บทที่1103 หลุดปาก
ลู่เซิ่นเผยรอยยิ้มที่มุมปากให้เห็น แต่ดูเหมือนเป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างจะฝืน : “ผมบอกแล้วว่าผมจะจัดการเรื่องนี้เอง ไม่รบกวนทุกท่านแล้วครับ”
อารองทำท่ากำลังจะพูด แต่ถูกอาสามดึงมุมเสื้อเของเขาอยู่ใต้โต๊ะอาหาร
อารองหันไปมองด้วยความสงสัย แต่กลับเห็นอาสามนั้นกำลังยิ้มให้กับลู่เซิ่น “ลู่เซิ่นนี่แกพูดอะไร! ถ้าแกชอบเธอจริงๆ พวกเราจะทนเห็นแกเป็นกังวลใจแบบนี้ได้อย่างไร แกบอกฉันได้ ว่าเกิดอะไรกับหญิงสาวคนนั้น”
ลู่เซิ่นไม่ได้เอ่ยปากพูด เพียงแต่กวาดสายตามองทุกคนไปรอบๆ
อาสามก็เข้าใจในความหมายของเขาทันที ดึงเก้าอี้ออกแล้วลุกยืนขึ้น ทำท่าบิดขี้เกียจ : “วันนี้ฉันทานอาหารมากไปหน่อย ลู่เซิ่นออกไปเดินเล่นกับอาสามหน่อยดีไหม”
ลู่เซิ่นยิ้มขำอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าอาสามคืนนี้มัวแต่ขยิบตาส่งให้กับอารอง จนทานอาหารไปแค่สองสามคำเองมั้ง
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงพยักหน้าแล้วลุกยืนขึ้น : “ตามความต้องการของอาสามครับ”
แน่นอนอารองย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้อาสามแค่เพียงคนเดียว จึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน : “พอดีเลยฉันก็รู้สึกว่าควรต้องย่อยอาหารสักหน่อย เจ้าสามฉันไปด้วย”
อาสามย่อมไม่ขัดข้องอย่างแน่นอน
เมื่ออารองพูดเช่นนี้ ทำให้ญาติท่านอื่นต่างเข้าใจทันทีว่าพวกเขากำลังต้องการจะทำอะไร และก็แสดงอาการอยากมีส่วนร่วมด้วยทันที
ลู่เซิ่นที่ไม่อยากจะให้มีคนรู้เรื่องนี้มากเกินไป ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า : ดูเหมือนทุกท่านจะทานอาหารกันเสร็จแล้ว อย่างนั้นก็แยกย้ายกันเถอะ”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ก็เหมือนเป็นการอุดปากเหล่าท่านที่อยากจะมีส่วนร่วมเหล่านั้น ทุกคนพยักหน้าอย่างไม่พอใจแล้วก็จากไป
ครั้นแล้วก็มีเพียงอารองกับอาสามที่เดินออกมาพร้อมกับลู่เซิ่น
บริเวณบ้านตระกูลลู่นั้นกว้างใหญ่มาก ดังนั้นมีสถานที่ให้เดินเล่นมากมาย
ตระกูลลู่เป็นตระกูลครอบครัวใหญ่
คุณปู่ของลู่เซิ่นมีน้องชายสองคน สามพี่น้องต่างฝ่ายต่างมีลูกชายหลายคน ดังนั้นบ้านตระกูลลู่ตอนนี้ถึงได้มีลุงๆอาๆจำนวนมากมาย
แต่คุณปู่คุณย่าของลู่เซิ่นมีลูกชายสามคนลูกสาวสองคน ลูกคนโตคือลู่เหวย แล้วก็ตามด้วยอารอง อาสาม และอาผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งได้แต่งงานย้ายออกไปแล้ว ส่วนลู่เหวยก็ได้ย้ายไปที่ประเทศF เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้สำหรับลู่เซิ่นแล้ว อารองกับอาสามถือว่าเป็นญาติทางสายเลือดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุด
คุณปู่เป็นรุ่นบุกเบิกผู้ก่อตั้งตระกูลลู่ พูดตรงๆก็คือ เหล่าลูกหลานของพี่น้องของคุณปู่ที่อาศัยอยู่ที่นี้ได้ก็ด้วยบารมีของคุณปู่ พวกเขาก็เข้าใจสถานะตัวเองดี ดังนั้นส่วนใหญ่พวกเขามักจะชอบหลบหน้าหลบตา
