บทที่1102 โอกาสที่ลอยมา
แล้วจะเจอเวินจิ้งได้อย่างไรนั้น…..
ลู่เซิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมา
เป็นจังหวะที่คนรับใช้มาเคาะประตูพอดี :คุณชายลู่ อาหารเย็นนั้นท่านจะลงมาทานด้านล่าง หรือจะให้ส่งมาที่ห้องของท่าน”
ลู่เซิ่นนั้นไม่ค่อยจะกลับบ้านสักเท่าไร ซึ่งโดยปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยจะมีความอดทนที่จะที่จะต่อกรกับเหล่าผู้อาวุโสในบ้านนี้ ดังนั้นส่วนใหญ่มักจะให้คนรับใช้นำอาหารมาส่งให้ที่ห้องเพื่อทานคนเดียว
คนรับใช้ถามเช่นนี้ ก็แค่ถามไปอย่างนั้น ซึ่งความจริงแล้วในห้องครัวนั้นได้จัดเตรียมอาหารของลู่เซิ่นไว้ต่างหากแล้ว และที่ห้องอาหารก็ไม่ได้มีการจัดเตรียมที่นั่งไว้เขาแต่อย่างใด
แต่ว่าวันนี้ลู่เซิ่นจู่ๆกลับอยากเปลี่ยนความคิด หันไปที่ประตูแล้วตอบว่า : ผมจะลงไปทานด้านล่าง”
คนรับใช้ตกใจ ขานรับเสร็จก็รีบลงไปเพื่อทำการจัดเตรียม
ถ้าลู่เซิ่นออกจากห้องตอนนี้ เมื่อไปถึงห้องอาหารแล้วพบว่าไม่มีที่นั่งสำหรับตัวเอง พวกเขาคงต้องซวยกันหมด
โชคดีที่ลู่เซิ่นลงมาด้านล่างหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพัก ทำให้พวกเขามีเวลามากพอในการจัดเตรียมที่นั่งโต๊ะอาหาร
ห้องอาหารบ้านตระกูลลู่ใช้โต๊ะอาหารที่มีลักษณะกลมแบบดั้งเดิม เหล่าลุงๆอาๆที่อาศัยอยู่ที่นี่ ต่างมีที่นั่งประจำของตัวเอง อารองเป็นผู้อาวุโสสุด จึงนั่งในตำแหน่งหลักที่อยู่ตรงข้ามกับประตู
แต่ลู่เซิ่นถึงแม้จะอายุน้อยสุด กลับเป็นหัวหน้าบริษัทลู่ซื่อ เมื่อเขากลับมา อารองก็ต้องสละที่นั่งหลักให้แบบไม่เต็มอกเต็มใจ
เพียงแต่ว่าในค่ำคืนนี้ อาการไม่ค่อยเต็มใจของอารองนั้นค่อนข้างดูจะเบาบางลง
เขาเพิ่งกลับมาก็ได้ยินอาสามบอกว่า ลู่เซิ่นมาเมืองหนานครั้งนี้ก็เพื่อมาขอคนแต่งงาน แต่ด้วยอาสามที่ไม่เอาไหน ไปถามตั้งนานแต่กลับไม่ได้คำตอบว่าเขาต้องการจะแต่งงานกับใคร
อารองที่เดิมทีคิดว่าจะขึ้นไปถามให้ชัดเจนกับลู่เซิ่นด้วยตัวเอง แต่แล้วกลับคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่นจะลงมาทานอาหารเย็นด้วย
นี่ไม่ใช่โอกาสที่ลอยมาเองหรือ
เพราะฉะนั้นตอนที่ลู่เซิ่นเดินเข้ามาที่ห้องอาหาร เหล่าผู้อาวุโสต่างได้นั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหารแล้ว เหลือแต่ที่นั่งหลักที่ยังว่างไว้เพื่อรอลู่เซิ่น
อารองทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม : มาๆๆ มานั่งนี่”
ลู่เซิ่นจะไม่รู้เชียวหรือพวกเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มเบาๆ พยักหน้าแล้วเดินเข้าไป
อารองและอาสามต่างส่งสายตาให้แก่กัน
——ดูลู่เซิ่นท่าทางจะอารมณ์ดี
อย่างนั้นก็เป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะสามารถถามเอาข้อมูลได้
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ใบหน้าของอารองก็ยิ่งยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรไมตรี แล้วหันกลับไปสั่งคนรับใช้ว่า : ลู่เซิ่นมาแล้ว เสิร์ฟอาหารได้”
คนรับใช้พยักหน้าแล้วก็จากไป สักพักอาหารก็ถูกนำขึ้นมาเสิร์ฟ
บ้านตระกูลลู่ค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องมารยาท ห้ามพูดในขณะรับการรับประทานห้ามส่งเสียงดังเมื่อถึงเวลานอน ดังนั้นทุกคนที่นั่งอยู่แม้จะมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก ทำได้เพียงแค่ส่งสายตาให้แก่กัน
การเคลื่อนไหวของทุกคนไม่พ้นสายตาของลู่เซิ่นที่นั่งอยู่ตรงกลาง เขาจึงแอบหัวเราะขำในใจ แต่ว่าก็ยังไม่มีการเอ่ยพูดจาใดๆ ยังคงค่อยๆนั่งทานอาหารอย่างใจเย็นด้วยท่าทีที่สง่างาม
การร่วมรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน สำหรับเหล่าผู้อาวุโสดูเหมือนช่างสุดแสนจะทรมาน ความค่อยๆเคี้ยวค่อยๆกลืนอาหารของลู่เซิ่นในสายตาพวกเขาก็ดูเหมือนเป็นการตั้งใจแกล้ง
ในที่สุดเขาก็วางตะเกียบลง คุณอาก็ยับยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้อีก จึงรีบเอ่ยปากถามขึ้นทันที : “อาลู่เซิ่น ได้ยินมาว่าแกกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาแต่งงานเหรอ”
มีอาสามเป็นตัวตั้งตัวก่อ ดังนั้นทุกคนจึงต่างเงยหน้าขึ้น เหล่าดวงตาต่างจ้องเขม็งไปที่ลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากอย่างใจเย็น จากนั้นถึงเอ่ยปากอธิบาย : “ไม่ใช่แต่งงาน แต่เป็นการขอแต่งงาน”
คุณอายกมือขึ้นท้วง : “มันต่างกันอย่างไร ลู่เซิ่นแกขอสาวแต่งงานมีหรือที่จะไม่สำเร็จ!”
แต่ลู่เซิ่นกลับลดสายตาต่ำลง : “ผม…..ก็ยังไม่มั่นใจ”
เมื่อคำพูดนั้นออกจากปากเขา ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ
โดยปกติแล้วลู่เซิ่นเป็นคนทะนงตนมั่นใจตัวเองสุดๆคนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับก้มหน้าก้มตา แม้แต่ท่าทางยังดูค่อนข้างจะ…..อ่อนแอ
เหล่าลุงๆอาๆทั้งหลายต่างตกใจตัวสั่นไปกับความคิดของตัวเอง แต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นเพื่อดูให้ละเอียดอีกครั้ง ท่าทางของลู่เซิ่นนั้นช่าง…..ก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาสาธยายได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
น้ำเสียงคุณอาอ่อนโยนขึ้นเมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนแอของลู่เซิ่นที่ไม่เคยเป็นมาก่อน : จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมืองหนาน มีลูกสาวบ้านไหนจะกล้าไม่ไว้หน้าแก”
ลู่เซิ่นยังคงก้มหน้าก้มตาพร้อมส่ายหัวไปมา: “ไม่ใช่ไม่ไว้หน้า แต่เป็นเพราะผม…..เจอเธอไม่ได้”
ได้ยินดังนั้นคุณอาก็ยิ่งประหลาดใจ: “เจอไม่ได้? เป็นคนในครอบครัวของลูกสาวบ้านนั้นเหรอที่ไม่ไว้หน้าแก แกลองบอกมาสิว่าเป็นลูกสาวบ้านไหนกันที่บังอาจขนาดนี้! ในเมืองหนานนี้มีหญิงสาวที่คนตระกูลลู่ไม่คู่ควรด้วยหรือ”
ลู่เซิ่นยังคงส่ายหน้า ใบหน้ามีท่าทีที่ไม่อยากจะพูดมากไปกว่านี้
ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ เหล่าผู้อาวุโสก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เขาเงียบไปสองสามวินาที ทำให้แม้แต่อารองที่ยับยั้งอารมณ์ได้ดีที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม: อาลู่เซิ่น ถ้าหากแกมีเรื่องลำบากใจ แกก็บอกกับพวกเรามาได้! ลูกสาวบ้านนี้ไม่เห็นหัวแก ก็เท่ากับว่าไม่เห็นหัวบ้านตระกูลลู่เช่นกัน แบบนี้จะทนได้อย่างไรกัน บอกมาสิ พวกเราจะช่วยแกเอง!”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ทุกคนก็เห็นด้วย แล้วเริ่มเกลี้ยกล่อมให้ลู่เซิ่นพูดออกมาว่าเป็นใคร พวกเขาจะต้องช่วยเขาอย่างแน่นอน
เกลี้ยกล่อมประมาณหนึ่งนาทีได้ สุดท้ายลู่เซิ่นก็มีทีท่าผ่อนคลายลง เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า: “ลุงๆอาๆจะช่วยผมจริงๆหรือ”
ทุกคนมองแวบแรกก็รู้ว่าลู่เซิ่นนั้นถูกพวกเขาเกลี้ยกล่อมสำเร็จ ครั้นแล้วจึงได้พยักหน้า: มันแน่นอนอยู่แล้ว! เรื่องแต่งงานของแกเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลลู่! ตอนนี้พ่อแม่แกก็ไม่ได้อยู่ข้างกาย ในฐานะที่พวกเราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่สามารถช่วยได้ก็จะช่วยอย่างแน่นอน”
ลู่เซิ่นเม้มปากแล้วเงียบไปสักพัก จากนั้นพูดขึ้นอย่างฉับพลันด้วยเสียงต่ำๆว่า: ที่ผมเจอเธอไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะทางบ้านของเธอ”
เขาพูดออกมาแค่นี้แล้วก็เงียบไป
ทำให้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของคนที่นั่งฟังอยู่นั้นถึงขั้นขีดสุด ด้วยความอึดอัดจึงแทบอยากจะใช้มือง้างปากของลู่เซิ่นให้เขานั้นพูดออกมาให้หมด
แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น และเกรงว่าถ้ายิ่งถามเซ้าซี้ จะทำให้ลู่เซิ่นยิ่งไม่อยากบอก จึงทำได้แค่อดทนรอฟังประโยคต่อไปด้วยตาปริบๆ
ในที่สุดลู่เซิ่นก็ไม่ปิดบังอีก ยอมปริปากพูดส่วนสำคัญออกมา
“ที่ผมไม่สามารถเจอเธอได้ ก็เพราะ…..เธอถูกคุมขังไว้”
เมื่อประโยคนี้ได้เปล่งออกมา ทำให้เหล่าคนที่นั่งฟังอยู่ก็ยิ่งมีสีหน้าที่ประหลาดใจ
ถูกขัง…..ถูกคุมขัง?
ด้วยความที่เหล่าบรรดาผู้อาวุโสนั้นคิดตามไม่ทัน ทำให้เข้าใจว่าทางบ้านของหญิงสาวคนนี้หวงลูกสาวเกินไป
แต่กับอารองและอาสามนั้นกลับเข้าใจทันทีว่าลู่เซิ่นพูดถึงอะไร
ลู่เซิ่นพูดอยู่หยกๆเมื่อสักครู่ว่า ที่เขาเจอหญิงสาวคนนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะคนของทางบ้านเธอ
ดังนั้นคำว่าถูกคุมขังนั้น…..ไม่ใช่ถูกคุมขังไว้ที่บ้าน
ถ้าอย่างนั้นถูกคุมขังไว้ที่ใด
คำตอบนั้นเหมือนใกล้จะหลุดมาแล้ว
ทั้งสองได้แต่ส่งสายตาให้แก่กัน ต่างฝ่ายต่างเก็บความสงสัยไว้ในใจ โดยไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยปากถามขึ้น
สุดท้ายอารองก็เป็นคนพูดขึ้นก่อน
“อาลู่เซิ่น หญิงสาว…..มีตั้งมากมาย ทำไมแกถึงไปชอบคนนี้ล่ะ” เขาพยายามใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุด “ด้วยฐานะหน้าตาแก จะเลือกสาวงามคนไหนก็ได้ แต่ทำไมถึง…..”