้งแต่ต้นจนจบฉินซียังรู้สึกว่าผลงานภาพถ่ายของตัวเองยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอ ยังมีช่องว่างต้องพัฒนาอีกเยอะ
ตอนที่เธอหันหน้ากลับมามองผลงานของตัวเองทุกครั้งก็จะเจอข้อเสียเยอะแยะมากมาย
ตั้งแต่ต้นจนจบเธอรู้สึกว่าผลงานของตัวเองยังไม่เพอร์เฟคพอ ถึงเอาความคิดที่จะเปิดนิทรรศเก็บเอาไว้ก่อน
เธอคิดไม่ถึง ถึงกับมีคนเสนอออกมาด้วยตัวเองอยากจะสปอนเซอร์เธอเพื่อจัดนิทรรศการอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย
ฝ่ายตรงข้ามได้ยินเธอบ่นอยู่คนเดียวตั้งนานสองนานรู้ว่าเธอลำบากใจ จึงไม่ได้บีบบังคับเธอ แต่กลับพูดอย่างเกรงใจและยิ้มแย้มพูดกับเธอว่าให้เธอลองคิดดูดีๆ ถึงจะวางสายไป
ฉินซีจับมือถือเอาไว้ และละเมออยู่
ตัวเอง……..ถึงขั้นเปิดนิทรรศการเพียงลำพังได้แล้วหรือ?
แต่ว่าเธอยังไม่ได้ผลสรุป มือถือก็ดังขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ผู้ที่โทรศัพท์มาครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ประหลาดใจอะไรแล้ว——เป็นลู่เซิ่นเอง
ฉินซีรับสายวีดีโอคอลของเขาอย่างรวดเร็ว
เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปากออกมา:” คุณรู้ได้ไง?
ลู่เซิ่นยิ้มแย้ม:” ตอนที่มีเรื่องกลุ้มใจ คุณจะขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว”
ฉินซียักไหล่ พูดอย่างตรงไปตรงมา:” ความจริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องกลุ้มใจอะไรหรอก………. ”
รอให้เธอพูดเรื่องมีคนจะสปอนเซอร์เธอเปิดนิทรรศการออกมา ลู่เซิ่นยิ้มแย้ม:” นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอ? ทำไมถึงลังเลหล่ะ? ”
ฉินซีเม้มปาก:” ฉันไม่ได้ลังเลว่าจะรับการขอร้องของเขารึเปล่า ฉันแค่เกิดความไม่แน่ใจในตัวเองนิดหน่อยเมื่อก่อนฉันรู้สึกว่าตัวเองยังห่างไกลจากการเปิดนิทรรศการโดยลำพัง แต่ว่าถูกพูดแบบนี้ปุ๊บฉันก็รู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์มากพอแล้ว”
ลู่เซิ่นพูดแบบยิ้มแย้ม” คุณยังเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เผชิญเรื่องภาพถ่าย ระมัดระวังเกินไปแล้ว”
ฉินซีขมวดคิ้วเบาๆ:” ใช่หรือ?”
ลู่เซิ่นพยักหน้า:” ตอนที่เราเพิ่งเจอกัน คุณก็เฝ้าอยู่ตรงหน้าภาพถ่ายของตัวเองและกลัวว่าจะไม่มีคนชื่นชอบ มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เชื่อตัวเองอีก”
ฉินซีก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ที่แท้เธอ……..ไม่มีความมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด
“ฉินซี คุณทำได้เยี่ยมมากจริงๆ” น้ำเสียงลู่เซิ่นตระหนัก” คุณแค่คิดๆดูสิ โฆษณาที่คุณถ่ายให้กับบริษัทลู่ได้รับการยอมรับมามากเท่าไหร่แล้ว คุณก็น่าจะเข้าใจได้แล้ว สิ่งที่คุณทำดีกว่าสิ่งที่คุณจินตนาการเอาไว้เสียอีกนะ”
ฉินซีฟังน้ำเสียงที่จริงจังของเขา ชั่วขณะหนึ่งเกิดเขินอายขึ้นมา พูดแบบล้อเล่นเพื่อปกปิดความเขินอายของตัวเอง:” ทำไมคุณต้องพูดคำพูดที่จริงจังขนาดนี้ด้วยนะ”
ลู่เซิ่นก็น่าจะดูความเขินอายของเธอออก ไม่ได้ล้อเล่นกับเธออีกต่อไป เปลี่ยนเรื่องด้วยตัวเอง:” ไม่พูดเรื่องนี้ล่ะ วันนี้คุณไปที่โรงพยาบาลเป็นไงบ้าง?”
