Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1132

ตอนที่ 1132

บทที่ 1132 ตีเบี้ยวแต่โชคดีที่ตรง

อย่าว่าอย่างอื่นเลย แค่เดินไปสิบกว่านาที แล้วได้ตากแดดไปแป๊บเดียว ฉินซีก็เริ่มรู้สึกว่าแก้มร้อนขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

แต่ว่าเธอที่อายุสิบขวบกลับส่ายหน้า และปฏิเสธข้อเสนอของเพื่อน “เธอไปก่อนเถอะ ฉันขอดูต่ออีกหน่อย เดี๋ยวค่อยไปแล้ว”

ดูท่าเพื่อนน่าจะตากแดดจนกลัวแล้ว จึงไม่ได้พูดโน้มน้าวเธอต่อ พยักหน้าแล้วตัวเองก็เดินกลับไป

ในเวลานี้ฉินซีมองดูอีกครั้ง รวมกับตัวเองแล้ว ก็มีแค่คนสองคนที่ยังคงสังเกตการณ์อย่างตั้งใจอยู่ เด็กสาวอีกหกคนที่เหลือล้วนหลบไปอยู่ใต้ร่มไม้แล้ว และได้พูดคุยเฮฮากันเป็นกลุ่มก้อนแล้ว

แต่ถังย่ากลับนั่งหน้าเย็นชาอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะมาสนใจพวกเขาเลยสักนิด

ฉินซีรู้อยู่แก่ใจ เอาตามที่ฉินซึ่งเทียนพูดไว้ก็คือ การมาเข้าค่ายฝึกอบรมนี้ ก็เป็นเพียงแค่คลับอย่างหนึ่งที่มีไว้เพื่อพบปะสังสรรค์ของพวกลูกหลานคนรวยเท่านั้น จะให้ทุกคนมาลำบากเหน็ดเหนื่อยกันจริง ๆ ได้ที่ไหนกัน

โดยเฉพาะพวกเด็กสาวพวกนี้ ที่มาที่นี่ก็แค่เปลี่ยนที่คุยกันที่หนึ่งเท่านั้น

แต่ว่าฉินซีรู้ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวเองที่สิบขวบตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกที่กลับไปอย่างแน่นอน

ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบประคบประหงมหรอกนะ แต่ว่าถ้าเป็นภารกิจอย่างอื่นแล้ว ส่วนใหญ่เธอก็คงจะไม่มีความอดทนอะไรที่จะอยู่ต่อไป

แต่ว่าภารกิจที่เห็นว่าต้องถือกล้องส่องทางไกลคอยสังเกตการณ์นี้ เป็นเรื่องที่เธอชอบที่สุดในเวลาปกติอยู่แล้ว

เริ่มตั้งแต่แปดขวบฉินซีก็ชอบออกไปถ่ายรูปกับคุณปู่แล้ว ถึงแม้อายุจะยังน้อย ๆ แต่ก็ออกไปดูทิวทัศน์กับเขามาหลายที่แล้ว คุณปู่มักจะถือกล้องถ่ายรูปไว้แล้วเฝ้ารอดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก แต่ในมือของเธอนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูป คุณปู่จึงมักจะยัดกล้องส่องทางไกลให้เธอเอาไปสำรวจรอบ ๆ

พอคุณปู่เริ่มถ่ายรูปแล้วก็มักจะไม่ชอบพูด ฉินซีก็ทำได้แค่คอยถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้แล้วอยู่อีกข้าง เธอก็ไม่เคยจะรู้สึกเบื่อมาก่อนเลย

เพราะฉะนั้นภารกิจนี้จึงถือได้ว่าตีเบี้ยวแต่โชคดีที่ตรง บังเอิญมาเจอกันจนได้

เพราะฉะนั้นฉินซีที่อายุสิบขวบก็ไม่สนใจว่าลมจะพัดหรือแดดจะร้อน ตัวเองถือกล้องเอาไว้แล้วเริ่มสำรวจรอบทิศทางขึ้นมา

เรื่องแบบนี้ ถึงจะเป็นฉินซีในตอนปัจจุบัน ก็ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลย

ป่าไม้ที่ดูไปแล้วเงียบสงบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แต่ว่าจริง ๆ แล้วทุกครั้งที่สามลมพัดผ่าน ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของป่าไม้ไปได้ทั้งนั้น

เธอไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับการสังเกตโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดูผ่านกล้อง หรือว่าด้วยจะดวงตาทั้งคู่ของตัวเอง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน อยู่ ๆ ข้างกายก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาทำให้เธอขาดตอน

“เธอกำลังทำอะไรอยู่?”