แต่เมื่อลู่เหวยไม่อยู่ อารองและอาสามจึงมีสถานะใหญ่สุดในบ้านตระกูลลู่
หรืออาจพูดได้ว่าไม่เพียงแต่ที่บ้านตระกูลลู่ แต่พวกเขาสองคนยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลลู่ในเมืองหนาน และมีพลังในการพูด
ดังนั้นลู่เซิ่นจึงเลือกพวกเขามาเป็นกุญแจในการไขปัญหา
เมื่อทั้งสามเดินออกมา ลู่เซิ่นก็หยุดพูดอีก
ทำให้อารองและอาสามจิตใจร้อนรน แต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการออกมา ทำได้แค่เพียงชวนลู่เซิ่นสนทนาเรื่องทั่วไป : แกก็นานมากแล้วที่ไม่ได้กลับมา”
ลู่เซิ่นแค่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร
เขาเหล่หางตามองอารองกับอาสามที่มีอาการกระวนกระวาย แล้วเขาก็นึกขำในใจ
ตอนที่เลือกทายาทเพื่อสืบทอดตระกูล คงเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับคุณปู่ลู่
คุณปู่ลู่คงสังเกตเห็นแล้วว่าลู่เหวยนั้นมีนิสัยค่อนข้างอ่อนโยน เหมือนเป็นนักวิชาการมากว่าการเป็นนักธุรกิจ แต่น้องชายของลู่เหวย ก็คืออารองกับอาสามนั้น แม้จะหูตากว้างขวาง แต่ก็ใจเสาะ ชอบโลภสิ่งเล็กๆน้อยๆ จึงยากที่จะแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ได้
ดังนั้นจึงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่จะเลือกลู่เหวยให้เป็นผู้สืบทอดธุรกิจของตระกูลต่อไป
อย่างน้อยลู่เหวยก็มีบุคลิกที่ดีกว่าถ้าเทียบกับน้องๆของเขา
โชคดีที่ลู่เหวยนั้นแต่งงานกับสูหยิง เขาที่อ่อนโยน แต่สูหยิงนั้นเข้มแข็ง จึงสามารถพยุงตระกูลลู่ให้อยู่รอดจนได้
แต่ว่าสำหรับคนบ้านตระกูลลู่นั้น กลับคิดว่าสูหยิงนั้นไม่ใช่คนของตัวเอง เป็นเพียงแค่สะใภ้ที่แต่งเข้ามา และยังมีพวกที่หัวโบราณอีก คิดว่าตระกูลลู่ที่ใหญ่โตหากถูกพยุงโดยผู้หญิง จะเป็นที่อับอายขายหน้าให้กับวงศ์ตระกูล
ดังนั้นอารองและอาสามมักจะคอยเลื่อยขาเก้าอี้เสมอ ไม่ว่าจะทั้งในที่ลับหรือที่แจ้ง รอแค่สูหยิงขัดขาตัวเองแล้วทำสิ่งผิดพลาด พวกเขาก็จะรอเสียบทันที
ยังโชคดีที่หลายปีมานี้สูหยิงที่แม้จะมีนิสัยแข็งกระด้าง แต่เธอก็ให้ความระมัดระวังเสมอเมื่อต้องทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ โดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดให้ผู้อื่นครหาได้
และความหวังของอารองและอาสามต้องพังทลายลง เมื่อมีการปรากฏตัวของลู่เซิ่น
หลังจากลู่เซิ่นได้เผยความสามารถที่โดดเด่นให้เห็น ก็เปรียบเสมือนเขาได้นำชีวิตใหม่สู่บ้านตระกูลลู่ รูปแบบและสไตล์ของเขานั้นแตกต่างจากลู่เหวยมาก แต่กลับค่อนข้างคล้ายกับคุณปู่ลู่ที่ดูมีพลัง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วิธีการรุนแรงและเด็ดขาด สายตาพิฆาตและแม่นยำ
ดังนั้นหลังจากที่รอเขาจบการศึกษาและฝึกฝนอยู่หลายปี สูหยิงก็ได้ยกตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวให้กับลู่เซิ่น
แรกเริ่มอารองและอาสามนั้นไม่ค่อยพอใจ แต่ทันทีที่ลู่เซิ่นเข้ามา ก็ได้จัดการหลายเรื่องให้แล้วเสร็จ รวมถึงการควบรวมกิจการที่ก่อนหน้านี้สูหยิงนั้นทำไม่สำเร็จให้สำเร็จลุล่วง ทำให้คนบ้านตระกูลลู่เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาใหม่ อีกทั้งยังจัดการคนที่คอยสอดแนมเป็นหูเป็นตาให้กับอารองและอาสามที่บริษัทลู่ซื่อ ด้วยการแอบตีทั้งคู่อย่างลับๆไปสองสามที
อารองและอาสามจึงยอมศิโรราบให้แต่โดยดี เพราะรู้ดีว่าลู่เซิ่นมักจะใช้วิธีรุนแรงในการจัดการเรื่องราว เพื่อผลประโยชน์ที่จะกอบโกยได้จากบริษัทลู่ซื่อแล้ว จึงต้องจำยอมไม่เป็นปฏิปักษ์กับลู่เซิ่น และอยู่บ้านตระกูลลู่ที่เมืองหนานอย่างสงบสุข ใช้ชีวิตสะดวกสบายดุจราชา
และด้วยคำพูดของตัวเองนี้ ทำให้สมองของพวกเขาแล่นอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ตัวเองจะควบคุมดูแลบริษัทลู่ได้โดยไม่เกิดปัญหาใดๆ แต่ด้วยที่ตัวเองนั้นอายุน้อย ส่วนคณะกรรมการบริหารของบริษัทลู่ซื่อยังคงเหลือคนรุ่นอย่างลู่เหวยอยู่ไม่น้อย ลู่เซิ่นที่ไม่ชอบพวกเขาที่คิดว่าอาวุโสกว่า ส่วนพวกเขาก็ไม่ถูกใจวิธีการบริหารของเขา เมื่อเร็วๆนี้เขาต้องการอยากเปลี่ยนไปลงทุนทางอินเทอร์เน็ต ก็ถูกพวกเขาต่อต้านทุกวิถีทาง ทั้งสองฝ่ายจึงมีปากเสียงกันอยู่นาน จนสถานการณ์บานปลาย
ในช่วงเวลาเลวร้ายแบบนี้ ถ้าหากเขาต้องการแต่งงานกับคนที่ดูอย่างไรก็ไม่มีทางที่ตระกูลลู่จะให้การต้อนรับ ก็เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟในกองไฟ และจะต้องทำให้คณะกรรมการหัวโบราณเหล่านั้นยิ่งเป็นที่ไม่พอใจมากขึ้น
ถ้าอารองกับอาสามใช้โอกาสนี้มาต่อกร ถึงแม้จะไม่สามารถล้มตัวเองได้ แต่ก็ทำให้ตัวเองเสียประโยชน์หลายอย่างได้
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองถึงได้ขยันให้การช่วยเหลือตัวเองเช่นนี้
ในใจลู่เซิ่นนั้นมองทุกอย่างออกอย่างถ่องแท้ แต่สีหน้าแค่ไม่แสดงอาการใดๆออกมา ราวกับว่าเป็นการออกมาเดินย่อยอาหารเป็นเพื่อนอารอกับอาสามจริงๆ และก็เดินอย่างเงียบๆ
เดินวนได้ครึ่งรอบชองบริเวณบ้านตระกูลลู่ที่กว้างใหญ่ เมื่อเห็นอารองและอาสามนั้นทนไม่ได้อีกต่อไป เขาถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น
“พูดออกมาก็ไม่กลัวท่านทั้งสองหัวเราะเยาะ” ขณะที่ทั้งสามกำลังเดินไปถึงใต้เงาต้นไม้ เห็นท่าทางของลู่เซิ่นได้ไม่ชัดเจน แต่น้ำเสียงที่ได้ยินเหมือนค่อนข้างจะแผ่วๆ
อาสามที่ความรู้สึกไว เมื่อรู้ว่าลู่เซิ่นนั้นยอมที่จะเปิดปากพูดแล้ว จึงรีบพูดต่อขึ้นทันที : “ถึงอย่างไรฉันและอารองของแกก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แกพูดมาได้เลย พวกเราไม่มีทางคิดหยุมหยิมกับเด็กหรอก”
คำพูดของเขาที่พูดออกมาอย่างรีบร้อนโดยที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองก่อน เมื่อรู้สึกตัวอีกที เหงื่อก็ไหลออกมาท่วมตัว
——เขาพูดอะไรออกไป พูดต่อหน้าเขาว่าหัวหน้าตระกูลลู่เป็นเด็ก?
โชคดีที่ลู่เซิ่นนั้นดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับการขอแต่งงานที่ไม่สามารถทำได้ จึงไม่ทันสังเกตในคำพูดที่เขาหลุดปากพูดออกมา