ฉินซีพยายามตอบแบบสบายๆและง่ายๆ ลู่เซิ่นก็ยังก้มหน้าก้มตาอยู่ดี บนใบหน้าแสดงความขอโทษด้วย:” ผมควรจะอยู่ข้างๆคุณ”
ฉินซีผายมือ:”พูดอะไรโง่ๆ คุณหล่ะ ธุระทางโน้นจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมาในตลอดทั้งวัน จนกว่าหลินหยังตะโกนเรียกลู่เซิ่นไปประชุม ทั้งคู่ถึงโบกมือและพูดคำลา จากนั้นก็วางสายวีดีโอคอลไป
แต่ว่าฉินซีไม่ได้ทำงานของตัวเองต่อไปในทันทีทันใด แต่เปิดคอมพิวเตอร์ออกมา กดเข้าไปที่โฟลเดอร์ซึ่งตัวเองบันทึกภาพถ่ายเอาไว้
เธอจะไม่รับการสปอนเซอร์ของคนคนนั้น ยังไงซะเธอมีเงินเปิดนิทรรศการเอง ถ้าหากมีสปอนเซอร์จริงๆ การสื่อสารระหว่างพวกเขาต้องเสียแรงกายและแรงใจ ฉินซีไม่อยากยุ่งยากขนาดนี้
เรื่องที่เธอต้องการมั่นใจมีแค่สิ่งเดียว ก็คือตัวเองพอที่จะเปิดนิทรรศการสักครั้งจริงๆหรือไม่
เรื่องแบบนี้ ลังเลไปก็ไม่มีประโยชน์ วิธีเดียว ก็คือเปิดผลงานของตัวเองทั้งหมด และสำรวจอย่างจริงๆจังๆ
เห็นภาพถ่ายทุกรูป ฉินซีก็จะถามตัวเองหนึ่งคำถาม:” คุณกล้าแขวนภาพถ่ายภาพนี้เอาไว้ในนิทรรศการมั้ย?
วางอยู่ตรงหน้าทุกคน ให้พวกเขาชมอย่างเต็มที่ และเผชิญกับนักวิจารณ์ที่เข้มงวดกวดขัน ก็จะต้องทำให้พวกเขาพูดคำพูดที่เรื่องมากออกมาไม่ได้
ดูแบบนี้ไปทีละรูป และเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ฉินซีถึงกับเลือกรูปภาพออกมาตั้งหลายรูปเรียบร้อยแล้ว
เธอดูโฟลเดอร์ของตัวเอง ในครึ่งชั่วโมงนี้ เธอดูผลงานของตัวเองไปแค่เศษหนึ่งส่วนสิบเท่านั้น
ถ้าหากมีเวลาคัดเลือกทุกรูป เธอน่าจะสามารถคัดเลือกผลงานที่เพียงพอออกมาได้
ในใจฉินซีเหมือนกับลูกโป่ง กลายเป็นแบบเบาๆและสบายๆ
นานมากเมื่อในอดีต ตอนที่คุณปู่ยังอยู่ เขาจูงมือฉินซีไปชมนิทรรศการเป็นบางครั้งบางคราว ชมนิทรรศการเสร็จทุกครั้ง ยังไม่พอใจสักที ระหว่างทางกลับบ้านบ่นกับฉินซี และพูดว่าเขาไม่มีเวลาพอ และไม่มีโอกาสจัดงานนิทรรศการให้ทุกคนได้ชมกัน
ตอนนั้นฉินซียังเด็ก เงยหน้าขึ้นมาดูสีหน้าที่เสียใจของคุณปู่ ถึงแม้ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่กลับจำได้อย่างเดียวในความคิดที่ดื้อรั้นแบบนี้เอาไว้ได้อย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้น ต่อให้ในแวดวงช่างภาพมีการเลือกรางวัลไม่น้อยเลยทีเดียวก็ตาม และยังมีสปอนเซอร์นิทรรศการที่มีชื่อเสียงอีกด้วย แต่ว่าการจัดงานนิทรรศการส่วนตัวสักครั้ง ในใจฉินซี ตั้งแต่ต้นจนจบมีฐานะที่ต่างกัน
เธอปิดคอมพ์ออกมา และพูดอยู่ในใจเงียบๆ
คุณปู่คะ ไม่รู้ว่าท่านสามารถมองเห็นรึเปล่าคะ สิ่งที่ท่านเสียใจและไม่สามารถทำเสร็จสมบูรณ์ หนูกำลังจะทำเสร็จสมบูรณ์แทนท่านแล้วนะคะ