มีคนโน้มตัวลงมาข้างตัวเธอ แล้วเปิดปากถามขึ้น

ฉินซีหันหน้าไป สบตาทั้งคู่ตรง ๆ เข้ากับจ้านเซินที่ยังเป็นวัยรุ่น

เพียงแต่ว่าฉินซีในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าในอนาคตต่อไปเธอจะโดนจ้านเซินข่มขู่ถึงขนาดนี้ และยิ้มอย่างมีมารยาทไปทางจ้านเซิน “ฉันกำลังสำรวจป่าไม้อยู่ค่ะ”

จ้านเซินดูมีท่าทางสนใจ แล้วยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ป่าไม้เหรอ?”

ฉินซีที่อายุสิบขวบน่าจะได้พบเจอกับคนที่สนใจการสำรวจของตัวเองได้น้อยมาก เมื่อลองคิดดูแล้วก็จะรู้ เด็กสาวที่อายุเท่ากันส่วนใหญ่มักจะงมงายอยู่กับโลกตุ๊กตา กระโปรงสวย ๆ และการ์ตูน น้อยคนนักที่จะสามารถแบ่งปันความชอบแบบเดียวกันกับฉินซี

เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าจ้านเซินเหมือนจะสนใจในสิ่งที่ตัวเองพูดมากนั้น ฉินซีที่อายุสิบขวบก็เริ่มพูดไม่ยอมหยุดว่า “คุณรู้ไหมคะว่า ที่จริงแล้วต้นไม้ก็ไม่ได้เป็นรูปร่างเดิมตลอดเวลา ภายใต้แสงที่ไม่เหมือนกัน รูปต้นไม้ที่ถ่ายออกมา ก็จะไม่เหมือนกัน……”

ฉินซีมองตัวเองในตอนนั้นที่แนะนำไม่หยุด ในใจยังรู้สึกหน้าแดงอับอายเล็กน้อย แต่ว่าจ้านเซินกลับเหมือนจะโดนเนื้อหาที่เธอพูดออกมานั้นดึงดูดไปแล้วยังไงอย่างงั้น ได้แต่คอยฟังอยู่เงียบ ๆ ตลอด และยังคอยพยักหน้าให้เป็นบางครั้งอีกด้วย

รอจนเธอพูดจบในที่สุด จ้านเซินก็ยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาให้เธอ “ฉันมอบภารกิจใหม่อย่างหนึ่งให้เธอ ดีไหม ?”

ฉินซีในตอนนั้นก็พอจะรู้ว่าจ้านเซินเป็นคนที่มีอำนาจพูดที่สุดในกลุ่มวัยรุ่นนี้ แต่ว่าก็ยังมีความลังเลอยู่ และไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่กลับเปิดปากถามขึ้นว่า “ภารกิจอะไรคะ……”

“ภารกิจที่มีความหมายมากกว่าการดูต้นไม้อีก ฉันรับรอง” จ้านเซินพูดขึ้น “เราเปลี่ยนที่กันสักหน่อย ไปที่ที่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่านี้ ดีไหม?”

ฉินซีก็ลังเลไปอีกครู่หนึ่ง

ท่าทางของจ้านเซินเมื่อกี้ที่มีความอดทนฟังในสิ่งที่ตัวเองพูดมากแบบนั้น ไม่เหมือนคนชั่วเลยจริง ๆ และยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้บังคับบัญชาของที่นี่อีกด้วย……

เวลาผ่านไปครู่เดียวนี้ ถังย่าก็เดินมาทางนี้แล้ว

“นี่คือ……” เธอเปิดปากพูด สายตามองไปมาระหว่างฉินซีและจ้านเซิน

จ้านเซินเป็นคนตอบกลับเองก่อนว่า “ฉันกะว่าจะพาเขาไปที่หอคอยC”

“หอคอยCเหรอ?” ถังย่ารู้สึกตกใจเล็กน้อยจนถลึงตาโต “คุณ…..”

จ้านเซินส่ายหัว แล้วพูดขัดเธอขึ้นว่า “เรากลับไปค่อยว่ากัน”

แล้วถังย่าก็ไม่ได้เปิดปากพูดกับเขาอีก เพียงแต่ก้มหน้าลงมาพูดกับฉินซีว่า “เธอไปกับผู้บัญชาการก่อนละกัน”

ตอนแรกฉินซีก็มีความหวั่นไหวแล้ว แต่พอเขายิ่งมาพูดแบบนี้กับเธอ ก็ต้องพยักหน้าเป็นธรรมดา

เธอลุกยืนขึ้น แล้วเดินลงเขาไปพร้อมกับจ้านเซิน และยังโบกมือลาให้เพื่อน ๆ ที่อยู่ใต้ร่มไม้กันอีกด้วย

ข้างในใต้ร่มไม้มืดเกินไป เธอจึงเห็นไม่ชัดว่าเพื่อน ๆ ตอบกลับมาไหม แล้วก็เดินตามจ้านเซินจากไป

ท่าทีที่จ้านเซินมีต่อเธอนั้นช่างอ่อนโยนและเป็นมิตร ที่มุมปากมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่ แล้วถามขึ้นอย่างกับพูดคุยธรรมดาว่า “ยังไม่ได้ถามเลยว่าเธอชื่ออะไร? และเป็นลูกของบ้านไหน?”

ที่เขาจะถามแบบนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อครั้งนี้คนที่มากันนั้น ต่างก็เป็นลูกหลานของตระกูลที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น

และฉินซีที่อายุสิบขวบ ก็ตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสาว่า “ฉันชื่อฉินซีค่ะ พ่อของฉันคือฉินซึ่งเทียน”

จ้านเซินพยักหน้า แล้วพูดขึ้นเหมือนมีความคิดอะไรอยู่ “ลูกหลานตระกูลฉิน……”

ทั้งสองคนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ดูแล้วจ้านเซินเหมือนกับไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่จริง ๆ แล้ว แค่จากคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ ก็สามารถรู้ถึงต้นตระกูลของฉินซีอย่างละเอียดหมดแล้ว แต่ว่าฉินซีที่ไร้เดียงสากลับยังคงพอถามมาก็จะต้องตอบกลับไปอยู่ และพูดทุกอย่างอย่างชัดเจนอีกด้วย

และในตอนที่ฉินซีได้เปิดเผยต้นตระกูลของตัวเองจนก้นหงายขึ้นฟ้าแล้วนั้น ในที่สุดจ้านเซินก็หยุดฝีเท้าลง

ตอนนี้ฉินซีถึงจะสังเกตเห็นว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะมาได้ในเวลาปกติ หรือแม้แต่ได้ห่างไกลออกมาจากพื้นที่สนามฝึกมากแล้ว และลึกเข้าไปจนถึงพื้นที่ส่วนภายในของค่ายฝึกนี้แล้ว

ด้านหน้าเป็นอาคารที่สูงมาก ฉินซียืนอยู่ใต้ตึกแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองก็มองไม่เห็นยอด และแต่ละห้องต่างก็ปิดหน้าต่างไว้แน่นสนิท ประตูใหญ่ที่ทำมาจากเหล็ก ก็ปิดไว้แน่นหนาเช่นกัน มองแล้วมีความรู้สึกที่ลึกลับอย่างบอกไม่ถูกอยู่

ฉินซีอดไม่ได้ที่จะหดคอกลับมา แล้วเงยหน้ามองไปทางจ้านเซิน “ท่านผู้บังคับบัญชาการ ที่นี่คือที่ไหนเหรอคะ……”

จ้านเซินก้มหน้าลงแล้วยิ้มไปทางเธอ “ไม่ต้องกลัวไปหรอก แค่พาเธอมาทำการทดสอบดูเท่านั้น จะให้เธอมาสำรวจรอบ ๆ ดูก็พอแล้ว”

ฉินซีโดนรอยยิ้มของเขาปลอบโยนไปได้บ้าง เธอพยักแล้วไม่พูดอะไรอีก

ในเวลานี้ ประตูข้างหน้าค่อย ๆ เปิดออกมา

มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน

ผู้หญิงคนนั้นใส่เสื้อกาวน์สีขาว ผมเผ้ารวบไว้ข้างหลังอย่างไม่มีหลุดลุ่ยออกมาสักเส้น ที่หัวคิ้วเพราะว่าผ่านการขมวดคิ้วมาเป็นนานปี จึงทำให้มีร่องลึก ๆ

สายตาของเธอกวาดมองผ่านตัวฉินซี ไม่มีการหยุดดูสักนิด แล้วเปลี่ยนมาทางด้านจ้านเซิน

เธอไม่ได้เปิดปากพูดอะไร แต่ว่าแววสงสัยในดวงตานั้นเห็นได้ชัดมาก

ระดับตำแหน่งของจ้านเซินกับเธอน่าจะพอ ๆ กัน เพราะว่าเขายิ้มให้กับเธออย่างเป็นกันเองมาก ไม่ได้มีความเคารพแบบที่มีต่อผู้ใหญ่เลย “พบเด็กที่มีหน่วยก้านดีที่ดีเด็กหนึ่ง ก็เลยพามาให้คุณดูสักหน่อย”

ฉินซีขมวดคิ้วแน่นขึ้นในใจขึ้นมาทันที

เด็กที่มีหน่วยก้านดีเหรอ?

ผู้หญิงคนนั้นถึงได้ก้มหน้าลงมาวิเคราะห์ฉินซีทีหนึ่ง สายตาของเขาเปรียบเสมือนกับเครื่องตรวจวัดเย็น ๆ ยังไงอย่างงั้น ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะโดนสายตาของเขาจ้องทะลุแล้ว

หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาถึงได้ละสายตาไป แล้วเดินเข้าไปข้างใน “เข้ามาเถอะ”

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท